Post#3-294:
หลายๆ คนมักจะตื่นตระหนกเป็นพิเศษ เวลาที่ต้องทำอะไรก็ตามภายใต้ความกดดัน
มากครั้งที่มีเวลามาบีบมากๆ เข้า ก็ถึงกับทำให้คนๆ นั้นไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเป็นเรื่องเป็นราว กันเลยทีเดียว
ยังไงก็ตาม ใช่ว่าความกดดันจะเป็นเรื่องไม่ดีไปเสียทั้งหมด...เพราะความกดดันที่พอเหมาะพอสมนั้น อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างกับใครบางคนได้เช่นกัน
...
สำหรับลูกน้องแล้ว...การสร้างแรงกดดันและแรงกระตุ้นนั้น ถือเป็นหนึ่งตัววัดความสามารถของบรรดาเจ้านายทั้งหลาย ในหมวดที่ว่าด้วย "ศิลปะแห่งการใช้คน"
การที่เรากดดันมากจนเกินไป ลูกน้องก็จะทนไม่ได้ และการที่เราปล่อยปละจนเกินงาม ลูกน้องก็จะปวกเปียก
แต่อะไรคือจุดกึ่งกลางหรือจุดพอดีระหว่าง "มากไป" กับ "น้อยไป" นั้น...มันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการสังเกตและการเทียบเคียงกับสภาพแวดล้อมของแต่ละองค์กร
...
น่าเสียดายที่ส่วนหนึ่งของเด็กสมัยนี้ (ผมขอนิยามว่าเป็นกลุ่ม W ก็แล้วกันนะครับ) มักจะตีความเรื่อง "แรงกดดัน" ว่าเป็นปัจจัยลบเสียเป็นส่วนมาก
เมื่อเผชิญกับแรงกดดันไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม กลุ่ม W จะเลือกหันหลังวิ่งหนี แทนที่จะหาหนทางก้าวข้ามแรงกดดันนั้นๆ
กลุ่ม W จึงไม่ชอบให้ใครมากดดัน ในขณะเดียวกันถ้าไม่มีใครมาจี้เรื่องงาน ก็อย่าหวังว่าจะมีงานส่งมอบ
ที่สำคัญ กลุ่ม W นั้น เปี่ยมไปด้วยความสามารถในการหาข้ออ้างมาอธิบายได้ว่า อะไรทำให้งานของเค้าและเธอไม่สำเร็จ
ค่านิยมในการต้องการค่าตอบแทนมากๆ ในขณะที่ต้องการทำงานน้อยๆ หรือสบายๆ กำลังกลายเป็นค่านิยมกระแสหลักของ กลุ่ม W
...
สำหรับผมแล้ว...ผมเลือกที่จะไม่ให้ราคากับกลุ่ม W ที่ว่า...แล้วหันไปใส่ใจกับเด็กๆ ที่เป็นกลุ่ม Non W
ผมมักจะบอกกลุ่ม Non W ว่าความสำเร็จนั้น มิอาจจะเกิดขึ้นได้ หากว่าเรามิได้ผ่านการทำงานและทุ่มเทอย่างหนัก
กลุ่ม Non W จึงถือเป็นก้อนคาร์บอนที่ต้องผ่านแรงกดดันอันเหมาะสม เพื่อให้แปรสภาพเป็น "เพชร"
...เราจึงต้องเลือกก้อนคาร์บอนให้ดี แล้วนำไปผ่านแรงกดดันอย่างพอเหมาะพอสม...แล้วรับรองว่า ผลตอบแทนนั้น จะ "คุ้มค่า" อย่างแน่นอนครับ...
หลายๆ คนมักจะตื่นตระหนกเป็นพิเศษ เวลาที่ต้องทำอะไรก็ตามภายใต้ความกดดัน
มากครั้งที่มีเวลามาบีบมากๆ เข้า ก็ถึงกับทำให้คนๆ นั้นไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเป็นเรื่องเป็นราว กันเลยทีเดียว
ยังไงก็ตาม ใช่ว่าความกดดันจะเป็นเรื่องไม่ดีไปเสียทั้งหมด...เพราะความกดดันที่พอเหมาะพอสมนั้น อาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างกับใครบางคนได้เช่นกัน
...
สำหรับลูกน้องแล้ว...การสร้างแรงกดดันและแรงกระตุ้นนั้น ถือเป็นหนึ่งตัววัดความสามารถของบรรดาเจ้านายทั้งหลาย ในหมวดที่ว่าด้วย "ศิลปะแห่งการใช้คน"
การที่เรากดดันมากจนเกินไป ลูกน้องก็จะทนไม่ได้ และการที่เราปล่อยปละจนเกินงาม ลูกน้องก็จะปวกเปียก
แต่อะไรคือจุดกึ่งกลางหรือจุดพอดีระหว่าง "มากไป" กับ "น้อยไป" นั้น...มันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการสังเกตและการเทียบเคียงกับสภาพแวดล้อมของแต่ละองค์กร
...
น่าเสียดายที่ส่วนหนึ่งของเด็กสมัยนี้ (ผมขอนิยามว่าเป็นกลุ่ม W ก็แล้วกันนะครับ) มักจะตีความเรื่อง "แรงกดดัน" ว่าเป็นปัจจัยลบเสียเป็นส่วนมาก
เมื่อเผชิญกับแรงกดดันไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม กลุ่ม W จะเลือกหันหลังวิ่งหนี แทนที่จะหาหนทางก้าวข้ามแรงกดดันนั้นๆ
กลุ่ม W จึงไม่ชอบให้ใครมากดดัน ในขณะเดียวกันถ้าไม่มีใครมาจี้เรื่องงาน ก็อย่าหวังว่าจะมีงานส่งมอบ
ที่สำคัญ กลุ่ม W นั้น เปี่ยมไปด้วยความสามารถในการหาข้ออ้างมาอธิบายได้ว่า อะไรทำให้งานของเค้าและเธอไม่สำเร็จ
ค่านิยมในการต้องการค่าตอบแทนมากๆ ในขณะที่ต้องการทำงานน้อยๆ หรือสบายๆ กำลังกลายเป็นค่านิยมกระแสหลักของ กลุ่ม W
...
สำหรับผมแล้ว...ผมเลือกที่จะไม่ให้ราคากับกลุ่ม W ที่ว่า...แล้วหันไปใส่ใจกับเด็กๆ ที่เป็นกลุ่ม Non W
ผมมักจะบอกกลุ่ม Non W ว่าความสำเร็จนั้น มิอาจจะเกิดขึ้นได้ หากว่าเรามิได้ผ่านการทำงานและทุ่มเทอย่างหนัก
กลุ่ม Non W จึงถือเป็นก้อนคาร์บอนที่ต้องผ่านแรงกดดันอันเหมาะสม เพื่อให้แปรสภาพเป็น "เพชร"
...เราจึงต้องเลือกก้อนคาร์บอนให้ดี แล้วนำไปผ่านแรงกดดันอย่างพอเหมาะพอสม...แล้วรับรองว่า ผลตอบแทนนั้น จะ "คุ้มค่า" อย่างแน่นอนครับ...
Comments
Post a Comment