Skip to main content

Posts

Showing posts from February, 2017

Post#4-175: Comfort Zone ไม่ใช่สถานที่

Post#4-175: เช้านี้ ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้สมัครท่านหนึ่ง...และหนึ่งในคำถามที่ผมถามเธอก็คือ "ทำไมเธอถึงอยากเปลี่ยนงาน" เธอตอบผมว่า "รู้สึกว่าไปทำงานแล้ว ตัวเองฉลาดน้อยลงไปทุกวันๆ" ดังนั้น ก่อนที่จะไม่เหลือความฉลาดอยู่เลย...เธอจึงตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ ... บ่ายวันนี้ ผมได้รับข้อความผ่าน Line จากอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง เรื่องของเรื่องก็คือ เธออยากจะเปลี่ยนงาน...เพราะเธอรู้สึกว่า กำลังติดอยู่ใน Comfort Zone เธอเกรงว่า ปล่อยให้เนิ่นนานไป เธอจะไม่กล้าออกจาก Comfort Zone นั้น ไปไหนอีกเลย ... ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ผมก็มีโอกาสได้คุยกับ Investor กลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่า ประเด็นที่สนทนากัน ก็เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน Project ใหม่ๆ ที่พวกเค้าไม่เคยลงทุนมาก่อน เหตุผลของ Investor ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ นั้น อยู่ตรงที่ พวกเค้าต้องการเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ๆ...ไม่ใช่จมจ่อมอยู่ที่เดิม ... นึกดูแล้วก็แปลกดีครับ...ที่เหตุการณ์ทั้ง 3 เรื่องนี้ เกิดขึ้นในวันเดียวกันโดยบังเอิญ และทุกเรื่องต่างก็เกี่ยวโยงกับเรื่อง Comfort Zone ด้วยกันทั...

Post#4-174: ธรรมกลาย

Post#4-174: ช่วงนี้ ต่อให้เราหูหนวกหรือตาบอด ก็คงจะได้ยินหรือได้เห็นข่าวกรณีวัดพระธรรมกายกันบ้าง ไม่มากก็น้อย สารภาพว่า ผมไม่ค่อยรู้เรื่องราวเชิงลึกเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายเลย...ใช้คำว่า "ไม่คิดจะศึกษา" น่าจะตรงกว่า ด้วยเหตุเพราะแก่นที่วัดพระธรรมกายสั่งสอนนั้น ไม่ตรงกับ "จริต" และ "ความเชื่อ" ในเชิงพุทธศาสนา ที่ผมมี ... แม้แก่นแท้แห่งพระธรรมจะเป็น "อกาลิโก" แต่เมื่อล่วงไปกว่า 2,500 ปีแห่งพระพุทธศาสนา...แก่นคำสอนของพุทธองค์ ก็เริ่มมีการ "ตีความ" บิดเบือนไปตามกาล สังเกตให้ดีนะครับ...ผมใช้คำว่า "ตีความ" จึงเกิดการบิดเบือน หาใช่แก่นคำสอนนั้นบิดเบือนไปไม่ คำสอนของธรรมกาย "บิดเบือน" หรือไม่...ก็ขอเชิญแต่ละท่านพิจารณาตามข้อมูลต่างๆ ที่ค้นคว้าหาได้ทั่วไป เป็นการพิสูจน์ก่อนจะเชื่อ ตาม "กาลามสูตร" อันเป็นแนวทางธรรมแห่งพุทธองค์ ... ผมดูรายการที่คุณอุ๋ย บุดดาเบรส ออกมาถกประเด็นกับคุณอัยย์ เพชรทอง อยู่หลายรายการ และดูอยู่หลายรอบ ประเด็นที่ถกเถียงกัน...ใครจะเชื่อทางไหนมากกว่า ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล....

Post#4-173: เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ

Post#4-173: วันนี้เป็นวันเริ่มต้นเรียนภาษาจีนเป็นวันแรกของผม...หลังจากที่จดๆ จ้องๆ มานานเต็มที จำได้ว่า ผมไปเข้า Class ภาษาจีนเป็นครั้งแรกน่ะ เมื่อประมาณกว่า 20 ปีที่แล้ว...ไม่ได้อยากไปหรอกครับ แต่แฟนผมลากไปเรียน ก็เพราะไปเรียนเพราะอยากเอาใจแฟน...ก็เลยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่ จากวันนั้นมาวันนี้...ผมรู้สึกว่า ถ้าตอนนั้นตั้งใจเสียหน่อย ป่านนี้ก็น่าจะพอจะกระดิกหูภาษาจีนบ้าง ... แต่การพร่ำบ่นถึงอดีต ก็ไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปได้...ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมเชื่อว่า ไม่มีใครแก่เกินเรียน...และถ้าเราตั้งใจจริงๆ เราก็ไม่ควรมีข้ออ้างว่า "ไม่มีเวลา" ลองแล้วทำไม่ได้...ยังไงก็ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไป แล้วก็ไม่ได้ลองสักที ... ครั้งหนึ่ง ผมเคยแชร์ไว้ใน Post3-224 ว่า "When was the last time you did something for the first time?" นั่นสิครับ...ครั้งสุดท้ายที่เราทำอะไรเป็นครั้งแรกน่ะ มันเมื่อไหร่กันหนอ? การทำอะไรใหม่ๆ นั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่จะทำให้ degree ความกระตือรือร้นของเรานั้น...ไม่มอดดับลง ...อย่ากลัวว่าอาจจะ "เริ่มต้นไปพบกั...

Post#4-172: ค่ำคืนเริ่มต้นของสองกายหัวใจเดียว

Post#4-172: ปกติผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับงานแต่งงานสักเท่าไหร่... แม้ว่าถ้าเป็นคนรู้จักหรือพรรคพวกเชิญ ผมจะไม่ค่อยปฏิเสธ...แต่มักจะอยู่ไม่ค่อยจบงาน ...ว่าง่ายๆ ก็คือมาให้คู่บ่าว-สาว เห็นหน้า แล้วผมก็จะหาทาง "แว่บ" นั่นล่ะครับ ... ไม่ใช่ว่าทนอิจฉาคู่บ่าว-สาว ไม่ไหว ก็เลยต้องหนี หรอกนะครับ...เพียงแต่ไม่ค่อยชอบอยู่ในที่ๆ มีคนเยอะๆ เท่านั้นเอง มาค่ำคืนนี้...ลูกน้องของผมท่านหนึ่งได้เป็นฝั่งเป็นฝา และมาเชิญผมล่วงหน้า พร้อมกับจับผมนั่งโต๊ะ VVIP เสียด้วย... ผมก็เลยหมดมุกที่จะหนีไปไหนได้ ต้องนั่งอยู่ด้วยจนจบงาน แอบรู้สึกเสียดุลการค้านิดหน่อย ตรงที่เธอแต่งงานกับหนุ่มหล่อชาวฝรั่งเศส ^^ ... จะว่าไปแล้ว งานแต่งงานในปัจจุบันมักจะหนีความจำเจที่เป็น Pattern ไม่ค่อยได้...ไปงานไหน ก็จัดเหมือนๆ กันเป็นสูตรสำเร็จ เว้นก็แต่งานนี้ ที่ทำ Presentation ได้น่าสนใจและสนุกมากๆ...เสียดายก็แต่มุมที่ผมนั่งนั้น มองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ และที่สำคัญ...บรรยากาศของงาน ค่อนข้างสบายๆ ไม่ค่อยมากพิธีรีตอง ... แต่ยังไงเสีย คืนวันแต่งงานนี้ ก็จะเป็นค่ำคืนสำคัญที่คู่บ่าวสาวจดจำได้เป็นอย่างดี โดยไม่อา...

