Skip to main content

Posts

Showing posts from June, 2016

Post#3-297: Firm Decision / Flexible Approach

Post#3-297: วันนี้ ได้รับข้อความทาง Line จาก "คำคมผู้นำ ถ้อยคำแห่งปราชญ์" (Line ID: @LeaderQuote) ที่คัดเอาวาทะของ Anthony Robbins (นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ชาวอเมริกัน) มาแชร์ ผมเห็นว่ามีประเด็นชวนคิดตามได้ดี เลยขอมาแชร์ต่ออีกทีนะครับ Anthony ว่าไว้ว่า... "Stay committed to your decisions but stay flexible in your approach." @LeaderQuote แปลมาให้เสร็จแล้วครับ ว่า "จงแน่วแน่กับการตัดสินใจ แต่ขอให้ยืดหยุ่นกับการลงมือทำ" ... ลองคิดตามดูแล้ว...เห็นด้วยกับผมมั๊ยครับ ว่า Anthony กำลังสอนเราว่า เราไม่ควรคิดเปลี่ยนแปลงเป้าหมายง่ายๆ แต่เราควรจะต้องรู้จักพลิกผันเพื่อหาหนทางไปสู่เป้าหมายให้ได้ต่างหาก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเปลี่ยนเป้าหมาย เราก็จะแกว่งไปทางโน้นที ทางนี้ที...ยิ่งเปลี่ยนบ่อย เรายิ่งจะเริ่มต้นไม่ได้เสียที ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจว่าจะตั้งเป้าหมายยังไง เราก็ควรจะคิดให้ถ้วนถี่เสียก่อน...คิดให้มากๆ ก่อนจะตัดสินใจ และเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็จงหนักแน่นกับการตัดสินใจนั้น ... ยิ่งเป้าหมายใหญ่...อุปสรรคระหว่างทางยิ่งมาก ยิ่งอุปสรรคมาก...ก็ยิ่งจ...

Post#3-296: Tension vs Relaxation

Post#3-296: ช่วงนี้ผมเครียดมาก เหตุเพราะหลายๆ ธุรกิจที่ผมทำอยู่ เจอกับปัญหาต่างๆ มากมายเหลือเกิน กระนั้น ผมก็ยังคงมีรอยยิ้มเจืออยู่บนหน้าได้...แม้ว่า มันอาจจะเป็นรอยยิ้มแบบจ๋อยๆ หน่อยก็ตาม ^^ อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้หลายต่อหลายหนนั่นล่ะครับ...ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ชีวิตก็ยังคงต้องก้าวต่อไป ดังนั้น การมัวแต่อมทุกข์อยู่ตลอดเวลา นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เราหยุดอยู่กับที่อีกด้วย ... สุภาษิตบทหนึ่งว่าไว้ว่า... "Tension is who you think you should be. Relaxation is who you are." แปลให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า "คุณอาจจะคิดว่า ตัวตนที่แท้จริงของคุณถูกสะท้อนจากความเคร่งเครียด. แท้จริงแล้ว ตัวตนของคุณจะถูกสะท้อนจากยามที่คุณผ่อนคลาย ต่างหาก" ... จริงสิครับ...ตัวตนที่แท้จริงของเรา น่าจะเป็นตัวตนขณะที่เราผ่อนคลายเสียมากกว่า...ค่าที่ขณะที่เราผ่อนคลาย จิตของเราน่าจะมีความปรุงแต่งน้อยกว่าขณะจิตอื่นๆ นึกดูดีๆ เวลาที่เราเคร่งเครียดหรือเคร่งขรึม เราก็มักจะอยู่ในขณะจิตที่ครุ่นคิดและคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ร้อยแปดพันประการ อยากจะทำอะไรก็มักจะมีอะไรรัดตรึงเราไว้เสมอ ...

Post#3-295: เดิมพันอนาคตกับความไม่รู้?

Post#3-295: ช่วงนี้ หัวข้อสนทนาสุดฮิตในวงต่างๆ ย่อมมีเรื่องของ Brexit อยู่ด้วย อย่างไม่ต้องสงสัย ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดที่มาที่ไป เพราะผมไม่ใช่ Guru และอีกประการ ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ไม่ยากอยู่แล้ว (ผมแนบ link เผื่อไว้ให้ครับ) แต่ผมอยากจะชวนคุยเกี่ยวกับผลล้พธ์ของ Brexit มากกว่า...ที่คน vote ให้ออก ยังตกใจกับผลลัพธ์ด้วยซ้ำ! เรียกว่า vote กันไปขำๆ แต่ผลลัพธ์น่ะ มันไม่ได้เป็นเรื่องขำขันเอาเสียเลย...จริงๆ ... ว่ากันตามจริงแล้ว...เรื่องทำนองนี้ก็เกิดขึ้นได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และจะเกิดขึ้นอย่างไม่จบไม่สิ้น ตราบใดที่เราดันเลือกใช้กลไกที่อาศัย "ปริมาณ" มากกว่า "คุณภาพ" มาใช้ในการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ ถามว่า มีกี่คนที่ vote ไม่ไปต่อ...จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่า Brexit จะส่งผลกระทบในระดับโลกได้ถึงขนาดนี้? ผลของการให้คนที่เข้าใจไม่ถ่องแท้มาเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมสำคัญของบ้านเมืองและโลก...คือการทำให้องค์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจสำคัญแบบ EU เกิดแรงกระเพื่อมแบบรุนแรง ... ศึกษาเรื่อง Brexit แล้ว...ก็ควรย้อนมาดูเรื่องของบ้านเมืองเรากันบ้าง อะไรจะเกิดขึ้นหลังวันที่...

Post#3-294: แรงกดดันที่เหมาะสม

Post#3-294: หลายๆ คนมักจะตื่นตระหนกเป็นพิเศษ เวลาที่ต้องทำอะไรก็ตามภายใต้ความกดดัน มากครั้งที่มีเวลามาบีบมากๆ เข้า ก็ถึงกับทำให้คนๆ นั้นไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเป็นเรื่องเป็นราว กันเลยทีเดียว ยังไงก็ตาม ใช่ว่าความกดดันจะเป็นเรื่องไม่ดีไปเสียทั้งหมด...เพราะความกดดันที่พอเหมาะพอสมนั้น อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างกับใครบางคนได้เช่นกัน ... สำหรับลูกน้องแล้ว...การสร้างแรงกดดันและแรงกระตุ้นนั้น ถือเป็นหนึ่งตัววัดความสามารถของบรรดาเจ้านายทั้งหลาย ในหมวดที่ว่าด้วย "ศิลปะแห่งการใช้คน" การที่เรากดดันมากจนเกินไป ลูกน้องก็จะทนไม่ได้ และการที่เราปล่อยปละจนเกินงาม ลูกน้องก็จะปวกเปียก แต่อะไรคือจุดกึ่งกลางหรือจุดพอดีระหว่าง "มากไป" กับ "น้อยไป" นั้น...มันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการสังเกตและการเทียบเคียงกับสภาพแวดล้อมของแต่ละองค์กร ... น่าเสียดายที่ส่วนหนึ่งของเด็กสมัยนี้ (ผมขอนิยามว่าเป็นกลุ่ม W ก็แล้วกันนะครับ) มักจะตีความเรื่อง "แรงกดดัน" ว่าเป็นปัจจัยลบเสียเป็นส่วนมาก เมื่อเผชิญกับแรงกดดันไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม กลุ่...

