Skip to main content

Posts

Showing posts from October, 2014

Post#2-54: ผ่อนสั้นผ่อนยาว

Post#2-54: ผมเพิ่งเดินทางกลับออกจากงาน "สหกรุ๊ปแฟร์" ที่ศรีราชามาครับ ^^ ปลายปีแบบนี้ ทุกองค์กรต่างก็เร่งทำยอดขาย เพื่อให้ปิดเป้าการขายให้ได้สูงที่สุด ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา ก็คงต้องงัดสารพัดตำรามาดึงเงินในกระเป๋าลูกค้าให้จงได้ และหนึ่งในตำราเก่าแก่ที่ยังคงทรงประสิทธิภาพเสมอ ก็คือ "การออกงาน" หรือที่ชาวการตลาดชอบเรียกว่า "ออกบู้ท" นั่นแหละครับ ช่วงนี้คนต่างก็ออกมาหาซื้อของขวัญปีใหม่ หรือไม่ก็มองหาของดีราคาถูก ที่บริษัทและห้างร้านทั้งหลาย นำออกมากระหน่ำโปรฯ ลด แลก แจก แถม กันแบบลืมตาย ความจริงการทำโปรฯ แบบนี้ ก็สอนเรื่องชีวิตได้เหมือนกัน... บางช่วงบางเวลา ถ้าเรามัวแต่ยึดว่าจะต้องได้กำไรเท่านั้น เท่านี้ ไม่งั้นไม่ขาย ก็มีหวังได้นอนกอดสต๊อก แล้วก็ตายไปกับมัน เช่นเดียวกัน บางช่วงบางตอน ถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับวิธีการใช้ชีวิตหรือวิธีการแบบเดิมๆ ก็ไม่มีวันเดินหน้าไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ ต้องเข้าใจว่า "เรื่องด่วน" ต้องมาก่อน "เรื่องใหญ่" เปรียบเทียบให้เห็นชัดก็เช่น เก็บเงินจะไปเที่ยวเมืองนอก อดม...

Post#2-53: เค้าบอกว่า...

Post#2-53: เวลามีใครมาบอกว่า "เนี่ย เค้าบอกว่า..." ทีไร ผมเป็นต้องพยายามเตือนตัวเองให้หูหนักๆ ใจแน่นๆ ไว้ก่อน โดยเฉพาะถ้าขึ้นต้นว่า "เค้าบอกว่า คนนี้เป็นคนไม่ดี..." ผมจะระวังมากกว่าปกติ ทำไมหรือครับ? งั้นลองมาวิเคราะห์ตามผมดูครับ... เวลามีใครมาบอกว่า "คนนี้อะเหรอ เค้าบอกว่า เป็นคนไม่ดี..." คนส่วนใหญ่จะเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ หรือไม่เชื่อมากกว่าเชื่อครับ? แต่ถ้ามีใครมาบอกว่า "เนี่ย คนนี้เค้าเป็นคนดี ชั้นฟังเค้าบอกมา..." แบบนี้ เราไม่เชื่อมากกว่าเชื่อ หรือเราเชื่อมากกว่าไม่เชื่อครับ? ... จะแปลกมั๊ยผมไม่ทราบ แต่ยืนยันได้ว่า คนเรามักชอบที่จะฟังและเชื่อเรื่องไม่ดี มากกว่าเรื่องที่ดีๆ ยกตัวอย่างชัดๆ ก็เช่นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งนั่นไง...มีกี่ครั้งกัน ที่พาดหัวข่าวด้วยเรื่องดีๆ? ... เคยบ้างมั๊ยครับ ที่เราเชื่อคำบอกเล่าเกี่ยวกับคนที่เราไม่รู้จัก แล้วเราก็เชื่อว่าเค้าเป็นแบบนั้น โดยไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง ฟังมาว่า คนนี้เลวยังงั้น คนนั้นเลวยังงี้ แล้วเราก็พาลเกลียดเค้า โดยที่เค้าก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้เราเลย ไม่รู้จักเราด้วยซ้ำไป การไปปักใจ...

Post#2-52: (ยัง) ไม่เก่งแต่ใจสู้

Post#2-52: ช่วงเช้าวันนี้ ผมมีโอกาสได้คุยงานกับลูกน้องท่านหนึ่ง เรื่องของเรื่องก็คือ ผมกำลังจะผลักดันยอดขายของช่องทางการขายหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยความใส่ใจและการเกาะติดงานแบบเข้มข้นเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความที่เป็นบริษัทเล็ก จึงต้องอาศัยทีมงานที่มีเป็นหลัก และก็น่ายินดีที่ทีมงานที่มี ส่วนใหญ่มีนำ้ใจที่จะช่วยกัน ซึ่งน้องคนนี้ ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ว่า ตอนหนึ่งของการสนทนา น้องเค้าบอกว่า "ถ้าพี่ไม่ติดที่หนูยังไม่เก่ง หนูก็ยินดีจะทำค่ะ" ผมตอบน้องเค้าไปว่า "อย่ากังวลเลย ยังไม่เก่ง เราฝึกกันได้ และพี่ยินดีมากๆ ที่คุณยอมช่วยงาน แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่มีใจจะทำ ต่อให้คุณเก่งยังไง พี่ก็คงไม่กล้ามอบงานนี้ให้หรอก" ผมไม่ได้สร้างภาพนะครับ แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า "ไม่เก่งน่ะ ฝึกกันได้ แต่ถ้าไม่มีใจน่ะ ป่วยการที่จะเคี่ยวเข็ญ" น้องเค้าแสดงความมีใจสู้ ผมจึงมั่นใจว่า เค้าจะพยายามทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย แต่หากน้องเค้าไม่มีใจจะทำ ผมก็แพ้ตั้งแต่มอบหมายงานแล้วครับ ขอบคุณคนดีๆ ที่อยู่ข้างๆ กันครับ ^^

