Post#2-227:
วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง
หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ
ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง
เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ
บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่
บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224)
และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไม่แล้วองค์กรก็จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
การดับไฟก็คือ Corrective Action ซึ่งหมายถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนการป้องกันไฟไหม้ก็คือ Preventive Action ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหา
ไม่ว่าจะมี Preventive Action ที่ดีเพียงใด ปัญหาที่นอกเหนือความคาดหมายก็ยังอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น Preventive Action จึงไม่ใช่การทำให้ปัญหาเป็น 0% แต่เป็นการขีดวงจำกัดปัญหาให้ใกล้ 0%
ส่วน Corrective Action นั้น ต้องกำหนดให้มี 2 Phase ก็คือ Phase 1 ทำให้ไฟดับให้เร็วที่สุด และ Phase 2 คือการตามหาต้นเพลิง
ถ้าทำ Preventive Action ดี ก็จะเหลืองานที่เป็น Corrective Action น้อย และถ้าทำ Corrective Action ได้ดี ก็จะทำให้ Preventive Action เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นวงจรที่แสดงถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สำคัญก็แต่ลูกน้องต้องรีบบอกเมื่อเจอต้นเพลิง ไม่ใช่รอจนไฟโหมแรงแล้วค่อยมาบอก เช่นเดียวกับเจ้านายก็ต้องสอนให้เค้าดับไฟเป็น และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดไฟไหม้ด้วย
แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวนี่แหละครับ ที่วันนี้ทีมกว่า 20 ชีวิตใช้เวลาคุยกันเป็นวันๆ...เรื่องที่ดูเหมือนมี concept ในการคิดที่เรียบง่าย แต่ขอโทษที่ต้องบอกว่า เวลาลงมือทำจริงๆ มักเป็นมหากาพย์ทุกทีไป
Comments
Post a Comment