Post#3-293: กรุ๊ปเลือดไหน...ที่มองโลกในแง่ดี?

Post#3-293: เย็นย่ำวันอาทิตย์แบบนี้...ขอคุยแบบสบายๆ เกี่ยวกับกรุ๊ปเลือดก็แล้วกันนะครับ ^^ เคยสงสัยกันบ้างมั๊ยครับ...ว่ากรุ๊ปเลือดไหน ที่มีลักษณะมองโลกในแง่ดีมากที่สุด? ลองเดาหรือจะลอง google ดูก็ได้ครับ...ผมให้เวลา 5 นาที ... ได้คำตอบมั๊ยครับ? ถ้าใครลอง google ดู ก็จะพบว่า กรุ๊ปเลือดบี มีแนวโน้มจะเป็นพวกมองโลกในแง่ดีมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น แต่ลองดูวาทะนี้ก่อนครับ...อ่านจบแล้ว ผมแทบจะฉีกยิ้มไปถึงใบหูเลยก็ว่าได้... "I was reminded that my blood type is "Be Positive"." แปลว่า "ใครบางคนทำให้ผมระลึกได้ว่า กรุ๊ปเลือดของผมก็คือ "Be Positive" นั่นเอง" ... ผมขอคารวะให้กับคนคิดมุขนี้ขึ้นมา...เพราะนับว่าเล่นคำได้น่ารักแบบพอเหมาะพอเจาะอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คนไทยเราอาจจะเข้าใจมุขยากหน่อย เพราะเราจะเรียกกรุ๊ปเลือดว่า เอ (A), บี (B), โอ (O) หรือพวกกรุ๊ปอาร์เฮชบวก (Rh+) หรืออาร์เฮชลบ (Rh-) แต่ฝรั่งจะเรียก อาร์เฮชพอสิทีฟ, อาร์เฮชเนกาทีฟ วาทะนี้...จึงเป็นเสมือนข้อเตือนใจเราว่า ไม่ว่าเราจะมีเลือดกรุ๊ปอะไรก็ตาม ตราบเท่าที่เราเชื่อว่าเรามีเลือ...

Post#3-292: Partialization + Prioritization

Post#3-292: ช่วงนี้ผมกำลังวุ่นๆ วายๆ อยู่กับการจัดโครงสร้างของบริษัทใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่โครงสร้างผู้ถือหุ้นไปจนถึงโครงสร้างการบริหารงาน ต้องบอกว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัสเอาการอยู่...ที่ต้องมาจัดการเรื่องนี้ท่ามกลางสภาพทางเศรษฐกิจที่ผันผวนเสียเหลือเกิน เนื่องจากหุ้นส่วนของผมเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด...ผมจึงได้แต่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยไม่สามารถจะมอบหมายงานให้หุ้นส่วนคนอื่นไปทำได้ ... เวลาต้องจัดการกับเรื่องวุ่นๆ วายๆ ที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน...สิ่งที่เราต้องคุมให้ดีที่สุด ก็คือ "สติ" จะคุม "สติ" ให้อยู่ จึงจำต้องหัดให้ตัวเองรู้จักการจัดลำดับความสำคัญของงาน หรือที่เราเรียกว่า Prioritization จะ prioritize งานได้ เรายังจำเป็นต้องฝึกให้ตัวเราเอง รู้จักการจัดการปัญหาแบบเป็นส่วนๆ เสียก่อน หรือที่เราเรียกว่า Partialization ลองทบทวนตามผมดู แล้วจะพบว่า ถ้าไม่ Partialization ให้ถูกต้องและเหมาะสม เราก็จะไม่สามารถ Prioritization ได้ดี ... ที่สำคัญอย่าไปยึดติดว่า เมื่อ Partialization แล้ว ปัญหาหรืองานนั้น จะต้องมีขอบเขตเหมือนเดิมเสมอไป อาจจะเพิ่มหรือ...

Post#3-291: On-the-job Training

Post#3-291: เกือบทั้งวันของวันนี้ ผมมีอันต้องแปรสภาพตัวเองไปเป็น Tour Guide ให้กับลูกน้องใหม่ 2 ท่าน ในการไปเยี่ยมร้านของลูกค้าที่ทางผมค้าขายอยู่ จริงๆ แล้ว เรียกว่าเป็น On-the-job Training ก็น่าจะเหมาะสมกว่าล่ะครับ... ผมชอบให้ลูกน้อง ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนก็ตาม มีโอกาสลงพื้นที่หน้างานจริง...เพื่อให้เข้าใจสภาพที่แท้จริงของการค้าขาย ไม่ใช่ขลุกอยู่แต่ใน Office แล้วก็แค่ดู Report แม้กระทั่งตำแหน่งนักสถิติวิเคราะห์หรือกระทั่งน้องที่ทำบัญชี ผมก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน, ถ้าจะเชิญให้เค้าหรือเธอได้มีโอกาสไปเห็นความจริง และให้พวกเค้ารับรู้ว่า หลังบ้านจะต้องสนับสนุนงานอะไรให้กับหน้าบ้านบ้าง … สำหรับผมแล้ว การทำ On-the-job Training ถือเป็นหนึ่งในวิธีการสอนงานที่ได้ผลที่สุด เพราะเป็นการทำให้น้องๆ เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติไปพร้อมๆ กันได้ ส่วนมากที่การถ่ายทอดองค์ความรู้ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรน่ะ เกิดจากการรู้โดยไม่ทำ (เน้นแต่ภาคทฤษฎี) กับการทำโดยไม่รู้ (เน้นแต่ภาคปฏิบัติ) เมื่อ "รู้" แล้วได้ "ลงมือทำ"...จึงทำให้เข้าใจได้แจ่มแจ้งแทงตลอด... เมื่อ ...