Post#2-51: ยารักษาความโง่

Post#2-51: จากการสังเกต ผมพบว่า บรรดาชายหนุ่มทั้งหลายจะรู้สึกเสียหน้ามาก หากต้องเอ่ยปากถามอะไรใคร เวลาที่ตัวเองไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาที่ขับรถหลงทาง เรียกว่า ยอมหลงดีกว่ายอมเอ่ยปากถามทาง ว่างั้น ส่วนคุณสาวๆ บางท่าน ก็จะมีอาการไม่ชอบเสียหน้าในที่สาธารณะ เช่นในห้องประชุม ถ้ามีคนพูดอะไรซักอย่างที่เธอไม่เข้าใจ ก็จะทำเหมือนเข้าใจ เออออไปตามเรื่อง ประชุมเสร็จค่อยมาถามเพื่อนเอา ว่างั้น ที่ฮาก็คือ พอมาถามเพื่อน เพื่อนดันบอกว่า "อ้าว ชั้นก็กะมาถามแก๊" ซะงั้น -"- ... จะว่าไปแล้ว เรื่องแบบนี้ก็อาจจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ คือไม่อยากดูเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น ทั้งๆ ที่ตอนถามน่ะ อาจจะดูโง่ไปบ้าง แต่หลังจากถามไปแล้ว เราจะหายโง่ กลับกันที่เลือกจะไม่ถาม เลยดูไม่โง่ในสายตาคนอื่น แต่ภายในหัวน่ะ แบกความโง่ไว้อีกนานเลย ดังนั้น เราอาจจะต้องเลือกว่า จะเป็นคนที่ดูดีภายนอกแต่แบกความโง่ไว้ภายใน หรือดูเป็นคนโง่ภายนอก แต่เปี่ยมไปด้วยความฉลาดภายใน ... สาเหตุที่ผมใช้คำว่า "โง่" แทนคำว่า "ไม่ฉลาด" นั้น เป็นเพราะองค์นบีมูฮัมหมัด โปรดสอนไว้ว่า...

Post#2-50: สักแต่ว่าทำ

Post#2-50: แม้ทุกคนจะรู้ดีอยู่แล้วว่า "คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ก็คือคนที่ไม่ลงมือทำอะไรเลย" แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบความผิดพลาด จะลดความผิดพลาดให้น้อยลง จึงต้องใช้เวลาในการวางแผนให้รอบคอบซักนิด ก่อนที่จะลงมือทำ หรือคิดล่วงหน้าไว้บ้าง ว่าถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้น จะมีแนวทางแก้ไขยังไงบ้าง สำคัญที่ว่า เมื่อลงมือทำแล้ว จะต้องทำอย่างจริงจัง ให้ใจจดจ่อกับความสำเร็จ ไม่ใช่เอาใจไปจับอยู่กับความกลัวผิดพลาด ... ที่น่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่เรื่องความผิดพลาดที่เกิดจากการทำตามแผน แต่คือความผิดพลาดที่เกิดจากความตั้งใจให้ผิดพลาดต่างหาก งงมั๊ยครับ? ก็เช่น รู้ทั้งรู้ว่าถ้าทำไปทั้งแบบนี้จะมีโอกาสพลาดมากกว่าสำเร็จ ก็ยังดันทุรังทำไป โดยหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น...แบบนี้แหละครับ ที่เรียกว่า ตั้งใจที่จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ส่วนใหญ่ความผิดพลาดแบบนี้ มักเกิดจากการวางแผนที่ไม่ชัดแจ้งมากกว่าอย่างอื่น... ก็คือมองภาพยังไม่ออกว่า จะวางแผนอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย แต่ดันเริ่มลงมือทำ (จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เช่น งานเร่ง, มั่วงาน, มารับงานต่อ, ฯลฯ) เหมือนๆ กับเราจะไปลาดพร้าว จู่ๆ จะขับรถออกไป โ...

Post#2-49: คนรวยจริงๆ มีอยู่ในโลก

Post#2-49: แน่นอนว่า คนรวยเงินมีอยู่แค่หยิบมือบนโลกนี้ ในขณะที่คนที่ไม่ค่อยมั่งมีนี่พบได้ดาษดื่นทั่วไป คนรวยมากๆ มักจะชอบพูดประโยคที่คนธรรมดาทั่วไปฟังแล้วหมั่นไส้ว่า "เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด" แต่ถ้าคุณมีเงินมากพอ...คุณจะพบว่าพวกเค้าพูดไม่ผิด... ปล่าวครับ ผมไม่ได้มีเงินมากขนาดที่จะเข้าใจความรู้สึกของคนที่รวยล้นฟ้าหรอกครับ แต่แค่เคยมีโอกาสสัมผัสกับคนรวยมากๆ อยู่บ่อยๆ ในช่วงหนึ่งของชีวิต คนรวยมากๆ (ไม่ใช่ทุกคนนะครับ) ถึงจุดๆ หนึ่ง เค้าจะรู้สึกว่า มันจริงอย่างที่สุดที่เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ ยิ่งเค้าใช้เงินมากเท่าไหร่ ช่องโหว่ในใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ที่เป็นแบบนี้ ส่วนตัวผมคิดว่า เป็นเพราะวิถีแห่งการใช้เงินมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...ความต่างระหว่าง "ให้เงินคนที่เรารัก" กับ "ใช้เงินเพื่อคนที่เรารัก" มันมีมากจริงๆ ลองดูตัวอย่างของการ "ให้เงิน" กับ "ใช้เงิน" ดูมั๊ยครับ... เราให้เงินแฟน 2 พัน ไปซื้อเสื้อใหม่ กับเราพาแฟนไปซื้อเสื้อราคา 2 พัน...แม้จะใช้เงิน 2 พันเท่ากัน อย่างไหนที่แฟนเราจะรู้สึกขอบคุณเรามากกว่ากัน? เราให้เงินล...

Post#2-48: เต่า 3 ตัว

Post#2-48: มีเต่า 3 ตัวล้อมวงคุยกัน (สมมติว่า ชื่อ A, B และ C ละกันครับ) และใจกลางของวงนั้น มีปลากระป๋องวางอยู่บนหาดทราย ทั้ง 3 ตัวกำลังหารือกันว่าหลังจากเปิดกระป๋องแล้ว จะกินยังไง เพราะไม่มี "ส้อม" (เรื่องมากเหมือนกันแฮะ) และตกลงกันว่าจะไปขอยืมส้อมจาก "ผู้เฒ่าเต่า" ที่อยู่อีกฝากของเกาะ ว่าแล้วทั้ง 3 ตัว ก็ "โอน้อยออก" กัน ใครแพ้ต้องเป็นผู้คลานไปยืม ว่างั้น ปรากฏว่าตัวที่แพ้ คือ C ก่อนที่ C จะจากไป ก็ขอสัญญาจาก A และ B ว่า ระหว่างที่รอ ห้ามเปิดกระป๋องและลงมือกินก่อนที่ C จะกลับมา เด็ดขาดและเด็ดขาด ^^ เต่า A กับ B ก็รับปาก และมองดูเต่า C คลานไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งลับสายตาไป จากนั้น เต่า A กับ B ก็นั่งเฝ้าปลากระป๋องนั้น อย่างอดทน หนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว เจ้า C ก็ยังไม่กลับมา จนในที่สุด เต่า B ก็บอกเต่า A ว่า เต่า B: เจ้า C มัวไปทำอะไรของมันอยู่ นี่ก็ผ่านไป 2 วันแล้ว มันคงไม่กลับมาแล้วล่ะ เต่า A: นั่นสิ ปกติไปกลับก็ไม่เกินวัน หิวจะแย่แล้ว เต่า B: งั้นเราลงมือกินเลยดีกว่า ไม่ต้องใช้ส้อมก็ได้ เต่า A: จะดีเหรอ สัญญาไว้แล้วนี่ ว่าจะรอ...