Post#4-171: สร้าง connection ทางธุรกิจ

Post#4-171: ด้วย connection ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน...ผมจึงได้รับโอกาสมากมายในการเข้าถึงธุรกิจใหม่ๆ แน่นอนว่า "โอกาส" ที่ว่านั้น...มีมากเกินกว่าที่ผมจะลงมือทำได้ทั้งหมดในคราวเดียว...เพราะรู้ตัวเองดีว่า มีทรัพยากรในมือไม่มากพอ บ่อยครั้ง จึงต้องตัดสินใจ "ทิ้ง" โอกาสบางอย่างไปโดยไม่ลังเล...เพื่อไม่ให้ผู้หยิบยื่นโอกาสให้ ต้องมาเสียเวลา และบ่อยครั้ง ที่ผมก็ส่งผ่าน "โอกาส" ที่ว่า ไปยังกลุ่มเพื่อนๆ ที่ผมพิจารณาเบื้องต้นแล้วว่า มีศักยภาพมากพอที่จะได้รับ "โอกาส" นั้นไป ... อย่างไรก็ตาม...บ่อยครั้งอีกเช่นกัน ที่ความเป็นจริงนั้น ก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป ที่พูดแบบนี้ ก็เพราะไม่น้อยหนเลย ที่ผมต้องกลายเป็น "ผู้ว่าความ"...ในยามที่เกิดความไม่ลงตัวระหว่าง "ผู้ให้โอกาส" และ "ผู้รับโอกาส" แต่ละครั้งที่เกิดปัญหา ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องสนุก...และผมเอง ก็ไม่ได้ชอบใจเลย ที่ต้องกลายมาเป็น "คนกลาง" อยู่บ่อยๆ ...แต่กระนั้น ผมก็ยังคิดเสมอว่า หากตัวเองรับ "โอกาส" ใดไว้ไม่ได้...ผมก็ยังคงจะยินดี ที่จะส่งผ่าน...

Post#4-170: หมอกบังตา

Post#4-170: เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมต้องเดินทางไปประเทศพม่า ที่ผมต้องใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินถึง 5 ชั่วโมง! เรื่องของเรื่องก็เพราะหมอกเจ้ากรรมเกิดลงจัด ในช่วงที่เครื่องกำลังจะ landing พอดี หลังจากบินวนอยู่พักใหญ่ๆ...กัปตันก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปลงที่สนามบินเชียงใหม่แทน เพราะหมอกยังคงลงจัดอยู่อย่างนั้น ประกอบกับน้ำมันก็ร่อยหรอลงทุกที สุดท้ายผมจึงพบตัวเองอยู่ที่สนามบินเชียงใหม่อยู่พักหนึ่ง เพื่อให้เครื่องบินได้เติมน้ำมัน และรอเวลาให้หมอกจางลง กว่าที่ผมจะถึงปลายทางที่กรุงย่างกุ้ง จึงปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าๆ แทนที่จะถึงตั้งแต่เช้า ตามปกติ ... ตอนที่รู้ว่า กัปตันตัดสินใจ re-routing ไปลงที่สนามบินเชียงใหม่แทน...ผมยิ้ม ^^ ที่ยิ้มก็เพราะคิดว่า กัปตันทำถูกแล้วที่ไม่เอาชีวิตลูกเรือและผู้โดยสารไปเสี่ยง...เครื่องลำเล็กแบบนี้ คงไม่พร้อมที่จะฝ่าหมอกหนาแบบนั้น ระหว่างที่นั่งไปหลับไป...ผมก็วางแผนว่าจะแก้ไขตารางนัดหมายที่คลาดเคลื่อนไปมากได้ยังไง...พร้อมกันนั้น ก็ได้ยินผู้โดยสารท่านอื่นๆ คุยกันถึงเรื่องการจัดการกับตารางนัดหมายเช่นกัน ... เรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ บางทีมันก็มาเยี่ยมเราในจังหวะเว...

Post#4-169: รายงานจากผลไปหาเหตุ

Post#4-169: เช้าวันนี้ ผมเข้าประชุมกับคณะผู้บริหารของลูกค้า เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำเดือน รวมไปถึงเล่าถึงแผนงานสำหรับเดือนต่อๆ ไป หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่จำเป็นจะต้องอธิบายก็คือ เรื่องของงบกำไรขาดทุน...ซึ่งถือว่าเป็นตัวชี้วัดสำคัญของธุรกิจ หมายความง่ายๆ ว่า ไม่ว่าแผนงานจะฟังดูดีหรือสวยหรูปานใด...ถ้าผลประกอบการออกมาเป็นขาดทุน ก็ต้องถือว่า "สอบตก" ... ในการรายงานผลงานใดๆ ให้กับผู้บริหารระดับสูงรับทราบ จึงมักเริ่มจาก "ผล" ไปหา "เหตุ" เสมอ เรียกว่า จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดก่อน ว่ากำลังเกิด "อะไร" ขึ้น ก่อนที่จะขยายความต่อไปว่า ผลลัพธ์นั้นๆ เกิดขึ้นได้ "อย่างไร" ทั้งนี้ เพราะผู้บริหารระดับสูงนั้น มีเวลาที่ค่อนข้างจำกัดเป็นอย่างมาก...เราจึงต้องรายงานจากเรื่องที่สำคัญที่สุดไปหาเรื่องที่สำคัญรองๆ ลงไป ... เมื่อรายงานปัจจุบันจบแล้ว...จึงต้องเสริมต่อด้วยว่า จะทำอะไรบ้างในอนาคตที่กำลังจะมาถึง เพราะหากอธิบายต่อไม่ได้...ก็หมายความว่า เราไม่ได้เรียนรู้เลยว่าผลลัพธ์ที่พึ่งเกิดขึ้นนั้น มาจาก "เหตุ-ปัจจัย" ใดกันแน่? เมื่อ...