Post#3-290: เป็นผู้ใหญ่แต่ตัว

Post#3-290: แต่เช้าวันนี้ ผมก็มีเรื่องขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อคุณ X ก็แล้วกันครับ)...เรียกได้ว่า เป็นการเริ่มต้นวันที่ไม่สดสวยเอาเสียเลย เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า แนวทางการทำงานที่ไม่สอดคล้องกัน และผมก็คิดว่า สงสัยผมคงจะทำงานร่วมกันกับคุณ X ต่อไปได้ยาก เวลามีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกัน คุณ X ไม่ค่อยชอบคุยกันต่อหน้า แต่ชอบคิดเองและสรุปเอง ตกลงกันในที่ประชุมอย่างหนึ่ง แต่ถึงเวลาก็ไม่ทำตามที่ตกลงกัน ยิ่งถ้าใครทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ คุณ X ก็มักพาโลหาเรื่องคนอื่นไปเรื่อย ยิ่งถ้าขัดแย้งกับผม ก็มักจะมาลงกับลูกน้องผมทุกทีไป เพราะทำอะไรผมไม่ค่อยถนัด … ส่วนลูกน้องผมก็ช่างแสนดี...ยอมทนเรื่อยมา เพราะไม่อยากให้ผมต้องขัดแย้งกับคุณ X, บอกผมแต่ว่า หนูทนได้ค่ะ หนูทนได้ค่ะ, ผมเองก็จำทน เพราะเห็นแก่นำ้ใจของน้อง มาตลอด แต่บังเอิญที่ว่า ต่อมความอดทนของผมมันมาถึงขีดจำกัดเมื่อเช้านี้พอดี เพราะทนดูลูกน้องถูกรังแกต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว...ว่าแล้วผมก็เลยซัดกับ คุณ X ไปยกใหญ่... และเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมก็เลยขอถอนตัวออกจากการร่วมสังฆกรรมกับคุณ X เสียเลยดีกว่า...ว่าแล้วผม...

Post#3-289: สืบค้นต้นตอของปัญหา

Post#3-289: ผมใช้เวลาช่วงบ่ายแก่ๆ วันนี้ เพื่อประชุมกับทีมงานของบริษัทแห่งหนึ่ง...เป็นการประชุมแบบ non-stop ประมาณ 4 ชั่วโมงเต็มๆ ประเด็นที่ประชุมกัน เป็นเรื่องของการปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการทำงาน รวมไปถึงการวิเคราะห์หาสาเหตุที่ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย มีการตั้งสมมติฐานกันต่างๆ นาๆ และลงท้ายด้วยการมอบหมายงานให้แต่ละท่าน ไปตรวจสอบเพิ่มเติมว่า สมมติฐานที่ตั้งไว้ มีความถูกต้องหรือไม่...จะได้นำกลับมาปรับปรุงต่อได้ ประเด็นที่คุยกันนั้น ค่อนข้างเครียด ผมจึงต้องพยายามอย่างมากที่ต้องประคับประคองไม่ให้น้องๆ เครียดเกินไป...จึงต้องสอดแทรกเรื่องเล่าและหยอดอารมณ์ขันเข้าไปด้วยอยู่ตลอดเวลา ... สังเกตมั๊ยครับ...เวลาประชุมเรื่องเครียดๆ เรามักจะหิวมากเป็นพิเศษ...ยิ่งถ้าเราเป็นคนนำประชุม ที่ต้องดูแลผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน ให้จดจ่ออยู่กับเนื้อหาด้วยแล้ว เรายิ่งต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติ เมื่อสงสัยว่า ทำไมผมหิวขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เวลาเดียวกันของวันอื่นๆ ผมไม่เห็นจะรู้สึกหิวแบบนี้เลย... น่าจะเป็นเพราะ ผมใช้พลังไปกับการคิดมากเป็นพิเศษรึเปล่า? ... จากนั้น ผมก็ลองตรวจสอบดูว่า ข้อสงสัยของผมถูกต้...

Post#3-288: นายหน้า

Post#3-288: เมื่อเย็นที่ผ่านมา ผมนัดเซ็นสัญญาเช่าสถานที่แห่งหนึ่ง โดยสถานที่แห่งนี้ มีบริษัทนายหน้าเป็นผู้จัดหาให้ ก่อนการเซ็นสัญญา ผมก็ขอเรียกสัญญามาดูก่อน เมื่อเห็นว่าถูกต้องดีแล้ว ผมจึงได้ confirm กับนายหน้า เพื่อเชิญเจ้าของสถานที่มาทำสัญญากัน แต่ปรากฏว่า สัญญาฉบับที่จะลงนาม มีข้อเปลี่ยนแปลงแก้ไขผิดไปจากฉบับที่ผมอ่าน แถมผู้มาลงนามก็ไม่ใช่เจ้าของ (และบอกกับผมว่าเป็นลูกสาว มากับพี่ชาย) และไม่มีใบมอบอำนาจมาด้วย ยังครับ ยังยุ่งไม่พอ...สัญญาเช่าเป็นชื่อแม่, คนลงนามเป็นน้องสาว และเงินค่าเช่าล่วงหน้า ให้โอนให้กับพี่ชาย ... สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือ ทั้งสองท่านไม่ใช่มิจฉาชีพแน่ๆ แต่ผมรับไม่ได้กับความไม่เป็นมืออาชีพของบริษัทนายหน้า เป็นหน้าที่โดยตรงที่บริษัทนายหน้าจะต้องรู้ว่า การจะทำสัญญาเช่า จะต้องเตือนผู้เช่าและผู้ให้เช่า ในประเด็นใดบ้าง...เพราะตัวเองเป็นตัวกลางให้เกิดพันธะสัญญา และได้ประโยชน์จากการเป็นตัวกลางนั้น ไม่ใช่มาทำงานแบบเป็นแค่นกพิราบคาบข่าว คือส่งผ่านข้อความระหว่าง 2 ฝ่าย แล้วก็ได้ค่านายหน้าไปง่ายๆ ... อย่างไรก็ตาม การที่ผมมั่นใจว่าทั้งน้องสาวและพี่ชาย ไม่ได้เป็...

Post#3-287: คนสร้างผลงาน vs คนขโมยผลงาน

Post#3-287: เมื่อวานพึ่งจะคุยเรื่องของการหน่ายคนไปหยกๆ...วันนี้อดีตลูกน้องคนหนึ่งก็ส่งเสียงตามสายมาแต่เช้า เหตุเพราะเธอรับไม่ได้เอาจริงๆ...กับการถูกเจ้านายของตัวเอง "ฮุบ" ผลงาน โดยที่เธอไม่ได้ Credit ใดๆ เลย ผมก็ปลอบใจและแนะนำเธอไปตามสมควรล่ะครับ...และต้องยอมรับว่า บางครั้งความเป็นจริงของชีวิต มันก็ไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับเราเสมอไป ... Indira Gandhi อดีตนายกรัฐมนตรีของอินเดีย ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับประเภทของคนในที่ทำงานไว้ว่า "There are two kinds of people, those who do the work and those who take the credit. Try to be in the first group; there is less competition there." แปลว่า "มีคนอยู่ 2 จำพวก, คือพวกที่ลงมือทำงาน และพวกที่ชอบขโมยผลงาน. จงเป็นพวกแรก; เพราะมันมีการแข่งขันน้อยกว่า" ... Indira ประชดประชันได้แสบสันต์จริงๆ ครับ...เพราะเธอกำลังหมายความว่า คนที่ชอบขโมยผลงานนั้น มีอยู่มากเหลือเกินในสังคมการทำงาน ดังนั้นถ้าเราเป็นพวกหลัง เราก็ไม่ต้องไปแข่งเสนอหน้ากับใครให้มากเรื่อง...ทำงานของเราให้ดีที่สุดนั่นแหละถูกต้องแล้ว เพราะพวกชอบขโมยผลง...