Post#2-47: พลังงานด้านลบ

Post#2-47: ใครเคยทำงานกับคนที่ปล่อยพลังงานด้านลบอยู่ตลอดเวลาบ้างมั๊ยครับ? วันนี้เป็นอีกวันที่ผมต้องใช้พลังงานมหาศาล ในการต่อสู้กับพวกเค้า เรียกว่า ต้องใช้พลังกายในการควบคุมกล้ามเนื้อมัดหน้าให้ยิ้ม และควบคุมใจให้เต็มเปี่ยมไปด้วยขันติในระดับสูง เพื่อที่จะควบคุมบรรยากาศการประชุมให้ดำเนินต่อไปได้ โดยไม่ให้พลังงานด้านลบมามีอิทธิพลเหนือผู้เข้าร่วมประชุมท่านอื่นๆ ทำงานกับคนที่มีพลังงานด้านลบนี่ เหนื่อยมากจริงๆ ครับ เพราะเค้ามักจะมีความสามารถพิเศษในการทำลายกำลังใจของคนอื่นๆ รอบข้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเนื่องจากคนพวกนี้ มี "ความเป็นเทพ” ในตัวสูง ผมจึงขออนุญาตใช้สรรพนามเพื่ออ้างถึงเค้าว่า “ท่าน” นะครับ ดูจะสมเกียรติหน่อย -"- คนที่มีพลังงานด้านบวกเยอะๆ นี่ จะมองเห็นโอกาสในทุกๆ ปัญหา ส่วน “ท่าน" จะมองเห็นปัญหาในทุกๆ โอกาส เรียกว่า ใครเสนออะไร “ท่าน” ก็สามารถที่จะหาเหตุผลมาปั่นหัวคนอื่นได้ว่า เพราะอะไรไอเดียที่เสนอมา จึงไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถ้าไปถาม “ท่าน” ว่า เอาล่ะ! ในเมื่อไอเดียนั้นๆ ยังมีข้อบกพร่อง จะแก้ไขยังไงดี “ท่าน” ก็จะตอบว่า "ก็แก้ไม่ได้ เพราะไอเดียนี้ไม่มีท...

Post#2-46: วันสำคัญที่สุดในชีวิต

Post#2-46: ผมเชื่อว่า ทุกคนล้วนต้องมี "วันที่สำคัญที่สุดในชีวิต" ตามธรรมเนียมของผม ก็ต้องขอให้คิดดูซะหน่อยครับ ว่าวันที่ว่าน่ะ คือวันอะไร อาจจะมีมากกว่าหนึ่งวันก็ได้นะครับ ให้เวลาคิด 3 นาทีพอมั๊ยครับ? ... สำหรับ Mark Twain แล้ว เค้าบอกว่า... "The two most important days of your life are the day you are born and the day you find out why." แปลว่า "วันที่สำคัญที่สุดในชีวิต มีอยู่ 2 วัน ก็คือวันที่เราเกิดมา และอีกวันก็คือวันที่เราค้นพบว่า เราเกิดมาทำไม" สำหรับวันแรก คือวันเกิด ทุกคนผ่านมาแล้ว และขอจงเตือนตัวเองให้ระลึกอยู่เสมอว่า โชคดีเพียงไหนแล้ว ที่ได้เกิดมาเป็น "คน" ส่วนวันที่สอง ขอแสดงความยินดีสำหรับท่านที่ค้นพบคำตอบแล้ว ผมคิดว่า วันที่เราค้นพบว่า เราเกิดมาทำไม คงเป็นวันที่จิตวิญญาณของเรามีแต่ความปิติปรีดา เป็นแน่ ส่วนผมเอง แม้จะยังค้นไม่พบคำตอบนั้น แต่มั่นใจว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมค้นพบ คงเป็นวันที่เราค้นพบ "เป้าหมายในชีวิต" ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ใครที่ค้นพบคำตอบแล้ว อย่าลืมมาแชร์กันบ้างนะครับ ผมจะรออ่าน ^^ * อยากรู้จัก ...

Post#2-45: ใครกันแน่ที่ "ไม่ฉลาด"

Post#2-45: เมื่อหัวค่ำนี้เองครับ มีคนส่งข้อความนี้มาให้อ่าน ^^ A 5-year-old girl asked her big brother, "what is love?" He replied "Love is when you steal chocolate from my school pack everyday...and I still keep it in the same place." ผมขออนุญาตแปลให้ว่า... เด็กหญิงตัวน้อยอายุ 5 ขวบถามพี่ชายคนโตของเธอว่า "ความรัก คืออะไรคะ?" พี่ชายของเธอตอบว่า "ความรัก ก็คือ ตอนที่เธอแอบหยิบช็อกโกแลตในกระเป๋านักเรียนของพี่ไปกินทุกวัน แต่พี่ก็ยังเก็บมันไว้ที่เดิมไงล่ะ" ... อ่านจบผมนั่งอมยิ้ม เพราะรู้สึกว่า "ความรัก" ของพี่ชายคนนี้ มัน "จับต้อง" ได้ชัดเจนเสียนี่กระไร แล้วผมก็คิดต่อไปว่า...ในชีวิตของเรา ว่ากันจริงๆ แล้ว ก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงอยู่เหมือนกันครับ แต่น่าเสียดายที่เราไม่ทันได้ทันสังเกตุ  เช่น... แม่เตรียมอาหารไว้ให้ทุกเย็น เรากลับไปทานบ้างไม่ทานบ้าง ก็จะมีอาหารรอเราเสมอ แฟนหนุ่มมารอคุณสาวๆ แต่งตัวก่อนออกจากบ้านเป็นชั่วโมงๆ แม้จะบ่นบ้าง หน้างอบ้าง แต่ก็ยังมารอ  คุณสาวๆ นั่งดูบอลเป็นเพื่อนแฟน ดูก็ไม่ค่อยจ...