Post#4-168: ปฏิกิริยาตอบสนองในที่ประชุม

Post#4-168: ผมเริ่มต้นวันด้วยการประชุมอีกเช่นเคย...และตลอดทั้งวัน ก็เต็มไปด้วยประชุม...ประชุม และประชุม ซึ่งแม้ว่าการประชุมจะถือเป็นหนึ่งในกิจวัตรที่ค่อนข้างจะซ้ำๆ...แต่ก็ถือเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลธุรกิจ ที่จะละเว้นเสียมิได้ แต่ท่ามกลางความซ้ำๆ แบบนี้...ได้สังเกตกันบ้างรึเปล่าหนอ ว่าปฏิกิริยาตอบสนองที่ผู้เข้าร่วมประชุมมีต่อเรานั้น เป็นแบบไหน? ... บ่อยครั้งที่การประชุม เป็นการสื่อสารแบบทางเดียว...คนสั่งก็มีหน้าที่สั่ง และคนรับคำสั่งก็ดีเหลือแสน ก็คือจด...จด...และจด โดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด ถ้าการประชุมใดเข้าข่ายนี้...ผมก็แทบจะฟันธงได้เลยว่า ต้องมีปัญหาใหญ่อะไรสักอย่างเกิดขึ้นแล้ว แปลว่า การประชุมที่ดี ต้องเป็นการสื่อสารแบบ Interactive ใช่มั๊ย? ขออนุญาตฟันธงอีกที...ว่า "ใช่" น่ะสิครับ ... ไม่ว่าความเห็นป้อนกลับจะเป็นไปในทางเดียวกับเราหรือจะขัดแย้งก็แล้วแต่...แต่นั่นนับเป็นข้อมูลสำคัญที่จะบ่งชี้ว่า ผู้เข้าร่วมประชุมมีความเข้าใจและมีส่วนร่วมต่อการวางแผนงานอยู่ในระดับไหน? เราในฐานะผู้บังคับบัญชาจึงต้องประเมินความเข้าใจและความรับรู้ของผู้เข้าร่วมประชุม...

Post#4-167: เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุด

Post#4-167: ในทางพุทธที่เชื่อกันเรื่องชาติภพนั้น...เราเชื่อกันว่า เมื่อเราสิ้นสุดชาติภพใดๆ เราก็จะไปเกิดในชาติภพต่อๆ ไปในทันที จนต่อเมื่อเราบรรลุนิพพานนั่นแล...เราจะหลุดพ้นวัฏสงสาร...ไม่มีการเกิดหรือดับอีกต่อไป แปลว่า เมื่อเรามาถึงจุดสิ้นสุดของชาติภพหนึ่งๆ เราก็กำลังจะเริ่มต้นชาติภพใหม่ในทันที แม้จะพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้...ว่าชาติภพมีจริงหรือไม่...ก็ตามที ... ผมเคยอ่านหนังสือธรรมะจากหลายบรรพชิต หลากสำนักพิมพ์...ซึ่งสรุปคล้ายๆ กันได้ว่า แม้เราจะพิสูจน์เรื่องชาติภพไม่ได้...แต่เรากลับพบเจอกับ "การเกิด-ดับ" ของเรื่องราวต่างๆ กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่ระดับของการเกิด-ดับ ของเรื่องราวต่างๆ นั้น ต่างกินระยะเวลาไม่แน่นอน...บ้างก็เร็ว บ้างก็ช้า เข้าข่ายเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน หรือไม่ก็เกิดขึ้นและดับไปอย่างเชื่องช้าอ้อยสร้อยจนไม่ทันสังเกต ถ้าสมมติฐานนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับได้...บางที "ชาติ-ภพ" ก็อาจจะเปรียบได้กับ "การเกิด-ดับ" ของอารมณ์ที่จับอยู่กับเจตสิกของเราได้ ฉะนั้น ... เมื่อรู้เท่าทันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้ว...

Post#4-166: ทำอะไร "โง่ๆ"

Post#4-166: แน่นอนว่า คงไม่มีใครชอบโดนด่าว่า "โง่" แต่กระนั้นบางครั้งเราก็รู้สึกว่า ทำไมเราทำอะไร "โง่ๆ" ลงไปได้ ว่าแล้วผมก็สงสัยขึ้นมา ว่าแต่ละคนนั้นให้นิยามคำว่า "โง่" ไว้เหมือนกันรึเปล่าหนอ? อย่ากระนั้นเลยครับ...ลองคิดตามผมดู ว่าเรานิยามคำว่า "โง่" กันว่ายังไง...ผมให้เวลา 5 นาที พอมั๊ยครับ? ... ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนั้น คำว่า "โง่" แปลว่า เขลา, ไม่ฉลาด, ไม่รู้ ออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้จะอวดเก่งหรือท้าทายราชบัณฑิตแต่ประการใดนะครับ...แต่ผมกลับคิดต่างออกไป สำหรับผมแล้ว..."โง่" กับ "ไม่รู้" นั้น ออกจะแตกต่างกันมากอยู่ เพราะ "ไม่รู้" นั้น เราอาจจะเรียนรู้ได้ แต่ "โง่" น่ะ หมายถึงรู้แล้วก็ยังจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำอะไรลงไปโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน, ทำอะไรไปโดยอารมณ์เป็นใหญ่, ทำอะไรเพื่อความสะใจชั่วครู่ หรือทำอะไรลงไปด้วยเห็นแก่อัตตาของตน เหล่านี้ ล้วนเป็นการทำอะไรลงไปแบบโง่ๆ...เพราะรู้ทั้งรู้ว่าทำไปแล้วไม่ดี แต่ก็ยังจะทำ ซึ่งท้ายสุดนั้น...ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือความเสียหาย ... ค...

Post#4-165: มรดกจากพุทธองค์

Post#4-165: ไม่เคยมีใครไม่เจอ "ความทุกข์" และเราก็มิอาจจะหลีกเลี่ยงความทุกข์ใดๆ ไปได้ พุทธองค์ก็ทรงรู้...จึงได้ทรงโปรดสัตว์โลก ด้วยการสั่งสอนให้เรารู้วิธีรับมือกับความทุกข์ทั้งหลายที่จะมากระทบ วิธีที่ว่า ก็คือ "อริยสัจ 4" ที่ชาวพุทธทุกผู้ทุกนามรู้จัก...แต่ไม่ใช่ทุกคนจะ "ปฏิบัติตาม ... เมื่อใดที่เราต่างก็ได้ศึกษา, วิเคราะห์ และสังเคราะห์ หลักธรรมแห่งพระองค์แล้ว...ก็น่าจะสรุปด้วยตัวเองได้ว่า... ความจริงที่พุทธองค์ทรงค้นพบ เมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว...ก็ยังคงเป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้จวบจนถึงปัจจุบัน ดังนี้แล้ว...ธรรมะแห่งพระองค์ จึงเป็น "อกาลิโก" โดยแท้ ... เพื่อเป็นพุทธบูชา...ผมก็ขอแต่งกาพย์ยานี 11 เกี่ยวกับอริยสัจ 4 ไว้เป็นธรรมทานแก่ทุกท่านนะครับ หากส่งผลให้ใครได้คิดหรือคิดได้...ผมก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย เมื่อครั้งหนึ่งนานมา องค์สัมมาทรงตรัสรู้ อริยสัจเชิดชู นำทางสู่พระนิพพาน สัตว์โลกจมความทุกข์ โหยหาสุขจมสงสาร ต่อเมื่อเจ้าข้ามผ่าน ใจจึงว่างสร่างโศกี สมุทัยคือตัวแจ้ง เปรียบดังแสงสุรีย์ศรี ส่องเห็นเหตุพึงมี จึ่งเห็นผลที่...