Post#3-286: เหนื่อยงานหรือหน่ายคน

Post#3-286: "พรุ่งนี้ก็วันจันทร์อีกแล้ว" นั่นอาจจะเป็นเสียงบ่นอยู่ในห้วงนึกของใครหลายๆ คน...รวมไปถึงตัวผมเอง ที่แม้จะบ้างานยังไง...ก็มีวันที่คิดแบบนี้ด้วยเช่นกัน ยิ่งกับใครที่อยู่ตำแหน่งเดิมนานๆ ทำงานซ้ำๆ เดิมมาเป็นปีๆ ก็ยิ่งจะมีความเหนื่อยหน่ายกับวันจันทร์มากเป็นพิเศษ (หรืออย่างที่เราเรียกว่า Monday Syndrom นั่นล่ะครับ) ... เมื่อใดก็ตามที่เราเกิดอาการเบื่อหน่ายงานแบบต่อเนื่อง...ไม่ว่าจะลาพักร้อนก็แล้ว, ลาป่วยก็แล้ว, ไปทำงานนอกสถานที่ก็แล้ว, ฯลฯ...แต่ก็ปรากฏว่า เรายังไม่หายอึดอัดในใจ แบบนี้ล่ะก็...เราก็ไม่ควรนิ่งดูดายนะครับ เพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่แสดงว่า เราอาจกำลังเดินไปสู่ทางตันของงานนั้นๆ หรือองค์กรนั้นๆ แล้วก็เป็นได้ เมื่อหมดใจก็เลยพลอยทำให้ไฟทำงานนั้นมอดลง...ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อใครเลย, ทั้งกับตัวคุณ, กับเพื่อนร่วมงาน, กับองค์กร และที่สำคัญ...กับลูกค้า ... สังเกตง่ายๆ ครับ...เรารู้สึกถึงความเหนื่อยหน่ายเวลานึกถึงที่ทำงานของเรารึเปล่า? ก่อนจะหลับตานอนในแต่ละคืน...มีความรู้สึกว่าอยากจะตื่นขึ้นไปทำงานมั๊ย? ถ้าไม่...คุณอาจต้องถามและตอบตัวเองอย่างซื่อสัต...

Post#3-285: Finding Dory

Post#3-285: ก็อย่างที่จั่วหัวไว้ครับ...นางฟ้าตัวน้อยของผม ชวนไปดู Finding Dory จริงๆ แล้ว ผมตั้งใจเข้าไปหลับ แต่แล้วก็กลับกลายเป็น ผมดูจนจบด้วยความประทับใจกับเนื้อเรื่อง ต้องชม Pixar ที่ผูกเรื่องได้เหมาะเจาะ มีที่มาที่ไป และสอดแทรกแง่คิดพร้อมมุขตลกไว้ได้อย่างกลมกล่อมลงตัว ... ผมไม่อาจพูดถึงส่วนของเนื้อเรื่องโดยละเอียดได้ เพราะถือเป็นกฎเหล็กของการวิจารณ์หนัง...ได้แต่บอกโดยสรุปได้ว่า มันเป็นเรื่องของปลาขี้ลืมตัวหนึ่ง ที่ต้องการเดินทางตามหาครอบครัว หลังจากที่เธอเห็น Nemo มีความสุขหลังจากได้อยู่กับพ่อแล้ว จากจุดเล็กๆ นี้ Pixar หยิบมาขยายความได้อย่างน่ารัก...และถ้าคุณสนุกกับ Finding Nemo คุณน่าจะชอบ Finding Dory มากกว่า ... แน่นอนว่า ครั้งนี้ผมก็ได้แง่คิดดีๆ ไว้คุยกับลูกอีกเช่นเคย Dory ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า "There must be another way..." อยู่เสมอ...ตราบเท่าที่เราไม่เลิกล้มความตั้งใจ ...สรุปสั้นๆ ว่า "Don't give up!" ครับ...

Post#3-284: บริการแบบท่องจำ

Post#3-284: ปกติผมเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ, แต่ถ้าเมื่อไหร่คิดจะดื่ม ผมก็จะดื่มอยู่แค่ร้านเดียว...เพราะลองมาหลายร้านแล้ว คิดว่ากาแฟที่ร้านนี้ถูกใจผมเป็นที่สุด นอกเหนือไปจากกาแฟรสเยี่ยมสำหรับผมแล้ว ร้านนี้ก็ใส่ใจในการสร้างร้านเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่าร้านอื่นๆ ตรงที่มี plug ให้เสียบทำงานแทบจะทุกที่...ยิ่งตอนนี้มี Free Wi-fi ด้วยแล้ว...ร้านนี้ก็ยิ่งใกล้เคียงกับนิยามร้านในฝันเลยก็ว่าได้ จุดขายที่แข็งแกร่งอีกเรื่องหนึ่งของร้านนี้ ก็อยู่ที่เค้าฝึกให้ Barista ทำงานด้วยหัวใจ...รู้จักทักทายและสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้าเจ้าประจำ เมื่อลูกค้า feel like home ก็จะกลับมาใช้บริการบ่อยๆ...ซึ่งเป็น "หัวใจสำคัญ" ที่ผูกลูกค้าเอาไว้...แบบเดียวกับที่ทำให้ร้านโชห่วยไม่มีวันล้มหายตายจาก ไปจากบ้านเรา ... เมื่อผนวกเอาความเยี่ยมของสินค้า, ความเจ๋งของการทำร้าน มารวมกับการผูกมิตรกับลูกค้า...ก็สมควรแล้ว...ที่ร้านนี้จะเป็นร้านอันดับหนึ่งของคนทั่วโลก... แม้ราคาจะแพงแบบน่าตกใจ แต่ก็มีลูกค้าหลายล้านคนยอมจ่าย...เปิดร้านที่ไหน ผมก็เห็นคนแน่นทุกที แปลว่า ลูกค้าจะรู้สึกว่า ราคาที่จ่ายแพงหรือไม่...ล้วนขึ้...