Post#2-44: แก้ปัญหาอูฐๆ

Post#2-44: ผมได้รับเป็น forwarded message มาเมื่อเช้านี้ เห็นว่ากระตุกต่อมคิดแก้ปัญหาได้ดี ก็เลยอยากนำมาแชร์ครับ ^^ ... บิดาผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วได้ทิ้งอูฐ 17 ตัว ไว้เป็นทรัพย์สินให้ลูกๆ ทั้ง 3 คนของเขา พินัยกรรมของเขาเขียนไว้ว่า ครึ่งหนึ่งของอูฐ 17 ตัว ให้ตกเป็นของลูกชายคนหัวปี ลูกคนกลางจะได้รับอูฐ 1 ใน 3 ของ 17 ตัว ส่วนลูกคนสุดท้องจะได้รับอูฐ 1 ใน 9 ของอูฐ 17 ตัว คราวนี้ยุ่งละสิ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะหารจำนวนอูฐ 17 ตัว ด้วยตัวเลข 2 หรือ 3 หรือ 9 ตามที่พินัยกรรมเขียนไว้ ลูกทั้งสามคนเลยทะเลาะกัน ลองช่วยแก้ปัญหาให้ทีครับ ยากหน่อย ผมให้เวลา 10 นาทีครับ ... เฉลยครับ... หลังจากถกกันอยู่นาน ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปหาปัญญาชนท่านหนึ่ง หลังจากที่รับฟังข้อความในพินัยกรรมแล้ว ปัญญาชนท่านนี้ ก็นึกพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็แก้ปัญหาแบบนี้ครับ... เขานำมอบอูฐของเขามาเพิ่มเข้าไปในฝูงอูฐ 17 ตัวนั้น จนจำนวนอูฐทั้งสิ้นนับได้เป็น 18 ตัว คราวนี้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ... ครึ่งหนึ่งของอูฐ 18 ตัว คือ 9 ลูกคนโตเอาไป 1 ใน 3 ของ 18 คือ 6 ลูกคนกลางเอาไป 6 ตัว 1 ใน 9 ของ...

Post#2-43: ปรัชญาจากวาซาบิ

Post#2-43: เมื่อวานหลังจากลูกสาวผมเรียนเปียโนเสร็จ ผมก็พาภรรยาและลูกสาวไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง หนึ่งในเมนูโปรดที่ผมสั่งก็คือซูชิ ซึ่งแน่นอนว่าต้องจิ้มโชยุใส่วาซาบิถึงจะอร่อย เรื่องมันคงไม่มีอะไร ถ้าไม่บังเอิญว่า ลูกสาวผมสังเกตว่า ผมทานซูชิแล้วน้ำตาเล็ดเพราะวาซาบิ แล้วเธอก็มองหน้าผมด้วยเครื่องหมายคำถามในแววตา ประมาณว่า รู้ว่าเผ็ดแล้วทานไปทำไม? นั่นสิ เรารู้ว่าทานวาซาบิเมื่อไหร่ ก็จะเผ็ดขึ้นสมองทุกที แต่รู้ทั้งรู้แล้วทานไปทำไม? แล้วผมก็เอาเรื่องวาซาบิมาคิดต่อ...ผมพบว่า เพราะเรารู้ว่า ถ้าผ่านช่วงเผ็ดจิ๊ดขึ้นสมองของวาซาบิไปได้ ก็จะเหลือแต่ความอร่อยตามมา ดังนั้น ถ้าอดทนผ่านช่วงยากลำบากไปได้ เราก็ควรจะพบความสุขที่ปลายทาง (หรือความอร่อยหลังจากความจี๊ดของวาซาบิ) นึกภาพตอนทานซูชิจิ้มโชยุโดยไม่ใส่วาซาบิออกมั๊ยครับ ไม่เผ็ดก็จริงแต่ก็ทำให้ความอร่อยจากการทานซูชิหายไปหมด จะทำงานอะไรที่ง่ายดายโดยไม่มีอุปสรรคซะเลย ผลที่ได้คงไม่น่าตื่นเต้นยินดีซะเท่าไหร่ คงเข้าทำนอง "What comes easy won't last, what last won't come easy." แปลว่า "อะไรที่มาง่...

Post#2-42: คู่ชีวิต

Post#2-42: ผมใช้ชีวิตแต่งงานปีนี้ย่างเข้าเป็นปีที่ 11 แล้ว และอยากบอกว่า ผมนึกไม่ออกว่า จะใช้ชีวิตยังไงถ้าต้องกลับไปเป็นโสดอีกครั้ง ^^ ใครที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่มีคู่เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ผมขอบอกว่า ก่อนตัดสินใจแต่งงานกัน ต้องปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคนที่เราจะเลือกใช้ชีวิตคู่มากๆ หน่อย ... ตอนเราจะเลือกใครมาเป็นแฟน มักจะมองหาข้อดีของเค้า โดยมองข้ามข้อด้อย แต่หลังจากเป็นแฟนกันแล้ว หรือแต่งงานกันแล้ว ทำไมมักจะเลือกมองแต่ข้อด้อย โดยไม่มองข้อดี? ก่อนเป็นแฟนกันหรือก่อนใช้ชีวิตร่วมกัน จึงต้องวิเคราะห์ข้อด้อยของอีกฝ่ายให้ลึกๆ ว่าเป็นแฟนกันแล้วหรือแต่งงานกันแล้ว จะรับข้อด้อยของเค้าได้มั๊ย อย่าคิดว่าอยู่ด้วยกันแล้วเค้าจะเปลี่ยน เพราะเค้าอาจจะไม่เปลี่ยน หรืออะไรที่คาดว่าเค้าจะไม่เปลี่ยน ก็อาจจะร่วงโรยไปตามวันเวลา การมีแฟนกับการมีครอบครัว ต่างกันโดยสิ้นเชิง จะหาแฟนหรือเปลี่ยนแฟนน่ะง่าย แต่การจะมีครอบครัว ไม่ใช่คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ดังนั้นถ้ายังไม่พร้อมรับผิดชอบกันและกัน ก็อย่าเพิ่งริจะสร้างครอบครัว  ... สำหรับสาวๆ แฟนหนุ่มกับสามี อาจเหมือนกันที่ความสัมพันธ์ทางกาย แต่ความผูกพ...