Post#4-164: Big Bad Wolf อีกครา...

Post#4-164: ไม่รู้ทำไมผมถึงตกข่าวไปได้...แต่ Big Bad Wolf ก็กลับมาแล้ว...และมาคราวนี้ เป็น Theme สำหรับเด็กเท่านั้น เสียด้วย ด้วยความเป็นครอบครัว Bookworm...ก็ต้องจัดไปครับ และนั่นคือสาเหตุที่ว่า...ทำไมดึกดื่นป่านนี้ ผม, ภรรยา และลูกสาว ก็ยังมาเดินลั้ลลากันอยู่ที่ Impact Arena Hall 9 ... George R.R. Martin (นักเขียนนวนิยายชาวอเมริกัน) กล่าวไว้ว่า "A reader lives a thousand lives before he dies. The man who never reads lives only one." แปลได้ว่า "นักอ่านมีชีวิตเป็นพันหนก่อนจะลาจาก มนุษย์คนใดที่ไม่คิดจะอ่าน ก็มีได้แค่ชีวิตเดียวเท่านั้น" ส่วน Elisabet Scott (เป็นนักเขียนนวนิยายชาวอเมริกัน เช่นกันครับ) กล่าวไว้ว่า "I love books. I love that moment when you open one and sink into it. You can escape from the world, into a story that's way more interesting than yours will ever be." ซึ่งแปลว่า "ฉันรักหนังสือ ฉันรักขณะจิตที่เราเปิดหนังสือสักเล่มและจมอยู่กับมัน เราสามารถจะหลบลี้หนีจากโลกไปสู่เรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่เราเคยได้ประสบพบพ...

Post#4-163: ผู้มีส่วนได้เสีย

Post#4-163: ด้วยสาเหตุหลายๆ ประการ...ทำให้ผมมีปัญหาเรื่องสินค้าขาดสต๊อก ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงต้นปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดก็ตาม...สุดท้ายแล้ว ผมเอง, ในฐานะ CEO, ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ และท้ายสุด...ผมมีแต่จำเป็นจะต้องผลักดันตัวเองและทีมงาน ให้กู้คืนความสูญเสียที่เกิดขึ้น เพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ Investor มีให้กับเรา ... เป็นธรรมดาของ Investor ที่ลงทุนก็ต้องหวังผลกำไร เพราะพวกเค้าไม่ใช่องค์กรการกุศล ดังนั้น ทั้งผมและทีมงาน จึงจำเป็นต้องแปลงเม็ดเงินลงทุนนั้น ให้กลายเป็นผลตอบแทนที่ได้ตกลงกันไว้...แลกกับค่าจ้างที่ Investor ยินดีจ่ายให้กับพวกผม ประชุมผู้ถือหุ้น...วันนี้ ผมจึงยืนยันจะไม่ปรับลดเป้าหมายการขาย เพราะยังมีเวลาอีกมาก ที่จะลุยไปข้างหน้า เพื่อกู้ยอดขายกลับมา ... ผมเชื่อว่า ใครที่อยู่ในฐานะ "ผู้นำ" ก็คงคิดไม่ต่างจากผม...นั่นก็คือ ถ้าเรายังไม่ยอมแพ้ เราย่อมไม่แพ้...และถ้าเรายอมแพ้ง่ายๆ ลูกน้องจะมีใครเป็น "หลักยึดเหนี่ยว" ผู้บริหารองค์กร จึงมีหน้าที่ดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกคน ให้ดีที่สุด...และเมื่อทุกคนมีความสุ...

Post#4-162: สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

Post#4-162: คาดว่าหลายๆ คน คงเคยได้ยินวาทะที่ว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" กันมาบ้างนะครับ สำหรับผมและคนทำงานทุกคนแล้ว...วาทะนี้ นับได้ว่าเป็น "ความท้าทาย" ที่น่าเอาชนะเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัญหาอยู่คู่กับการทำงาน โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้...แต่คนเราต่างมีวิธีตอบโต้ปัญหาต่างกันไป มากคนเลือกหนีปัญหา...บางคนเลือกลืมปัญหา และน้อยคนที่เลือกสู้กับปัญหา ดังนั้น เมื่อมีปัญหาใดๆ ขึ้นมา...จึงนับว่ามันเกิดขึ้น เพื่อทดสอบและแยกแยะ "ผู้ชนะ" ออกจาก "ผู้แพ้" อย่างแท้จริง ... ยามสงบปราศจากสงคราม คนๆ หนึ่งอาจเป็นเพียงคนธรรมดาๆ ที่ดูไม่แตกต่างจากคนทั่วๆ ไป แต่เมื่อมีสงครามเกิดขึ้น คนธรรมดาที่ว่า ก็อาจจะกลายเป็น "เทพแห่งสงคราม" ก็เป็นได้ ยามปกติ พนักงานหรือผู้บริหารต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป...อาจดูออกได้ยาก ว่าใครมีฝีมือเพียงใด แต่เมื่อเกิดวิดฤตใดๆ กับองค์กร..."ภาวะผู้นำ" ของพนักงานหรือผู้บริหาร จึงมีโอกาสฉายแววให้เห็นได้ ... "ภาวะผู้นำ" ไม่ได้มีอยู่ในตัวของคนเราทุกคน...แต่เป็นที่แน่ชัดว่า ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในช...