Post#3-283: คน 3 พวก

Post#3-283: เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานี้เอง...ผมมีโอกาสได้นำเสนอแผนธุรกิจให้กับเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพมากท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ พี่ S นะครับ) ได้รับฟัง พี่ S เป็นพี่ชายที่ช่วยเหลือผมมามากมายหลายครั้ง ทั้งด้านกำลังใจและด้านกำลังทรัพย์...ทำให้ผมพาลูกน้องรอดมรสุมเศรษฐกิจมาได้จนทุกวันนี้ แม้ไม่ได้เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา...แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าผมมีพี่ชายจริงๆ เค้าจะรักและเอ็นดูผมเหมือนที่พี่ S มีให้ผมรึเปล่า? ... ว่ากันว่า มีคนอยู่ 3 พวก ที่เรามิอาจลืมได้ตลอดชั่วชีวิตของคนเรา หนึ่ง...คือ คนที่ช่วยเหลือเราในยามทุกข์ยาก สอง...คือ คนที่ทิ้งเราไป เมื่อเราเผชิญกับความทุกข์ยาก และสาม...คือ คนที่ทำให้เราตกอยู่ในความทุกข์ยาก ... กับคนพวกที่หนึ่ง...นับเป็นคนที่สอนให้เรารู้จักกับ คำว่า "น้ำใจ"...มีโอกาสเมื่อไหร่ จงอย่าลังเลที่จะตอบแทนด้วย "ความกตัญญู" กับคนพวกที่สอง...ก่อนที่เราจะโกรธเค้า...พิจารณาให้ดีว่า ถ้าเราเป็นเค้า เราจะทำแบบเดียวกันมั๊ย? เค้ามีความจำเป็นอะไรรึเปล่า? กับคนพวกที่สาม...ก่อนที่เราจะตัดเค้าออกจากชีวิต...ลองทบทวนดูอีกที เค้าจงใจหรือมันเป็นค...

Post#3-282: มองแค่ท้ายรถคันหน้า

Post#3-282: หนึ่งในปัญหาของคนพึ่งหัดขับรถใหม่ๆ คือเรื่องของการเบรครถแบบกระทันหัน ส่วนใหญ่ที่ผมถามโดยตรงจากคนขับ...เค้าหรือเธอมักจะตอบว่า "ก็เพราะคันข้างหน้าเบรคกระทันหันนะสิครับ/ค่ะ" ก็ต้องบอกว่า "ตอบไม่ผิด" หรอกครับ...แต่สิ่งที่มือใหม่หัดขับยังทำไม่ถูก ก็คือการมองไปแค่ท้ายรถคันหน้า ... ว่าแล้วก็ทำให้ผมคิดไปถึงสมัยที่ผมหัดขับรถใหม่ๆ ผมก็มีปัญหาแบบนี้เหมือนกัน... วันหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมก็ชวนให้ "คนขับรถ" (สมมติว่าชื่อ M นะครับ) นั่งประกบไปด้วย เพื่อช่วยสอนให้ผมขับรถเก่งขึ้น ขับไปได้ระยะหนึ่ง, ระหว่างติดไฟแดงอยู่ M ก็ถามผมว่า "เวลาเจ้านายขับรถ มองไปที่ไหนครับ?" ผมงงกับคำถาม ไม่แน่ใจว่า M ถามคำถามนี้เพราะอะไรแน่...เลยหันไปทำหน้างงๆ M หันมายิ้มให้ แล้วขยายความต่อว่า "ผมหมายถึงเจ้านายมองไปแค่ท้ายรถคันหน้าใช่มั๊ยครับ?" ผมทึ่งและงง จึงถาม M ว่า รู้ได้ยังไง, และ M ก็เฉลยว่า... "ก็เพราะเจ้านายเบรคแบบหัวทิ่มบ่อยครั้ง นั่นคงเป็นเพราะเจ้านายคงมองไปแค่ท้ายรถคันหน้า...ใช่มั๊ยครับ?" เมื่อเห็นผมเงียบด้วยอาการยอมรั...

Post#3-281: คบไฟส่องทาง

Post#3-281: ผมอาจจะเป็นหนึ่งในพวกสุดโต่งหลายๆ คนบนโลกนี้ เวลาพูดถึงเรื่อง "ความบ้างาน" เปล่าครับ...ไม่ได้พูดเอาเท่ เพราะใครที่รู้จักผมดีก็จะรู้ว่า ผมเป็นพวก Workaholic ชนิดเข้าเส้น มองให้เป็นข้อดีก็ใช่ แต่จะว่าไปมันก็เป็นข้อเสียเช่นกัน...เอาเป็นว่า จะเป็นข้อดีหรือข้อเสีย ก็เป็นมุมมองของแต่ละปัจเจกก็แล้วกันนะครับ ... เมื่อพูดถึงเรื่องความเอาจริงเอาจังกับงาน...ก็คงละไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่อง "เป้าหมาย" เมื่อมีเป้าหมาย ก็ต้องมีวิธีการเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นๆ...ซึ่งแม้จะรู้เป้าหมายและวิธีการ ก็ใช่ว่า ใครสักคนจะไปถึงเป้าหมายหรือเส้นชัยที่ต้องการได้ทุกคนไป ยิ่งเป้าหมายยิ่งใหญ่...อุปสรรคระหว่างทางก็จะยิ่งมากมี ดังนั้น นอกจากต้องมีพลังกายที่มากพอแล้ว ยังต้องมีพลังใจที่เปี่ยมล้นด้วยเช่นกัน ... ฝรั่งเองก็พูดถึงเรื่องนี้ไว้แบบนี้ครับ "Purpose is the reason you journey. Passion is the fire that lights your way." "เป้าหมาย (หรือจุดประสงค์) นั้นเป็นเหตุผลว่า ทำไมคุณจึงเดินทาง. แรงบันดาลใจนั้น ก็เปรียบดังคบไฟที่ส่องทางไปสู่จุดหมายของคุณ" ...

Post#3-280: จะชนะศึกหรือชนะสงคราม?

Post#3-280: ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมมีเหตุต้องออกไปขอโทษลูกค้า เนื่องมาจากความหวังดีและเป็นห่วงบริษัทฯ ของลูกน้องตัวเอง ฟังแล้วอาจจะแปลกๆ อยู่บ้าง...จะเป็นไปได้ยังไงกัน...หวังดีแต่กลายเป็นทำให้ผมต้องไปขอโทษลูกค้า ความจริงก็คือ...ลูกน้องผมเห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัทฯ จนลืมคิดไปว่า ลูกค้าของเราอาจจะได้รับผลกระทบ (ที่เธอนึกไปไม่ถึง...เพราะยังด้อยประสบการณ์) ... ผมไม่คิดจะตำหนิหรือลงโทษลูกน้อง...แต่ทันทีที่เกิดเรื่อง ผมถึงกับต้องเชิญเธอและเจ้านายสายตรงของเธอมาทำความเข้าใจเสียใหม่ ว่า "ก่อนที่เราจะได้ประโยชน์...สำคัญกว่านั้น คือการต้องทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์ก่อน" เปล่าครับ...ผมไม่ได้สร้างภาพ แต่นี่คือปรัชญาที่ผมได้รับการถ่ายทอดจากเจ้านายหลายๆ ท่าน รวมไปถึงเป็นประสบการณ์ที่ผมสั่งสมมาตลอด 20 ปี มานี้ ... จะเป็นการดีที่สุด...หากเราทำให้ลูกค้าพึงใจได้พร้อมๆ กับที่เราได้กำไรอย่างงาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรามักต้องหาจุดสมดุลย์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย ในขณะเดียวกัน เราก็ยังคงมีกำไรเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจ เรียกว่า ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ...