Post#2-41: การต่อยอดทางการเงิน

Post#2-41: บ่ายวันนี้ผมมีโอกาสดีที่ได้มาคุยกับ investor เพื่อหาเม็ดเงินมาลงทุนในธุรกิจใหม่ที่กำลังจะทำในปีหน้า ได้เรียนรู้ถึงมุมมองทางการเงินใหม่ๆ และแนวทางการใช้เงินเพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุน หลายเรื่องเลยครับ ^^ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการเงิน 100 ล้านบาท แทนที่จะต้องวิ่งหาเงินมากขนาดนี้ เราสามารถที่จะใช้เงิน 35 ล้านบาทในการซื้อทรัพย์สิน จากนั้นนำทรัพย์สินมูลค่า 35 ล้านที่ว่า ไปขอวงเงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินได้ที่ 100 ล้านบาท เรียกว่าถ้ารู้จักวางแผนการด้านการเงินและเข้าใจโครงสร้างการลงทุน เราก็สามารถที่จะสร้างโอกาสทางการลงทุนด้วยความพยายามที่น้อยกว่าได้ ความยากง่ายในการหาเงิน 35 ล้านบาท กับ 100 ล้านบาท ต่างกันเกือบ 3 เท่าเลยทีเดียวครับ เรื่องนี้สอนอะไรผมบ้าง? ก็สอนว่า จะไปถึงเป้าหมายไม่ต้องเดินรวดเดียวก็ได้ ต้องคิดว่าระหว่างทางมีอะไรที่จะช่วยให้เดินทางถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้นบ้าง ถ้าเปรียบเป้าหมายเป็นยอดเขา ถ้ามัวแต่มุ่งหน้าอย่างเดียว สักแต่ปีนๆ ด้วยมือและเท้าเปล่า โดยไม่เงยหน้าดูรอบๆ บ้าง กว่าจะขึ้นถึงยอด ก็อาจจะเหนื่อยตายซะก่อน แต่ถ้ามองหาตัวช่วยระหว่างปีนเขา เช่...

Post#2-40: ละเลยโดยประมาท (มั๊ง)

Post#2-40: เมื่อหัวค่ำนี้ผมนีนัดดินเนอร์สำคัญ เลยต้องมอบหมายให้ลูกน้องคนหนึ่งไปทำหน้าที่ส่งหุ้นส่วนผมไปสนามบิน นัดกันดิบดีว่า ให้ออกรถประมาณ 3 ทุ่ม เพื่อให้ไปถึงสนามบินไม่เร็วเกินไป ผมก็สั่งให้คนที่สนามบินรอรับเรียบร้อย แล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท เพราะต้องทานดินเนอร์สำคัญที่เล่าไว้ตอนต้น กลับถึงบ้านเมื่อครู่ ไม่รู้ผมสังหรณ์ใจอะไร ก็เลยโทรเช็คว่า หุ้นส่วนผมอยู่ที่ไหน จะได้กำชับลูกน้องที่คอยอยู่ที่สนามบินให้รอ ปรากฏว่า ลูกน้องคนที่ผมให้ไปส่งหุ้นส่วน ทำไม่ตรงกับคำสั่ง คือออกรถไปก่อนเวลาที่นัดกันไว้ คราวนี้ก็ยุ่งโกลาหลทั้งสนามบินเลยครับ เพราะหุ้นส่วนผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ต้องประสานงานกันหลายต่อหลายต่อ กว่าจะหาตัวเจอ... เรื่องทั้งเรื่องเกิดจากลูกน้องผมละเลยคำสั่ง เรื่องที่ง่ายก็เลยกลายเป็นยาก เรื่องไม่น่าต้องเสียเวลาและวุ่นวายก็เลยกลายเป็นต้องมาวิ่งวุ่นกันไปหมด ความจริงเรื่องทำนองนี้ เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงาน ผู้รับคำสั่งควรยึดถือคำสั่งให้ดีที่สุด แต่หากมีเหตุสุดวิสัยที่ต้องเปลี่ยนแปลง ก็ควรถามไถ่ผู้สั่งงานก่อน จะได้ไม่วุ่นวาย เวลาลงม...

Post#2-39: focus

Post#2-39: วันนี้เป็นวันประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทของผม มีหุ้นส่วน 2 ท่านต้องบินจากประเทศสิงคโปร์เพื่อมาเข้าประชุม ^^ พวกเค้าต้องตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะมาให้ทัน 10 โมงครึ่ง (ที่สิงคโปร์เวลาเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง) เครื่องลงปุ๊บ พวกเค้าก็ตรงดิ่งมาประชุมปั๊บ ต้องบอกว่า ข้อดีอย่างหนึ่งของการเดินทางมาประชุมในต่างประเทศ ก็คือ เราจะไม่มีเวลาโอ้เอ้ หรือพิรี้พิไรแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทุกอย่างที่ทำต้องแข่งกับตารางเวลา ดังนั้นการประชุมที่เกิดขึ้นจึงเป็นการประชุมที่เน้นไปที่ "แก่น" ล้วนๆ ไม่มีการออกนอกประเด็นให้เปลืองเวลา เราคุยกันแบบรวดเดียวตั้งแต่ Strategic Thinking ผสมไปกับ Implementation Plan ครอบคลุมตั้งแต่ What happened? Why was it? What should be the Goal? How to achieve? ไปจนกระทั่ง Input needed ซึ่งใช้เวลาในการประชุมประมาณ 6 ชั่วโมงกว่าๆ เรียกว่าเราประชุมแบบไม่มีพักหายใจ ถึงขนาดประชุมไปทานกลางวันไปเลยทีเดียว -"- ถ้าในการทำงานประจำวัน เราสามารถที่จะ focus ได้เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังนี้ ลองคิดดูนะครับว่าประสิทธิภาพในการทำงานจะมีมากขนาดไหน การทำอะไรอย่างจริงจัง มีโฟก...

Post#2-38: วางแผนใช้เงินปลายปี

Post#2-38: เผลอแว่บเดียวก็จะหมดปี ใกล้ฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยกันอีกแล้ว ตั้งแต่เดือนหน้า สมาธิและความกระตือรือร้นในการทำงานจะหายไปเยอะมาก ก็บรรยากาศมันดึงไปในทางลั๊นลามากกว่านี่ครับ ^^ หลายคนเริ่มวางแผนใช้เงินปลายปีกันแล้ว และโดยมากถ้าไม่ซื้อของหรูๆ ก็ไปเที่ยว ถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน? ตอบยากครับ เพราะต่างจิตก็ต่างใจ ผมเองไม่มีโอกาสได้รอเงินโบนัสปลายปีมานานแล้ว ก็เลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไรซักเท่าไหร่ แต่มีข้อคิดหนึ่งที่ผมว่า ถ้าคิดตามดีๆ ก็น่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับการวางแผนใช้เงินปลายปีได้ เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ "A key to happiness is spending money on experiences than possessions." แปลว่า "กุญแจไปสู่ความสุขก็คือ การใช้เงินไปกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มากกว่าการครอบครองสิ่งของ" ... จริงสำหรับทุกคนมั๊ย ผมไม่ทราบ แต่ถ้าคิดตามดีๆ ก็มีเหตุผลอยู่ไม่น้อยครับ ซื้อของหรูๆ มา เราก็เห่อช่วงแรกๆ นานๆ ไปเราก็มักไม่ค่อยเห็นค่า และนับวันสิ่งของก็จะเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ ไหนจะภาระต้องดูแลอีก แต่การใช้เงินไปกับการเที่ยวหรือการได้มาซึ่งประสบการณ์ใหม่ๆ ดูเหมือนเป็นสิ่งที่จับต้อง...