Post#4-161: คนรุ่นใหม่

Post#4-161: เที่ยงที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาสเข้าไปสวัสดีปีใหม่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมเคารพ (ช้าไปเยอะเลย) เป็นประจำทุกครั้งที่ผมได้เข้าพบกับท่าน...นอกจากจะได้รับพรแล้ว ผมยังได้รับความรู้และข้อคิด ติดสมองกลับมาด้วย เช่นคราวนี้ ท่านก็กรุณาแสดงทัศนะเรื่องภาวะเศรษฐกิจให้ผมฟัง รวมไปถึงผลกระทบจาก USA และการที่มหาอำนาจอย่างจีนจะขยับตัว ... แต่ประเด็นที่ผมอยากจะแชร์ในวันนี้ ก็คือข้อคิดที่ท่านเรียกว่า "นิยามของคนรุ่นใหม่"...ซึ่งผมฟังแล้ว ก็อยากให้ "คนรุ่นใหม่" เป็นแบบนี้เสียจริง ขอสรุปสั้นๆ ไว้ให้นำไปคิดตาม ก็แล้วกันนะครับ... ข้อแรก...คนรุ่นใหม่ ต้องถึงพร้อมด้วยธรรมะ...เรียกง่ายๆ ว่า ต้องรู้จักคิดดี พูดดี และทำดี ข้อสอง...คนรุ่นใหม่ ต้องเชี่ยวชาญภาษา คือต้องรู้อย่างน้อย 2-3 ภาษา บวกกับภาษาคอมพิวเตอร์ และภาษาธุรกิจ...ซึ่งผมเห็นตรงกับท่าน โดยเคยแชร์ไว้ใน Post#2-277 และ Post#4-098 ข้อสาม...คนรุ่นใหม่ ต้องรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับโลกและสถานการณ์...ถ้าไม่รู้จักปรับตัว เราก็มีแต่จะล้มหายตายจาก ... ใครที่เป็น "คนรุ่นใหม่" หรืออยากเป็น "คนรุ่นใหม่...

Post#4-160: ต้องรู้จักต่อยอด

Post#4-160: ช่วงนี้ ลูกสาวผมกำลังหัดเล่น Scrabble...ซึ่งแน่นอนว่า ผมและภรรยาจึงจำเป็นจะต้องเป็นผู้ร่วมเล่นด้วย เวลาเล่นเกมนี้ทีไร ผมเป็นต้องอายตัวเองทุกที เพราะคำศัพท์ในคลังสมองมีอยู่ไม่เยอะ...ส่งผลให้ผมต้องเล่นไปเปิด Dictionary ไป แถมพ่วงด้วยใช้ Google Translate เป็นระยะๆ แม้ว่าผมจะเล่นเกมนี้อย่างทุลักทุเล...แต่ก็เต็มใจเล่น เพราะมั่นใจว่าจะทำให้ลูกสาวได้มีโอกาสเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ไปด้วย ... เท่าที่จำได้...ผมไม่เคยเล่นเกมนี้ได้ดีเลย เหตุเพราะนอกจากรู้ศัพท์น้อยแล้ว ยังมักหยิ่งชอบสร้างคำใหม่...ไม่ยอมต่อยอดจากคำเดิมที่มีอยู่แล้ว ผลลัพธ์ก็คือ ได้ความภูมิใจ (เล็กๆ) ที่สร้างคำขึ้นได้เอง แต่ไม่ค่อยจะได้คะแนนเป็นเนื้อเป็นหนัง ... หลังจากแพ้เกม...ผมก็มานั่งทบทวนดู ในความเป็นจริงของชีวิต...เราก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากหนึ่งสองสามเสมอไป... ลองมองดูให้ดี...ว่าเราสามารถต่อยอดจากองค์ความรู้ที่ใครบางคนสร้างไว้แล้วได้หรือไม่? ไม่จำเป็นต้อง R&D จากขั้นตอนแรกทุกครั้ง เพราะนั่นอาจหมายถึงช้าเกินไป...ลองหันมา C&D (Copy&Development) ดูบ้าง ก็ได้ครับ ... ไม่ใช่เรื่องน่าอ...

Post#4-159: ตามรอยธรรม

Post#4-159: ผมมาร่วมงานเผาศพคุณแม่ของผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่ง ที่ผมคุ้นเคยกับท่านในระดับหนึ่ง งานอวมงคลแบบนี้ ถือเป็นงานแสดงน้ำใจที่ผมไม่ค่อยจะยอมพลาด...หากว่าไม่ติดภารกิจใดๆ อยู่ (Post#3-124) ส่วนงานวันเกิดหรืองานฉลอง โดยเฉพาะงานแต่งงาน ถ้าไม่จำเป็นถึงขีดสุด เลี่ยงได้ผมก็จะเลี่ยง...ไม่ก็ไปปรากฏกายแป๊บเดียว แล้วก็ชิ่ง ไม่ใช่เพราะผมเป็นพวก Introvert หรอกนะครับ...แต่ผมชอบที่จะเป็น "เพื่อนทุกข์" มากกว่าเป็น "เพื่อนสุข" ... ที่ว่ากันว่า "เพื่อนแท้เห็นใจกันในยามยาก" ก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเจอะเจอความยากลำบาก ลำพังความทุกข์ยากของตัวเองก็มากมายอยู่แล้ว...ดังนั้น จึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับความทุกข์ของคนอื่น เป็นการเพิ่มเติม ในยามที่เราเผชิญความทุกข์ยาก...เราจึงมักหันหน้าไปหาใครก็ตาม ได้น้อยกว่าน้อย ... ใครที่เคยเผชิญกับความโศกเศร้าหรือความทุกข์ยาก จึงซาบซึ้งดีแก่ใจ... ว่าการที่มีใครเห็นใจเรา ปลอบใจเราในยามทุกข์เศร้า หรือยื่นมือช่วยเราในยามลำบากนั้น...มันเป็นความรู้สึกที่ "ยิ่งใหญ่" เพียงใด แต่กระนั้น ใครที่เคยเป็นเพียงแต่ "ผู้ไ...

Post#4-158: "ฟัง" ลูก "คิด"

Post#4-158: เนื่องจากภรรยาผมติดงาน...ผมจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกทั้งวัน โดยต้องขับรถพาเธอไปเรียนเปียโนในช่วงเช้า ต่อด้วยไปเรียนบัลเล่ต์ในภาคบ่าย... ไม่บ่อยครั้ง ที่ผมจะมีโอกาสได้ออกไปไหนต่อไหนกับลูกสาวแค่ 2 คน พ่อ-ลูก แบบนี้ ^^ โชคดีที่ลูกสาวผมเป็นพวกช่างจำนรรจาพาที...ตลอดทางที่อยู่บนรถ เธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนา อย่างไม่ขาดระยะ ผมชอบฟังลูกสาวคุย...เพราะชอบที่จะสังเกตและวิเคราะห์ว่า ตอนนี้เธอมีพัฒนาการด้านวิธีคิดและวิธีสื่อสาร อยู่ในระดับไหนแล้ว ... เท่าที่ผมจำได้...ลูกสาวของผม มักไม่ได้คำตอบในทันที จากแทบจะทุกคำถามที่เธอถามผม ถ้าเป็นไปได้ ผมมักจะตอบคำถามด้วยคำถาม และชอบที่จะกระตุ้นให้เธอคิดหาคำตอบให้ได้ด้วยตัวเอง จนกว่าเธอจะคิดคำตอบได้ หรือจนมุมนั่นล่ะครับ...ผมถึงจะหยุด ด้วยเพราะผมเชื่อว่า "คำตอบ" ที่ได้มาจากการค้นหาหรือค้นพบ จะให้อะไรแก่เราได้มากกว่า "คำตอบ" ที่ได้มาโดยง่าย ... สำหรับผมแล้ว...สิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับคนที่เป็นพ่อ-แม่...ก็คือการที่ลูกคิดไม่เป็น, ไม่ชอบคิด รวมไปถึง ไม่รู้จักคิด ...ก็คือ แม้จะมี Knowledge แต่ก็ไม่อาจแปลงเป็น...

