Post#4-167:
ในทางพุทธที่เชื่อกันเรื่องชาติภพนั้น...เราเชื่อกันว่า เมื่อเราสิ้นสุดชาติภพใดๆ เราก็จะไปเกิดในชาติภพต่อๆ ไปในทันที
จนต่อเมื่อเราบรรลุนิพพานนั่นแล...เราจะหลุดพ้นวัฏสงสาร...ไม่มีการเกิดหรือดับอีกต่อไป
แปลว่า เมื่อเรามาถึงจุดสิ้นสุดของชาติภพหนึ่งๆ เราก็กำลังจะเริ่มต้นชาติภพใหม่ในทันที
แม้จะพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้...ว่าชาติภพมีจริงหรือไม่...ก็ตามที
...
ผมเคยอ่านหนังสือธรรมะจากหลายบรรพชิต หลากสำนักพิมพ์...ซึ่งสรุปคล้ายๆ กันได้ว่า
แม้เราจะพิสูจน์เรื่องชาติภพไม่ได้...แต่เรากลับพบเจอกับ "การเกิด-ดับ" ของเรื่องราวต่างๆ กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เพียงแต่ระดับของการเกิด-ดับ ของเรื่องราวต่างๆ นั้น ต่างกินระยะเวลาไม่แน่นอน...บ้างก็เร็ว บ้างก็ช้า
เข้าข่ายเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน หรือไม่ก็เกิดขึ้นและดับไปอย่างเชื่องช้าอ้อยสร้อยจนไม่ทันสังเกต
ถ้าสมมติฐานนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับได้...บางที "ชาติ-ภพ" ก็อาจจะเปรียบได้กับ "การเกิด-ดับ" ของอารมณ์ที่จับอยู่กับเจตสิกของเราได้ ฉะนั้น
...
เมื่อรู้เท่าทันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" เป็นธรรมดาธรรมชาติ...
พุทธองค์จึงทรงสอนให้เราไม่ยึดติด เพราะทรงตรัสรู้แล้ว...ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็น "อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา"
เราเองก็จึงควรนำพระธรรมของพุทธองค์มาพิจารณา...เพื่อให้เราเข้าใจสัจธรรมนี้
เพราะเมื่อเข้าใจ...เราก็จะพึงรู้เท่าทันและรู้ละวาง อารมณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นมากระทบเจตสิกแห่งตน
ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์...แล้วมันก็จะผ่านไป
เราจึงมิควรแต่อาลัยอาวรณ์กับอดีต...หากแต่ควรแค่นึกถึงและเรียนรู้จากมัน
เมื่อมีเกิดก็จักต้องมีดับ หมุนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้...ตราบจนสิ้นโลกธาตุ หรือสิ้นสังสารวัฏ
...ดังนั้น จงอย่ากลัวการสิ้นสุด เพราะมันคือโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่...อย่ากลัวที่จะสูญเสียมันไป เพราะไม่มีอะไรเป็น "ตลอดกาล"...
#จุดสิ้นสุดของเรื่องหนึ่งๆอาจหมายถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องอื่นๆ #เราถึงเส้นชัยเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง #ถึงสูงสุดก็อาจดิ่งสู่ความเสื่อม #ถึงก้นบึ้งก็อาจปีนป่ายขึ้น #จบเพื่อจะเริ่มใหม่
ในทางพุทธที่เชื่อกันเรื่องชาติภพนั้น...เราเชื่อกันว่า เมื่อเราสิ้นสุดชาติภพใดๆ เราก็จะไปเกิดในชาติภพต่อๆ ไปในทันที
จนต่อเมื่อเราบรรลุนิพพานนั่นแล...เราจะหลุดพ้นวัฏสงสาร...ไม่มีการเกิดหรือดับอีกต่อไป
แปลว่า เมื่อเรามาถึงจุดสิ้นสุดของชาติภพหนึ่งๆ เราก็กำลังจะเริ่มต้นชาติภพใหม่ในทันที
แม้จะพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้...ว่าชาติภพมีจริงหรือไม่...ก็ตามที
...
ผมเคยอ่านหนังสือธรรมะจากหลายบรรพชิต หลากสำนักพิมพ์...ซึ่งสรุปคล้ายๆ กันได้ว่า
แม้เราจะพิสูจน์เรื่องชาติภพไม่ได้...แต่เรากลับพบเจอกับ "การเกิด-ดับ" ของเรื่องราวต่างๆ กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เพียงแต่ระดับของการเกิด-ดับ ของเรื่องราวต่างๆ นั้น ต่างกินระยะเวลาไม่แน่นอน...บ้างก็เร็ว บ้างก็ช้า
เข้าข่ายเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน หรือไม่ก็เกิดขึ้นและดับไปอย่างเชื่องช้าอ้อยสร้อยจนไม่ทันสังเกต
ถ้าสมมติฐานนี้ เป็นเรื่องที่เรายอมรับได้...บางที "ชาติ-ภพ" ก็อาจจะเปรียบได้กับ "การเกิด-ดับ" ของอารมณ์ที่จับอยู่กับเจตสิกของเราได้ ฉะนั้น
...
เมื่อรู้เท่าทันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" เป็นธรรมดาธรรมชาติ...
พุทธองค์จึงทรงสอนให้เราไม่ยึดติด เพราะทรงตรัสรู้แล้ว...ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็น "อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา"
เราเองก็จึงควรนำพระธรรมของพุทธองค์มาพิจารณา...เพื่อให้เราเข้าใจสัจธรรมนี้
เพราะเมื่อเข้าใจ...เราก็จะพึงรู้เท่าทันและรู้ละวาง อารมณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นมากระทบเจตสิกแห่งตน
ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์...แล้วมันก็จะผ่านไป
เราจึงมิควรแต่อาลัยอาวรณ์กับอดีต...หากแต่ควรแค่นึกถึงและเรียนรู้จากมัน
เมื่อมีเกิดก็จักต้องมีดับ หมุนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้...ตราบจนสิ้นโลกธาตุ หรือสิ้นสังสารวัฏ
...ดังนั้น จงอย่ากลัวการสิ้นสุด เพราะมันคือโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่...อย่ากลัวที่จะสูญเสียมันไป เพราะไม่มีอะไรเป็น "ตลอดกาล"...
#จุดสิ้นสุดของเรื่องหนึ่งๆอาจหมายถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องอื่นๆ #เราถึงเส้นชัยเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง #ถึงสูงสุดก็อาจดิ่งสู่ความเสื่อม #ถึงก้นบึ้งก็อาจปีนป่ายขึ้น #จบเพื่อจะเริ่มใหม่
Comments
Post a Comment