Post#2-37: Don't die a copy!

Post#2-37: บ่อยครั้งเราจะได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานบ่นเข้าหู อารมณ์ประมาณว่า ที่ทำงานที่ทำอยู่เนี่ยไม่ดีเลย อยากจะลาออกจัง แต่ไม่มีทางเลือก ต้องทนไปก่อน จริงๆ แล้วเรา "ไม่มีทางเลือก" หรือ "ไม่กล้าจะเลือก" กันแน่? ... เราฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่วันที่ยังเป็นลูกจ้าง มีคนจ่ายเงินเดือนให้เราทุกเดือน ให้เรามีรายได้พร้อมๆ กับโอกาสที่จะฝึกฝนตัวเอง เรากลับไม่เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ทำงานเช้าชามเย็นชาม ใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ เช้ามาลงเวลาทำงานเข้า ตกเย็นลงเวลาทำงานออก ถ้าใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ เราจะได้เป็นเจ้าของกิจการได้ยังไง? บางคนก็อยากเป็นผู้บริหารตำแหน่งสูงๆ แต่วันนี้ก็ทำงานลำบากไม่เป็น ก็ในเมื่อไม่ลงมือทำงานหนัก จะรู้รายละเอียดมากพอที่จะไปบริหารลูกน้องได้ยังไง? ในวันที่ประสบการณ์ยังอ่อนด้อยและทุนรอนยังร้อยหรอ เราจึงควรตั้งใจทำงานและเก็บเกี่ยวความรู้ให้มากๆ เก็บเงินไว้บ้าง ไม่ใช่เฮฮาไปวันๆ ถ้าเราตั้งเป้าหมาย แต่ไม่วางแผนงานไปสู่เป้าหมาย เราจะทำสำเร็จได้ยังไง? เมื่อไม่มีแผนก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องลงมือทำอะไรบ้าง? และเมื่อไม่ลงมือทำ ก็ไม่มี...

Post#2-36: เรามาจากดาวคนละดวง

Post#2-36: วันนี้ขออนุญาตคุยเรื่องเบาๆ เพื่อลดความเครียดของตัวผมเองหน่อยนะครับ ^^ ว่ากันว่า "Men are from Mar, Women are from Venus" แปลว่า "ผู้ชายมาจากดาวอังคาร และผู้หญิงมาจากดาวศุกร์" แปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือก็เพราะผู้ชายกับผู้หญิงมาจากดาวคนละดวงนั่นไง ถึงได้มีวิธีคิดที่ไม่ค่อยจะเหมือนกัน ^^ ยกตัวอย่างวิธีคิดที่ฝรั่งเค้าว่าไว้นะครับ... "A woman marries a man expecting he will change, but he doesn't. A man marries a woman expecting that she won't change, and she does." แปลว่า "ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชาย โดยหวังว่าเค้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้, แต่สุดท้ายผู้ชายก็ไม่เคยเปลี่ยน ส่วนผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิง โดยคาดหวังว่าเธอจะไม่เปลี่ยน แต่สุดท้ายเธอก็เปลี่ยน" ผมขำแบบน้ำหมากกระจาย เพราะมันจริงทีเดียวครับ... ผู้หญิงคิดว่า แต่งงานกันแล้ว เค้าคงดีขึ้นล่ะน่า แต่คุณสามีอาจชุ่ยกว่าเดิม -"- ส่วนคุณผู้ชาย ตั้งความหวังไว้ว่า ภรรยาจะสวยและใจดีเหมือนเดิม แต่เธอกลับกลายร่างเป็นแม่มด (จ้าวเสน่ห์ - รอดไป) หลังแต่งงาน ใครที่มีครอบครัวแล้ว ล...

Post#2-35: ยางแบน

Post#2-35: อรุณสวัสดิ์เช้าวันอาทิตย์อันแสนสุขสันต์ครับ เวลาตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกสดชื่นแจ่มใสนี่ดีจังนะครับ เมื่อคืนผมทำงานโต้รุ่ง งีบไปได้หน่อยประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง วันนี้ก็ต้องไปทำงานอีกแล้ว ^^ คนส่วนใหญ่ไม่ชอบทำงานในวันหยุด ผมเองก็ไม่ชอบเหมือนกันครับ แต่เมื่อความรับผิดชอบมาเคาะประตูเรียกอยู่หน้าบ้าน ผมจึงไม่มีทางเลือก แต่เปล่าครับ ผมไม่ได้โกรธขึ้งหรือเคียดแค้นที่ต้องทำงานในวันที่คนอื่นๆ พักผ่อน เพราะผมเข้าใจดีว่า ไม่ว่าผมจะชอบหรือไม่ ผมก็ไม่มีทางเลือก ยังไงวันนี้ผมก็ต้องออกมาทำงานอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ผมเลือกไม่มาทำงานไม่ได้ แต่ผมเลือกที่จะออกจากบ้านมาทำงานอย่างมีความสุขก็ได้ หรืออมทุกข์มาทำงานก็ได้...และแน่นอนว่าผมเลือกที่จะมีความสุขกับการมาทำงาน ^^ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของ "ทัศนคติ" หรือที่ฝรั่งเรียก attitude นั่นแหละครับ เริ่มต้นด้วย positive attitude ที่เหลือก็น่าจะดีมากกว่าแย่ ผมฝากวาทะหนึ่งไว้เตือนใจในวันที่ชีวิตไม่มีทางเลือกมากมายนักว่า "A bad attitude is like a flat tire. You can't go anywhere until you change it." แปลว่า "ทัศนคติ...