Post#4-157: ส่งมอบและเปลี่ยนผ่าน

Post#4-157: เรื่องหนึ่งที่ถือเป็น "เรื่องยากที่สุด" ของ Sole Proprietor ทั้งหลาย...ก็คือ การไม่อาจตัดใจวางธุรกิจที่ตัวเองปลุกปั้นมากับมือได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนถ่ายจากรุ่นพ่อไปสู่รุ่นลูก หรือเปลี่ยนจาก Sole Proprietorship ไปเป็น Structured Organization...จึงมักลงท้ายด้วยความเห็นที่ขัดแย้งระหว่างกันอยู่เสมอ ซึ่งจากการที่ผมเคยทำงานกับทั้ง Sole Proprietor และ Structured Organization...ผมจึงสามารถจะบอกได้ว่า มันก็น่าเห็นใจทั้ง 2 ฝ่าย ... ลองจินตนาการว่า ถ้าเดิมเราสร้าง "หุ่น" ขึ้นมาตัวหนึ่งจากเศษกองไม้...ค่อยๆ สร้างจนเป็นรูปเป็นร่าง แต่งเสริมเติมต่อ จนหุ่นนั้นแปลงสภาพจากเศษไม้เป็นของมีค่า มาวันหนึ่ง เรารู้ตัวว่า แม้เราจะอยากเติมแต่งให้หุ่นตัวนี้มันดูดีขึ้น แต่เราก็หมดแรงเสียแล้ว...อย่ากระนั้นเลย มอบให้ใครคนหนึ่งมาสานต่อจะดีกว่า ถามว่า คนที่มาสานต่อควรรื้อหุ่นนั้นให้เป็นซาก แล้วค่อยประกอบขึ้นใหม่ หรือควรจะแต่งเติมจากหุ่นเดิม หรืออย่างน้อยก็ค่อยๆ ถอดประกอบหุ่นนั้นทีละชิ้น แบบไหนเป็นวิถีที่จะทำให้ "ผู้รับมอบ"...

Post#4-156: เดินเป็นวงกลม

Post#4-156: เช้าวานนี้ ผมใช้เวลาระหว่างรอขึ้นเครื่องสนทนากับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง (สมมติว่า ชื่อ P นะครับ) เกี่ยวกับธุรกิจที่ P กำลังทำอยู่ แม้ผมจะรู้จักกับ P มาไม่นาน แต่ก็สัมผัสได้เลยว่า P เป็นเจ้าของกิจการประเภท "ไฟแรง" ที่โหยหาความสำเร็จไม่น้อย ที่สำคัญ P เป็นคนประเภท "หนักเอาเบาสู้" จึงมักจะลงมือทำงาน "แทบ" ทุกอย่างของบริษัท ด้วยตัวเอง ... ความจริงมันก็เป็นเรื่องดีที่ P ลงมือทำงานเกือบทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะนั่นทำให้ P รู้แทบทุกอย่างในบริษัทของตัวเอง แบบถ่องแท้ แต่หลังจากผมทราบว่า P ทำแบบนี้มานาน 5-6 ปี...ผมกลับรู้สึกแตกต่างออกไป เพราะนั่นแปลว่า P กำลังตกอยู่ใน "กับดัก" ของการเป็น "เถ้าแก่" ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกนะครับ...แต่นี่เองเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ธุรกิจของ P ไม่อาจขยับขยายได้อย่างที่ควรจะเป็น ... เมื่อผู้นำลงไปเล่นบทบาทของลูกน้องเสียเอง จึงไม่มีเวลามา "นำ" องค์กร อย่างที่ควรจะเป็น การที่ผู้นำไม่เห็นภาพกว้าง จึงไม่รู้ว่ากำลังพาลูกน้องไปไหน?...บ่อยครั้ง จึงกลายเป็นพากันเดินเป็นวงกลม เมื่อเดินไปข้างหน้...

Post#4-155: หมดใจจึงลาจาก

Post#4-155: เมื่อบ่ายวานนี้ ผมได้รับข่าวไม่ค่อยจะสู้ดีนัก...ก็คือ ลูกน้องชาวต่างชาติท่านหนึ่งมาขอลาออก ที่ทำให้ผมเศร้าใจไม่น้อยก็คือ ผมรอเธอมาทำงานด้วยกันนานเกือบ 2 เดือน และเธอก็พึ่งมาทำงานกับผมได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น เหตุผลที่เธอให้กับผมก็คือ...รู้สึกว่า "ตัวเองไม่เหมาะกับงาน" ... ฟังแล้วผมก็งงๆ เพราะก่อนจะรับเธอมาทำงาน ผมก็เล่าให้เธอฟังอย่างหมดเปลือกล่ะครับ ว่าเธอต้องมาเจออะไรบ้าง ผมยังจำได้ดี ถึงสีหน้าและแววตา พร้อมกับคำพูดที่ว่า นี่เป็นงานที่เธอคิดว่า "เหมาะกับเธอ" แต่ในวันที่เธอต้องการจะไป...ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้พลิกจาก "หน้ามือเป็นหลังมือ" ได้แบบ "ไร้เยื่อไย" ได้ถึงเพียงนี้ ผมจึงได้แต่ถามเธอว่า คิดดีแล้วนะ พร้อมกับอวยพรให้เธอโชคดีกับงานใหม่ข้างหน้า ... แม้ว่าการลาจากของเธอจะนับเป็นข่าวไม่ดีสำหรับผม แต่มันก็นับเป็นข่าวดีอยู่เช่นกัน ดียังไงน่ะหรือครับ? ก็ดีตรงที่ว่า เมื่อเธอรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับงาน ก็ไม่ฝืนดึงดันต่อ...เลือกที่ลาออก ดีกว่าทนทำงานไปแบบซังกะตาย ...เมื่อหมดใจจะสู้ อย่าฝืนหรือดึงไว้ เพราะสุดท้ายเราจะเสีย...

