Skip to main content

Post#5-300: ถอยหลังเพื่อความยั่งยืน

Post#5-300:
เมื่อวานผมไปหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง...เพื่อเรียนให้ทราบถึงความคืบหน้าของโครงการที่ทำร่วมกัน

เป็นการหารือแค่ช่วงสั้นๆ ประมาณไม่เกินชั่วโมง...แต่ก็ได้ข้อคิดมากมาย ที่ทำให้ผมและทีมงานได้นำกลับมาใช้ทบทวนแผนงาน

ที่สำคัญ...ผมได้แง่มุมบางอย่าง ที่เป็นการสะท้อนมุมมองที่ผมไม่ทันนึกและก็นึกไปไม่ถึงเอาจริงๆ

...

การหารือครั้งนี้ สอนให้ผมต้องเพิ่มความสุขุมขึ้นอีกขั้น...

ด้วยเพราะไม่ว่าจะวางแผนงานไว้ดีเพียงใด หรือปฏิบัติงานได้เยี่ยมยอดเพียงใด ก็ตาม...การประเมินและทบทวนผลงาน ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เสมอ

ก็เพราะไม่มีผลงานใดที่สมบูรณ์พร้อม, ไม่มีผลงานที่ดีที่สุด...และไม่มีผลงานใด ที่เราปรับปรุงไม่ได้

นอกจากนั้น การได้ฟังเสียงสะท้อนจากทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง...ย่อมอาจนำมาซึ่งการปรับปรุงผลงานอย่างก้าวกระโดดได้อีกด้วย

...

บ่อยครั้งที่เรามั่นใจว่าเรากำลังไปได้สวย, ผลงานกำลังดี และดูเหมือนว่า ไม่น่าจะมีอะไรทำให้ติดขัด

แท้ที่จริงแล้ว...เราอาจกำลังประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าสั้นเกินไปก็เป็นได้

หรือพูดง่ายๆ ว่ามันอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เรามองไม่เห็นหรือคาดไม่ถึง...รออยู่

ถ้ามองเห็นเร็วหรือรู้ล่วงหน้าได้เร็ว...เราย่อมที่จะปรับแผนรับมือมันได้อย่างทันท่วงที

ด้วยเหตุผลนี้เอง...การประเมินผลงาน จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเราเองก็ไม่ควรจะด่วนลงความเห็นว่า ข้อเสนอแนะหรือข้อติติงใดๆ เป็นเรื่องไร้สาระ

ถ้าเรายอมรับความจริงว่า ก้อนกรวดเล็กๆ ในรองเท้า...ยังอาจทำให้เราวิ่งได้ไม่เต็มที่

...ก็แปลว่า เรื่องใดๆ ที่ได้รับการเสนอแนะหรือติติงมา ก็ควรค่าพอที่จะนำมาประเมินดู...จริงมั๊ยครับ?...

#NoteToSelf:

  • ไม่ว่าเจตนาของผู้เสนอความคิดเห็นหรือข้อติติงจะเป็นอย่างไร...เราต้องตัดเรื่องอารมณ์ทิ้งไปเสีย ก่อนที่จะประเมินความคิดเห็นหรือข้อติติงนั้น ด้วยเหตุและผลอย่างมีตรรกะ
  • บ่อยครั้งที่การประเมินอาจจะทำให้งานต้องช้าลงหรือเลื่อนออกไปบ้าง...จงคิดเสียว่า ยอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อที่จะเดินหน้าสิบก้าว
  • ผลสำเร็จของการทำโครงการใหญ่ๆ นั้น อาจจะไม่ได้อยู่ที่มันจะเป็นรูปเป็นร่างได้เมื่อไร...หากแต่อยู่ที่ มันจะยั่งยืนหรือไม่ กระมัง?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...