Post#2-34: ปล่อยปละ vs ปล่อยวาง

Post#2-34: หลายครั้งที่เราอาจสับสน แยกไม่ออก ระหว่าง "ปล่อยปละ" กับ "ปล่อยวาง" เวลาต้องลงมือทำอะไรซักอย่าง พอรู้สึกว่ามันยาก, ลำบาก หรือน่าเหนื่อยหน่าย ก็เลยถอดใจไม่ทำ หรือทำส่งๆ ให้มันเสร็จๆ ไป แล้วมาบอกว่า "อ้าว! ก็ปล่อยวางไง" แบบนี้ผมก็ต้องบอกว่า "ก็ไม่ไหวนะ" "ปล่อยวาง" ไม่ได้แปลว่า ให้เลิกสนใจทุกสิ่ง อะไรจะเกิดก็ไม่สน ไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบ ใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดหมาย แบบนี้เค้าไม่เรียก "ปล่อยวาง" แต่เค้าเรียก "ปล่อยปละ" ส่วน "ปล่อยวาง" หมายถึง ต้องรู้ว่า เมื่อไหร่ต้อง "ถือ" และเมื่อไหร่ต้อง "วาง" "ปล่อยวาง" จึงหมายถึง เมื่อหวังสิ่งใดแล้ว ก็ลงมือทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่เมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปดังที่หวัง ก็ปลงได้ และเริ่มชีวิตใหม่ได้ โดยไม่อาลัยอาวรณ์กับความไม่สมหวังนั้นมากนัก เมื่อทำเต็มที่แล้ว ยังไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจชีวิตให้ได้ เรียกว่าต้อง "ละได้" กับ "วางเป็น"  ว่ายังงั้น ... ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า แก่นแท้ของการเป็นมนุษย์นั้น ...

Post#2-33: เริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม

Post#2-33: ทุกเช้าวันจันทร์ ผมจะมีกิจกรรมที่เรียกว่า Morning Talk ใน office เป็นช่วงเวลาไว้สื่อสารทำความเข้าใจ ได้รวมตัวกันพร้อมหน้า ทั้งส่วนงาน office และคลังสินค้า ได้เห็นหน้าค่าตา ได้ทักทายกันและกัน ช่วงสุดท้ายของ Morning Talk จะเป็นกิจกรรมสร้างรอยยิ้ม ที่แบ่งพนักงานออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มไปร่วมกันคิดหาวิธีสร้างรอยยิ้มให้กับคนอื่นๆ เราร่วมกันทำแบบนี้กันมาได้ 3 เดือนกว่าๆ แล้ว เป็นหนึ่งในวิธีการที่ผมอยากให้ทุกคนมีความผูกพันกันมากขึ้น และเป็นการสร้างรอยยิ้มในวันเริ่มต้นสัปดาห์ จริงๆ แล้วเราใช้เวลาตรงนี้ค่อนข้างมาก และกิจกรรมสร้างรอยยิ้มแต่ละครั้ง เป็นกิจกรรมที่มีทุกอย่าง ยกเว้น "สาระ" ^^ แต่รู้อะไรมั๊ยครับ เวลาผมเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเค้า ผมกลับรู้สึกว่า ในความไร้สาระที่ได้มาและเวลาที่เสียไป มันคุ้มเกินกว่าคุ้ม ส่วนตัวผมเชื่อว่า การเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยรอยยิ้ม น่าจะเป็น "เสบียงความสุข" ให้น้องๆ ทุกคนผ่านความวุ่นวายของการทำงานไปได้อย่างไม่เคร่งเครียดจนเกินไปนัก บริษัทเล็กๆ ของผม ยังต้องต่อสู้อย่างยากลำบากไปอีกนาน หนทางสู่...

Post#2-32: ขอบคุณตัวเราในอดีต

Post#2-32: ในช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่ง อาจจะมีบ้างบางเวลา ที่สงสัยว่า วันนี้ หรือขณะนี้ สิ่งที่กำลังทำอยู่ ทำไปเพื่ออะไร? เหนื่อยไปทำไม ? และทำไปเพื่อใคร? ต่างคนต่างก็มีเหตุผลต่างกันในการใช้ชีวิต และที่น่าสนใจก็คือ ไม่มีใครบอกได้ว่า การใช้ชีวิตในแบบไหนกันแน่ เป็นการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง? ผมเองก็ชอบตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกแล้วจริงๆ รึเปล่า? และแน่นอนว่า ผมก็ไม่เคยตอบได้...จนกระทั่งผมมาพบคำตอบจากวาทะนี้ครับ... "Do something today that your future self will thank you for." แปลว่า "จะลงมือทำอะไรบางอย่างก็ตามในวันนี้ ก็จงเป็นสิ่งที่ตัวเราในอนาคตจะขอบคุณในสิ่งที่เราเลือกทำ" จริงๆ ผมก็เคยคุยให้ฟังครั้งหนึ่ง ว่าอยากจะรู้ว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า เราจะเป็นยังไง ก็ให้ดูจาก 5-10 ปีที่ผ่านมา (Post#333) ซึ่งเป็นการคุยถึง "ผลลัพธ์" ...แต่วาทะนี้ เป็นตัวบอก "แนวทาง" ...เป็นสิ่งเตือนใจให้เรารู้จักคิดให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะลงมือทำ ...เป็นสิ่งเตือนสติให้มองไปถึงผลลัพธ์ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น และเป็นสิ่ง...

Post#2-31: หลักฐานพิสูจน์ "เพื่อนแท้"

Post#2-31: ในสังคมที่คนส่วนใหญ่สวมหน้ากากเข้าหากันแบบนี้ เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็น "เพื่อนแท้" ของเรา? แม้ผมจะเคยแสดงทัศนะไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว (Post#322) แต่ก็เป็นในด้านของความรู้สึกมากกว่า ส่วนวันนี้เราจะคุยกันถึงหลักฐานที่แสดงว่าเค้าเป็น "เพื่อนแท้" หรือ "เพื่อนที่ดี" ของเรา ลองคิดดูก่อนที่จะอ่านต่อดีมั๊ยครับ ว่าหลักฐานที่ว่า คืออะไร? ให้เวลาคิด 5 นาที พอมั๊ยครับ? ... ฝรั่งให้ความเห็นว่า "True friends say good things behind your back and bad things to you face" แปลว่า "เพื่อนแท้จะพูดถึงเราในแง่ดีตอนลับหลัง และพูดกับเราอย่างตรงไปตรงมา (แม้จะทำให้เราไม่ชอบใจก็ตาม) ต่อหน้าเรา" เพื่อนแท้คือคนที่พูดถึงเราในมุมที่ดี หลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงข้อเสียของเรา (ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนใหญ่ของผู้คนบนโลก ล้วนต้องมี) เวลาใครมาแอบถามว่า เรานิสัยเป็นยังไงบ้าง? เพื่อนแท้คือคนที่หวังดีกับเรา ไม่ปล่อยให้เราหลงไปในทางผิด จึงยอมขัดใจ ต่อให้ต้องพูดแรงๆ ตรงๆ และทำให้เราโกรธ เค้าก็ยอม ... หากใครมีเพื่อนที่พูดไม่ค่อยถูกหูบ้าง ลองมองเค้าในมุมใหม...