Post#4-154: คู่แข่งที่รัก

Post#4-154: ใครๆ ก็อยากทำธุรกิจแบบราบรื่น ไร้ปัญหา...แต่ทุกคนก็รู้ว่า ไม่มีธุรกิจใดที่เดินหน้าไปได้โดยไม่มีอุปสรรค บางอุปสรรคก็มาเยือนเราแบบพอให้เจ็บๆ คันๆ แต่บางอุปสรรคก็ทำให้เราถึงกับโซซัดโซเซ หนึ่งในอุปสรรคที่ไม่ว่าใครก็มองข้ามไม่ได้  ก็คือ "คู่แข่งทางธุรกิจ" นั่นเอง ... แม้ว่าการแข่งขัน อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจ...แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะแข่งขันกับเราแบบตรงไปตรงมา คู่แข่งบางราย ก็เล่นงานเราแบบพลิกตำราสู้ไม่ทัน...ถ้าเรารับมือไม่ถูก เราเองก็จะเป็นฝ่ายเสียหายทั้งชื่อเสียงและธุรกิจ จึงเป็นเรื่องสำคัญเหลือเกิน ที่เราจำเป็นต้องจับตาในความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง แบบใส่ใจและไม่ประมาท เพราะถ้าละเลยคู่แข่ง...ก็เปรียบเสมือนการปล่อยให้ไฟไหม้ลามทุ่งไปเรื่อยๆ โดยไม่แก้ไขหรือป้องกัน ... หลายๆ ครั้งเราอาจจะเหนื่อยหรือท้อไปบ้าง ที่ต้องรับมือกับคู่แข่งแบบไม่ได้หยุดได้หย่อน แต่เราต้องไม่ลืมว่า ก็เพราะการมีอยู่ของคู่แข่งนั่นเอง ที่ทำให้เรามิอาจหยุดที่จะขวนขวายหรือพัฒนาตัวเอง แปลว่า บางครั้งและบางมุม...คู่แข่งจึงอาจเป็นเหมือน "ยาขม" ที่แม้รสชาติแย่ แต่ก็ดีต่อร่างก...

Post#4-153: เลขาฯ

Post#4-153: ผมเริ่มต้นทำงานครั้งแรกๆ เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ในตำแหน่ง Project Co-ordinator ฟังดูเท่มั๊ยครับ...แต่จริงๆ มันก็คืองานพนักงานทั่วไป ที่ทำหน้าที่ตั้งแต่ถ่ายเอกสารไปจนถึงช่วยหัวหน้าหาข้อมูล จากนั้น อีก 6 เดือน ถัดมา...ผมก็มีอันโชคดีที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Personal Assistant ของเจ้าของบริษัท อันว่าตำแหน่ง Personal Assistant นั้น...ก็แปลเป็นไทยได้ว่าเป็น "เลขาฯ ส่วนตัว" นั่นเอง ... หลายๆ คนอาจมองภาพว่า การเป็นเลขาฯ นั้นเป็นงานง่ายๆ...ก็แค่ทำตามคำสั่งนาย ก็เพียงพอแล้ว แต่ที่จริง คนที่จะเป็นเลขาฯ ที่ดีได้นั้น...ต้องมีความสามารถใน "ระดับสูง" ไม่น้อยเลย ...ก็เพราะต้องสามารถตอบสนองต่อคำสั่งของนายได้อย่างถูกต้อง, ครบถ้วน และตรงเวลา ... นอกจากนั้น ก็ยังจะต้องสามารถประสานงานกับฝ่ายบริหารและฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า นโยบายหรือคำสั่งของนายนั้น จะถูกแปลงเป็นแผนงานได้ถูกต้องตามเจตนา ที่สำคัญอย่างยิ่งอีกหนึ่งเรื่องของการเป็นเลขาฯ ก็คือ...จำเป็นจะต้อง "เก็บความลับ" เป็น...ไม่ใช่รู้อะไรมา ก็กลายเป็นพวก "ผีเจาะปาก" เล...

Post#4-152: เศษกรวดในรองเท้า

Post#4-152: ผมเชื่อว่าแทบทุกคนคงเคยประสบเหตุการณ์ที่มีเศษกรวดหรือเศษทรายหลงเข้าไปอยู่ในรองเท้า แม้ว่ามันจะเป็นเศษเล็กๆ แต่กลับสร้างความรำคาญให้เราได้ไม่น้อยเลย... หากปล่อยไว้ ไม่หยุดเดินเพื่อหยิบมันออก...นอกจากจะทำให้เดินได้ช้าแล้ว เผลอก้าวผิดจังหวะ เจ้ากรวดเล็กๆ ที่คิดว่าไม่มีพิษสง อาจจะทิ่มฝ่าเท้าให้เจ็บปวดเหลือแสนได้ง่ายๆ ... ชีวิตจริงของเรา ต่างก็มีเรื่องบางเรื่องที่เปรียบเสมือนกรวดเล็กๆ ที่ว่า หากไม่รีบเคลียร์เรื่องที่คาใจนี้ไปเสีย...เราก็ยังคงต้องแบกมันไว้อยู่อย่างนั้น บางคนทนแบกเรื่องคาใจไว้เป็น 10 ปี, อย่างน้อยๆ ก็รำคาญใจทุกวัน และอย่างเลวร้ายก็ทำให้ทรมานทั้งหัวใจและวิญญาณ ... บางเรื่องที่เก็บไว้เสียหลายปี อาจเป็นแค่เราทึกทักไปเองอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยก็เป็นได้ หลงโกรธเพื่อนอยู่เป็นปีๆ พอมาเคลียร์กัน กลับพบว่า เพื่อนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าทำให้เราโกรธ...เสียดายเวลามั๊ยล่ะ ทีนี้? บางเรื่องก็อาจสายไปเสียแล้ว เมื่อเรามานั่งเคลียร์กันภายหลัง หลังจากเก็บไว้ในอกอยู่นับ 10 ปี...เช่น แอบชอบเพื่อนคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แล้วดันมาสารภาพกับเธอใ...

Post#4-151: ทำไมต้องรู้หนทางสู่เป้าหมาย?