Post#3-279: Game Theraphy

Post#3-279: ผมเป็นคนชอบเล่นเกมชนิดเข้าเส้น...เล่นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมจนบัดนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะเลิกอยากจะเล่น (Post#2-219) สิ่งที่ผมได้รับมาจากการเล่นเกมนั้น มันมากมายเสียจนผมสาธยายแทบไม่หมด... ดังนั้น เวลาใครกล่าวโทษว่า เกมทำให้เด็กเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือเกมเป็นต้นเหตุของอาชญากรรม ผมก็มักจะเศร้าและไม่พอใจเอาเสียเลย ... แม้ว่าผมจะไม่ใช่นักจิตวิทยา แต่ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า เกมกลับมีส่วนหล่อหลอมพฤติกรรมในวัยเด็กของคนเราเป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้... อาจจะมีบ้าง ที่บางคนอาจจะเล่นเกมแบบขาดการควบคุมและแยกแยะเกมกับความเป็นจริงไม่ออก...แต่ผมมั่นใจว่า คนแบบที่ว่านั้น น่าจะเป็นส่วนน้อยเหลือเกิน และส่วนน้อยที่ว่านั้น ก็ไม่ควรจะเป็นเหตุผลที่เราควรจะพรากเกมออกจากชีวิตของเด็กๆ หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่อย่างเราๆ ... ถ้าเราเลือกประเภทของเกมได้ถูกต้อง...สิ่งที่เกมสอนเด็กๆ ได้ดีมาก ก็คือเรื่องของจินตนาการและเทคนิคในการแก้ปัญหา การเลือกเกมนั้น ก็ไม่ได้ต่างจากการเลือกอาหาร...ต่างกันแค่ว่า "เกม" นับเป็นอาหารสมองโดยแท้...การเลือกอาหารให้ถูกปาก จึงไม่ต่างจากการเลือกเกมให้ถ...

Post#3-278: ถ่ายทอดสด

Post#3-278: วันนี้ผมมีอันต้องฉายเดี่ยวมาทำธุระที่ห้างฯ เหตุเพราะนางฟ้าของผมทั้งสองคนติดดูถ่ายทอดสด "วอลเล่ย์บอล" ^^ คิดแล้วก็ขำเวลาที่เห็นลูกสาวเชียร์ตามแม่...แม้จะดูไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม...รู้แต่ว่าถ้าผู้เล่นทำท่าดีใจ แปลว่าได้คะแนน แม้ความจริงผมจะเป็นพวกติดครอบครัว และอยากให้ทั้งสองคนมาด้วย...แต่ผมก็เข้าใจดี ว่าการบังคับให้คนที่ติดดูละครหรือกีฬาต้องทิ้งหน้าจอมา...มันทรมานใจยังไง ^^ ผมเองก็เป็นเวลาดูทีมฟุตบอลที่รัก...ใครเอาช้างมาฉุดก็ยากที่จะย้ายสายตาผมออกจากหน้าจอได้ ... การดูสดๆ ให้ความรู้สึกที่คุกรุ่นและดีกว่าไปดูย้อนหลังผ่าน Youtube มาก...เพราะเราอยู่กับปัจจุบัน...แบบที่ต้องลุ้นไปกับมันแบบนาทีต่อนาที ต่อให้ละคร, หนัง หรือการแข่งขันนั้น จะสนุกยังไงก็แล้วแต่...ถ้าเรารู้ตอนจบเสียก่อนก็หมดค่า หากแต่เมื่อไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นยังไง...นาทีต่อนาทีที่ผ่านไป จึงมีค่าและความหมาย...ทั้งคนดูในสนามและคนดูถ่ายทอดสดของแต่ละทีม จึงรวมพลังใจเป็นหนึ่งในการเชียร์ทีมรักของตน และก็เพราะไม่รู้อนาคต...ผู้เล่นจึงต่างต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในทุกๆ ขณะจิต...เผลอไผลไปเพียงนิด อาจหมา...

Post#2-277: มัดมือชก

Post#2-277: โดยส่วนตัวผมเกลียด (ไม่ใช่ "ไม่ชอบ" นะครับ แต่ "เกลียด") วิธีการแบบมัดมือชกเป็นที่สุด ปกติผมจะให้พื้นที่ทำงานกับคนรอบข้างมากเป็นพิเศษ...เรียกว่า ตราบใดที่อยู่ในกรอบการทำงานที่ตกลงกันไว้...จะยืน จะเดิน จะนั่ง หรือจะนอน ก็ตามสบาย...ตราบเท่าที่ไม่ล้ำเส้น ผมก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามาพร้อมกับการ "บีบ" หรือ "มัดมือชก" ให้ผมต้องยอมกับการตัดสินใจที่เค้าหรือเธอทำไป โดยเอาเงื่อนเวลาและบริษัทฯ เป็นตัวประกัน แล้วล่ะก็...แบบนี้ผมไม่ ok ... ส่วนใหญ่แล้ว "การมัดมือชก" ของลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงาน มักเกิดจากไม่กี่สาเหตุ ที่ผมเจอด้วยตัวเองและวิเคราะห์เอง ก็มักเกิดจาก... หนึ่ง...ไม่อยากทำงานเยอะ, อยากทำงานง่ายๆ ก็พอ, ก็ทำแค่นี้ก็พอแล้ว จะเอาอะไรมากมาย...ซึ่งเราจะพบนิสัยแบบนี้ได้กับพวกชอบทำงาน routine และพวกไม่มองความก้าวหน้าของตัวเอง สอง...เจ้านายสั่งงานไปแล้ว, แต่ตัวเองลืม (และไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองลืม) พอใกล้ๆ deadline ก็เลยจำต้องใช้ไม้ตายเอาตัวรอด ทำแบบขอไปที สาม...เกิดจาก ego ส่วนตัว เป็นพวกฉันจะทำเสียอย่าง ใครจะทำไม...แบบนี้พบ...

Post#2-276: When "Signature" becomes "Autograph"...

Post#2-276: แม้จะรู้ว่า การทำงานหนักนั้น ไม่ได้จบลงด้วย "ความสำเร็จ" เสมอไป...แต่ผมก็คิดว่า เราก็ไม่ควรจะย่อท้อ อย่างที่เคยคุยกันไว้หลายๆ ครั้งครับ...แม้ว่าสุดท้ายเราจะยังไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าเราไม่ถอดใจยอมแพ้ไปเสียก่อน เราก็จะเข้าใกล้มันอีกก้าวหนึ่งแน่ๆ ระหว่างทางไปสู่ความสำเร็จ...เราจึงต้องเรียนรู้จากความล้มเหลว เพื่อให้ครั้งต่อไปของเราดีขึ้นและดีขึ้น เราอาจจะต้องล้มเหลวนับสิบนับร้อยครั้ง แต่ก็ยังดีกว่านั่งรอความสำเร็จโดยไม่ลงมือทำอะไรเลย...แล้วได้แต่หวังว่า เทวดาท่านจะประทาน "ความสำเร็จ" มาให้ ... ใครก็ไม่รู้กล่าวไว้ว่า... "Work so hard that one day your signature will be called an autograph." แปลว่า "จงทำงานอย่างหนัก เพื่อที่ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ลายเซ็นธรรมดาๆ ของคุณ จะถูกเรียกว่า ลายเซ็นของคนดัง" ... เมื่อใดก็ตามที่มีคนยินดีและภาคภูมิที่ได้รู้จักและพูดคุยกับคุณ จนถึงกับนำไปบอกเล่าต่อ นั่นก็ย่อมเป็นสิ่งแสดงให้คุณเองได้รับรู้และยินดีได้บ้างแล้วว่า ความทุ่มเททำงานหนักของคุณเริ่มที่จะส่งผลในทางบวก ...

Post#3-274: สิ่งที่ได้ทำ vs สิ่งที่ไม่ได้ทำ

Post#3-274: วันนี้เป็นอีกวันที่ผมประชุมเยอะมากจริงๆ...เรียกว่าเลิกประชุมหนึ่งก็ต่ออีกประชุมหนึ่งเลยก็ว่าได้...ช่วงหัวค่ำนี่คือ peak สุด ประชุมซ้อนกัน 3 วงพร้อมกัน เนื่องมาจากสภาพการจราจรติดขัด ทำให้ตารางประชุมของผมรวนไปหมด...นี่ผมก็เพิ่งจะเสร็จประชุมสุดท้ายของวัน...เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง ลูกน้องผมคนหนึ่งถามว่า ประชุมเยอะขนาดนี้...ไม่ปวดหัวบ้างหรือ? ผมหันไปยิ้มให้แล้วตอบว่า "ปวดสิ (วะ) แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะพี่เลือกเอง" ... ชะรอยว่า Mark Twain คงจะคิดคล้ายๆ ผม...ก็เลยแสดงทรรศนะไว้ว่า... "Twenty Years from now, you will be more disappointed by the things you didn't do than by the ones you did do" แปลว่า "ยี่สิบปีนับจากนี้, คุณจะผิดหวังกับสิ่งที่คุณไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่คุณทำลงไปแล้ว" ... ผมเองก็ไม่รู้ว่า การที่ผมนั่น นู่น นี่ หลายสิ่งเยอะเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องที่ถูกหรือไม่ในสายตาของคนอื่น ...ผมรู้แต่ว่า ผมมีความสุขกับการมีชีวิตที่ยุ่งเพราะเรื่องงาน มากกว่าการมีชีวิตที่ว่างเพราะไม่มีงานทำ ใครก็ไม่รู้...ได้กล่าวไว้... ......

Post#3-273: คนกลาง

Post#3-273: เมื่อวานนี้ ผมต้องทำตัวเป็นท้าวมาลีวราชว่าความอีกครั้ง เนื่องมาจาก Partner ของผมมีความเห็นไม่ตรงกันในหลายประเด็น หลายๆ ครั้ง คนที่เป็นคนกลางมักจะพบว่า เรื่องที่แต่ละฝ่ายเล่ามา ทำไมไม่ค่อยจะตรงกันเลย...แปลว่าอีกฝ่ายพูดไม่จริงรึเปล่า? คำตอบที่ผมพอจะสรุปได้ก็คือ...อาจจะเป็นไปได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดไม่จริง...หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า แต่ละฝ่ายต่างก็พูดเรื่องจริง เปล่าครับ...ผมไม่ได้ยียวนแต่อย่างใด ... ความเป็นไปได้ที่ผมพบบ่อยๆ ก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็พูดความจริงทั้งคู่...แต่เป็นความจริงตาม "มุมมองของตัวเอง" เป็นหลัก เมื่อมองจากมุมของตัวเอง...ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่อาจมองอย่าง "เข้าข้างตัวเอง" อยู่บ้าง ดังนั้น การขัดแย้งกันจึงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงได้ยากเหลือเกิน เพราะต่างฝ่ายต่างก็ (เชื่อว่า) ตัวเองพูดจริง ... โดยมากแล้ว ความเห็นไม่ตรงกันจึงมักจะต้องแก้ด้วยการเปิดอกพูดคุย...แต่แล้วก็มักจะมี ego เป็นตัวสกัดกั้น ไม่ให้การพูดคุยปรับความเข้าใจนั้น เกิดขึ้นได้ง่ายนัก ตรงนี้ "คนกลาง" จึงนับว่ามีบทบาทสำคัญไม่น้อยที่จะทำให้การพูดคุยกันของทั้งสองฝ...

Post#3-272: Toys Station

Post#3-272: บ่ายวันนี้ ผมมาร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนรัก เนื่องในโอกาสที่เค้าเปิดร้านใหม่ที่ Siam Discovery เพื่อนผมจัดว่าเป็น Guru ในวงการ Character Licensing ของเมืองไทย และเค้าก็ทำงานอยู่กับมันมานับสิบปี ทุกลมหายใจเข้าออกของเค้า...มันก็ผูกพันและวนๆ เวียนๆ อยู่กับ Character Licensing ทั้ง Toy, Game, Hobby, Model และ Animation ... สำหรับผมแล้ว...มันเป็นอาชีพที่น่าอิจฉา เพราะได้อยู่ท่ามกลางสิ่งที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็หลงรัก ถ้าจะใช้คำว่า "หลงใหล" ไปกับงานที่เค้าทำอยู่น่าจะตรงความเป็นจริงมากกว่า... งาน Thailand Comic Con. ที่เป็นกระแส Pop Culture ที่โด่งดังต่อเนื่อง ก็มาจากฝีมือของเค้าและน้องชายนั่นเอง และ Toys Station สาขา Siam Discovery ก็เป็นหนึ่งในงานที่เป็นรูปธรรม ที่เพื่อนผมแปลงความหลงใหลใน Character Licensing ซึ่งเป็นสิ่งที่ "จับต้องไม่ได้" ให้เป็นสิ่งที่ "จับต้องได้" ได้อย่างชัดเจนเหลือเกิน ... เมื่อเดินเข้ามาในร้าน, ผมรู้สึกว่าได้กลับไปเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง...ความทรงจำในช่วงที่ยังเป็นวัยละอ่อนวิ่งผ่านห้วงความคิดไปอย่างรวดเร็ว ...