Post#4-151: เมื่อคืนนี้ เพื่อนที่รับปากจะมารับถึงบ้าน เพื่อที่จะไปออกรอบด้วยกัน โทรมาแจ้งว่า ไปด้วยไม่ได้แล้ว เพราะบังเอิญต้องพาญาติไปโรงพยาบาลด่วน เช้านี้ ผมจึงต้องพึ่งพาบริการของ Google Map เพื่อที่จะพาตัวเองไปยังสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในอยุธยา...ซึ่งผมไม่เคยไปมาก่อน แถมต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเลยทีเดียว...เพราะต้อง T-off (เริ่มเล่น) ตอน 6 โมงครึ่ง ... การขับรถไปคนเดียวไปในที่ที่ไม่เคยไป ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด...ก็ไม่ต่างจากการเดินทางที่รู้จุดหมาย แต่ไม่รู้ทางไป ใครที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ จะรู้ดี ว่าการขับรถไป ต้องชำเลืองดูโทรศัพท์และเงี่ยหูฟังเสียงไปด้วยนี่...มันทำให้ขับรถได้ไม่ลื่นอย่างใจคิด นี่เองที่เปรียบกับชีวิตเราได้เป็นอย่างดี ว่าแม้จะมีเป้าหมายชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าจะไปถึงเป้าหมายได้ยังไง ต้องคอยถามคนอื่นหรือพึ่งพาคนอื่นน่ะ...มันไม่ใช่หนทางที่น่าเลือกเอาเสียเลย ... ดังนั้น เมื่อได้ยินมาว่าจุดหมายบางจุดหมายน่าสนใจ เป็นต้นว่า ธุรกิจนี้ดี ธุรกิจนั้นน่าทำ...กระนั้น ก็จงอย่าพึ่งรีบออกรถ ศึกษาเส้นทางให้ดีเสียก่อน...ก่อนที่จะเริ่มต้นออกเดินทาง จะได้ไม่ต้องขับไปถ...

Post#4-150: Be ambitious!

Post#4-150: ผมมักจะชวนคนรอบข้างคุยเรื่อง Passion (ที่ผมมักจะนิยามมันว่า แรงบันดาลใจ มากกว่าจะแปลตรงๆ ว่า ความหลงใหล) อยู่บ่อยๆ อย่างมิรู้เบื่อ คงเพราะผมชอบที่จะได้ยินเรื่องราวที่ผู้คนเล่าถึงมันด้วยหัวใจและสายตาที่เป็นประกาย...และมักจะตื่นเต้นไปด้วยทุกที เวลาที่พวกเค้าเล่าถึงเส้นทางที่จะทำให้ไปให้ถึงฝั่งฝันนั้นๆ รวมไปถึงลูกน้องและทีมงานของผม...ที่ผมมักจะชอบกระตุ้นให้ใครต่อใครหา Passion ของตัวเองให้เจอให้จงได้ ... ผมเชื่อว่า หากไม่มี Passion แล้วไซร้...ก็ยากเหลือเกินที่เราจะทำอะไรต่อมิอะไรได้สำเร็จ ที่พิเศษก็คือ ความสำเร็จที่มาจาก Passion นั้น นับเป็นความสำเร็จที่หอมหวานเป็นที่สุด ...เพราะมันแลกมาด้วยหัวใจของเรา ที่พร้อมจะฝ่าฟันทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมา นั่นเอง ... กระนั้น ก็ใช่ว่า ใครก็ตามที่มี Passion จะสามารถพาตัวเองไปจนสำเร็จได้ทุกคนไป...เพราะ Passion ยังถือเป็นแค่ "อารมณ์" และนั่นแปลว่า มันยังมีความผันผวนได้ง่าย ดังนั้น ใครที่มี Passion อย่างแรงกล้า และต้องการประสบความสำเร็จให้ได้...จึงต้องยกระดับอารมณ์นั้น ให้กลายเป็น "กรอบความคิด" (หรือที่ฝรั...

Post#4-149: เหนื่อยกายแต่สบายใจ

Post#4-149: หลังเสร็จจากการประชุมเรื่องแผนผลักดันยอดขายกับคู่ค้ารายหนึ่ง...ผมกับลูกน้องก็กลับมาประชุมกันต่อที่ Office แม้ว่าผมและทีมงานจะทำงานกันหนักมาก...แต่ผมก็ยังรู้สึกและสัมผัสได้จากแววตาและน้ำเสียงของพวกเค้า ว่า "เหนื่อยกายแต่สบายใจ" นั้นเป็นแบบไหน? มันจึงสำคัญมาก...ที่ใครก็ตามที่เป็นผู้บริหาร จำเป็นต้องทำให้ทีมงานรู้และเข้าใจให้ได้ว่า พวกเค้ากำลังต่อสู้เพื่ออะไรอยู่? ... คงจะไม่เกินจริงไปนัก หากผมจะสรุปว่า มนุษย์ทุกผู้ทุกนามบนโลก ล้วนต้องคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ ...ซึ่งนั่นมิใช่การเห็นแก่ตัว หากแต่เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานโดยธรรมชาติ แปลว่า หากเราต้องการให้ลูกน้องอยากมีใจทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มที่...เราจึงจำเป็นต้องแสดงให้พวกเค้าเห็นก่อน ว่าองค์กรเองก็ "ทำเต็มที่" ให้กับพวกเค้า ก่อนจะ "รับ" จึงต้อง "ให้" ... คำว่า "เต็มที่" ของผมนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราต้องจ่ายเงินเดือนมากที่สุดในท้องตลาด...เพราะเงินเดือนมากเท่าไหร่ก็น้อยไปเสมอ เมื่อเทียบกับความต้องการของมนุษย์ หากแต่คำว่า "เต็มที่" ของผมนั้น หมายถึง การ...

Post#4-148: "เค้า" คือใคร?

Post#4-148: ก็อย่างที่จั่ว Topic ไว้นั่นล่ะครับ... "เค้า" คือใคร? สารภาพว่าผมเพลียจิตมาก เวลาประชุมกับลูกน้อง แล้วได้รับคำอธิบายเรื่องอะไรก็ตามที่มีการเอ่ยคำว่า "เค้าบอกว่าอย่างนั้น" หรือ "เค้าว่ามาอย่างนี้" เพราะฟังจนจบแล้ว ก็ยังไม่รู้เลยว่า "เค้า" นี่คือใคร (ฟะ)? ... "เขา" (ภาษาเขียน) หรือ "เค้า" (ที่เราออกเสียงกัน) จึงเหมาะควรในการใช้เป็นสรรพนามแทนบุรุษที่ 3 ในกรณีที่เรามั่นใจว่า คู่สนทนา รู้ว่าเราหมายถึงใครแน่ๆ เช่น A พูดกับ B ว่า "วันก่อนไปงานเลี้ยงรุ่น เจอพี่บอย เค้ายังถามถึงแกเลย"...แบบนี้ B จะเข้าใจได้ทันทีว่า "เค้า" หมายถึง "พี่บอย" แต่ถ้า A พูดกับ B ว่า "วันก่อนไปกินข้าวมา เค้ายังถามถึงแกเลย"...แบบนี้ B จะรู้มั๊ยครับ ว่า "เค้า" คือใคร (ฟะ)? ... บ่อยครั้ง "เค้า" ที่ว่า ก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงนะครับ...เป็น "คนเล่า" นั่นเอง ที่กุเรื่องขึ้นมาฝอยเป็นคุ้งเป็นแคว อาจจะมีเจตนาแฝงหรืออายที่จะบอกว่า ตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนเริ่มเรื่อง หรื...