Post#3-271: ทัพหน้าออกรบ

Post#3-271: ผมมาเยือนพม่าหนนี้ด้วยความจำเป็นที่จะต้องบินมาช่วยเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังวางแผนทำงานบางอย่าง ว่ากันตามจริง แม้ว่างานของผมจะยุ่งวุ่นวายพอดู แต่ก็ไม่อาจดูดายให้เพื่อนที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องต่อสู้เพียงลำพังได้ ผมเข้าใจความรู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำได้ดี...เพราะผ่านประสบการณ์เสมือนกำลังจะจมน้ำก็หลายครั้ง และแต่ละครั้งก็มีทั้งเพื่อนๆ และพี่ๆ หลายท่าน ยื่นมือมาช่วยไว้ได้ทัน ดังนั้น ผมจึงไม่ลังเลที่จะช่วยเพื่อนคนไหนก็ตาม...หากว่าจังหวะและโอกาส พร้อมๆ กับความสามารถของผมเอื้ออำนวยพอดิบพอดี ... เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่บางครั้งเราหาทางออกของชีวิตไม่เจอ...แม้ว่าจริงๆ แล้วทางออกที่ว่าก็อยู่ตรงหน้านั่นเอง มันเหมือนกับมีปัญหามาบังตา ทำให้มองอะไรไม่เห็น คิดอะไรไม่ออก...สุดท้ายก็เลยหมดแรงจะแก้ปัญหาไปอย่างน่าเสียดาย มานั่งทบทวนดูแล้ว...ส่วนมากคนที่ fail กับเรื่องงาน ยังไงก็ยังมีแรงจะสู้ต่อ ถ้าเค้ายังได้รับแรงใจจากทีมงานและครอบครัว แต่คนที่ fail เรื่องครอบครัวก่อน...โดยมากก็จะ fail เรื่องงานตามมา... ผมวิเคราะห์เองว่า คงเพราะไม่เหลือเหตุผลที่จะสู้ต่อ...เพราะต่อให้สู้สำเร...

Post#3-270: What you can become...

Post#3-270: ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากมีชีวิตที่เหนื่อยยาก...ทุกคนน่าจะอยากสบาย ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อผมได้มีโอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความเห็นกับนักธุรกิจใหญ่และเจ้าของกิจการระดับประเทศ หลายๆ ท่าน...ทุกท่านต่างก็ลงความเห็นคล้ายๆ กันว่า... เมื่อช่วงก่อร่างสร้างตัว ก็อาจจะใช่ที่เรามุ่งทำงานหนักก็เพื่อเงิน...แต่เมื่อถึงช่วงอายุและฐานะหนึ่ง เราจะทำงานโดยมุ่งไปที่ "ความท้าทาย" เป็นหลัก เราจะอยากรู้ว่า เราจะสามารถเติบโตไปได้ไกลแค่ไหนกันแน่? ... ผมไม่อาจฟันธงได้ว่า สิ่งที่ท่านผู้ประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือได้แชร์มานั้น ถูกต้องมากน้อยประการใด...เพราะผมยังไปไม่ถึงจุดที่ท่านยืนอยู่ แต่ผมก็เชื่อท่าน...เพราะสิ่งที่ท่านพูดนั้น มันปรากฏให้ผมเห็นเป็นรูปธรรมอยู่ตรงหน้า อีกทั้งมองไม่เห็นเหตุผลประการใดที่ท่านจะมาพูดเรื่องไม่จริงให้ผมฟัง ผมชอบเวลาที่ท่านเล่าถึงวิธีคิดเมื่อเจออุปสรรค และท่านแชร์ให้ฟังว่า ก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ที่ว่าได้อย่างไร...เพราะมันสร้างแรงบันดาลใจ และจุดประกายความคิดให้กับผมไปพร้อมๆ กัน ... ตามความเห็นของผมแล้ว ผมเช...

Post#3-269: ไม่แยกแยะ

Post#3-269: บ่ายวันนี้ผมมีประชุมกับเพื่อนรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง ถึงความเป็นไปได้ในการทำงานร่วมกัน จริงอยู่ที่เมื่อคนเราสนิทกัน...ก็ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่นั่นเป็นเรื่องตอนเริ่มต้นเท่านั้นเองครับ ผมพบว่าบางครั้งการทำงานกับคนที่สนิทกันนั้น...งานเดินได้ช้า, ไม่ค่อยเป็นแบบแผน และที่สำคัญ มันไม่ค่อยจริงจังเท่าที่มันควรจะเป็น ... ความจริงผมอาจจะด่วนสรุปไปนิด...เพราะหลายๆ คนก็ไม่เห็นจะมีปัญหาในการทำงานกับเพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิด ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยอย่างจริงใจครับ...เพราะถือว่าคุณได้รับพรจากฟ้าเข้าให้แล้ว ได้ทำงานไปพร้อมกับสานสัมพันธ์ส่วนตัวไปด้วยนี่...มันก็สุขคูณสองดีๆ นี่เองครับ แต่ก็มีอีกมาก ที่ประสบกับสภาพ "กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก" อย่างที่ผมเป็น ... สาเหตุที่เกิดความไม่ลงตัวกันนั้น มีได้หลายสาเหตุ...ซึ่งผมแทบจะฟันธงได้เลย ว่าหนึ่งในสาเหตุหลักนั้น เกิดจาก "ความไม่รู้จักแยกแยะ" เวลาทำงาน เราจึงต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกอย่างเด็ดขาด...แต่คนไทยส่วนใหญ่มักบกพร่องเรื่องการแยกแยะ โดยเฉพาะ Family Business มักจะมีปัญหาแบบนี้ไม่เว้นแต่ละวัน เพ...

Post#2-268: Silence & Smile

Post#2-268: ว่ากันว่า อาวุธสำคัญของคนเราในการระงับปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น และใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ก็คือ การวางเฉย และรอยยิ้ม นั่นเองครับ อย่างที่ฝรั่งว่าไว้ว่า... "Silence & Smile are two powerful tools. Smile is the way to solve many problems and Silence is the way to avoid many problems." แปลอีกทีว่า "การเงียบ และการยิ้ม เป็นสองเครื่องมืออันทรงพลัง. การยิ้ม เป็นวิถีในการแก้ปัญหาหลายเรื่อง และการ (รู้จัก) เงียบ (เสียบ้าง) ก็เป็นวิถีในการระงับปัญหาหลายๆ เรื่อง" ... ในความเป็นจริงแล้ว อาวุธอันทรงพลังทั้งสองนี้...กลับกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยจะนำออกมาใช้...ทั้งๆ ที่เราก็เกิดมาพร้อมกับมัน นั่นแหละ เหตุเพราะ เรามักจะปล่อยให้อารมณ์ครอบงำสติไปเสียหมด...ทำให้เราลืมที่จะงัดอาวุธที่ว่ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็แน่ล่ะครับ...ลองถ้าเราปล่อยให้อารมณ์ครอบงำสติได้...ก็ยากครับที่เราจะทำอะไรด้วยตรรกะที่ถูกต้องได้ ... เมื่อใดที่เราระงับโทสะไม่ได้ เราก็มักจะโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยความขาดสติ จึงไม่ทันได้หยิบ Silence ขึ้นมาใช้ และเมื่อใดที่เราเผชิญกับปัญหา เราก็...