Post#2-30: วิชาชีพ vs ธุรกิจ

Post#2-30: เมื่อวานนี้ผมมีเหตุที่จะต้องไปพบคุณหมออีกที ทั้งที่จริงๆ ไม่ได้พิศมัยโรงพยาบาลเลยแม้แต่น้อย เหตุเกิดเพราะไหมที่เย็บแผลผ่าตัดไม่ยอมละลายซะที ทั้งที่คุณหมอบอกว่าใช้ไหมละลายเย็บแผล เวลาเราเอารถไปซ่อม แล้วปรากฎว่า รถยังมีปัญหา เราก็เอารถกลับเข้าอู่ เพื่อไปให้ช่างตรวจดู ถ้าเป็นอาการเสียที่ช่างแก้ไว้ไม่สมบูรณ์ ปกติช่างก็จะขอโทษขอโพย และรีบแก้ไขปัญหาให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่เรื่องรถเสียกลับนำมาเปรียบเทียบไม่ได้กับการไปหาหมอข้างต้น คุณหมอบอกว่า ไหมจะละลายเอง ผลปรากฎว่าไหมไม่ละลาย ผมจึงต้องเสียเวลากลับไปหาหมอ ยกมือไหว้ พร้อมเล่าอาการด้วยอารมณ์ต่อว่ากลายๆ แทนที่จะได้รับคำขอโทษ หมอกลับบอกว่า ผมคงโชคไม่ดีเอง ที่ไหมล๊อตนี้ละลายช้า และลงมือตัดไหมด้วยกรรไกรที่มีทุกอย่างยกเว้นความคม T_T ระหว่างที่ตัดไหมไป หมอก็บ่นกรรไกรไป แต่ผมน่ะเจ็บทุกครั้งที่หมอทำการเลาะไหมออก พอพยาบาลถามว่า จะเปลี่ยนกรรไกรมั๊ย คุณหมอตอบด้วยความห่วงใยผมว่า “ไม่เป็นไร” เพราะ "ใกล้จะเสร็จแล้ว" เข้าใจว่าหมอคงอยากรีบเลิกงาน จบการรักษาด้วยการที่หมอบอกผมว่า เสร็จแล้ว กลับบ้านได้ ผมเดินออกจากห้องหมอไ...

Post#2-29: Logical Thinking

Post#2-29: มีหลายครั้งอยู่เหมือนกัน ที่ผมมึนกับตรรกทางความคิด (Logical Thinking) ของลูกน้อง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมถือว่าคอขาดบาดตายมาก เพราะถ้า Logical Thinking ผิด ทุกอย่างที่ตามมาก็จะผิดทั้งหมด ลองฟังบางตัวอย่างดูมั๊ยครับ... ผมถามหน่วยงาน A ว่า ทำไมไม่ตรวจสอบว่าของที่หน่วยงาน B เบิกไป ถูกต้องจริงหรือไม่ คำตอบคือ คนไม่พอ ไม่มีเวลาตรวจสอบ ก็เลยเลือกที่จะไม่ตรวจ... ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณมีเวลาหรือกำลังคนหรือไม่ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า หน้าที่ของคุณต้องตรวจ ดังนั้น Logical Thinking ที่ผิดก็คือ มันไม่ใช่ "การเลือก" ที่จะทำหรือไม่ แต่มันเป็นสิ่งที่ "ต้อง" ทำ อีกตัวอย่างหนึ่ง... ลูกน้อง A มาต่อว่าผม ว่าผมไม่ควรสั่งให้ลูกน้อง B สำเนาเอกสารเก็บไว้ เพราะ A เห็นว่า B เป็นแค่พนักงาน "ทั่วไป" เธอต่างหากควรต้องเป็นคนทำ เพราะเป็นงานโดยตรงของเธอ... โดยอำนาจและหน้าที่แล้ว เป็นสิทธิ์ของผู้บริหารที่จะมอบหมายงานใดๆ ให้คนที่ผู้บริหารคิดว่าเหมาะสมและไว้วางใจได้ ให้เป็นผู้ที่ทำงานนั้นๆ ดังนั้น Logical Thinking ที่ผิดของ A มีถึง 2 เรื่อง ค...

Post#2-28: ทำงานวันหยุด

Post#2-28: วันนี้เป็นอีกวันที่ผมต้องทำงานวันอาทิตย์ ^^ จริงๆ ก็ต้องบอกว่า ทำงานวันหยุดกับตอนดึกๆ นี่เป็นเรื่องปกติของผมอยู่แล้ว เพียงแต่การนั่งทำงานอยู่กับบ้าน กับการมานั่งเคลียร์งานที่ office นั้น ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมาก แม้ว่าเราจะตั้งใจเพียงใดก็ตาม แต่การทำงานอยู่ที่บ้านจะมีสิ่งดึงให้เราเสียสมาธิได้ง่าย ก็บรรยากาศมันมีความผ่อนคลายในระดับสูงนี่ครับ ต่างกันที่หากต้องตั้งใจออกจากบ้านเพื่อไปนั่งเคลียร์งานที่ office แบบนี้จะทำให้มีสมาธิมากกว่า และในการทำงานวันหยุดแบบนี้ ไม่ค่อยจะมีสิ่งรบกวน และแน่นอนว่า เราอุตส่าห์ออกจากบ้านมาเพื่อมานั่งเคลียร์งานแล้ว ความตั้งใจจะมีความแรงกล้ากว่านั่งทำงานอยู่กับบ้านอย่างมหาศาล นี่ผมพูดถึงกรณีที่เราจำเป็นต้องทำงานวันหยุดหรือทำงานนอกเวลานะครับ ที่ถูกน่ะ วันหยุดเค้ามีไว้พักผ่อน ไม่ใช่มีไว้ให้ทำงาน แต่ถ้าถึงคราวที่ความจำเป็นมาถึง ความรับผิดชอบควรมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น คราวนี้ ถ้าไม่สามารถไปทำงานที่ office ในวันหยุดได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เช่นไม่มีแอร์, ตึกปิด, มันไกล ฯลฯ เราก็สามารถเลือกไปนั่งทำงานที่อื่นได้ ขออย่างเดียวให้ออกจากบ้...

Post#2-27: สุขกันเถอะเรา

Post#2-27: ท่ามกลางความวุ่นวายแห่งวิถีแก่งแย่งของผู้คนในปัจจุบันนี้ เราคงต้องหมั่นทบทวนและควบคุมสติตัวเองบ่อยๆ หลายคนเครียดเรื่องงาน ก็ไปพาลคนใกล้ตัว และผู้คนอีกมากที่แก้ปัญหาส่วนตัวไม่ได้ เลยพาลไปลงกับเพื่อนร่วมงาน ยอมรับอย่างไม่ปิดบังเลยว่า...ผมเองก็เป็นแบบนี้อยู่บ้างครับ เคยคุยให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเราต้องหมั่นคุมสติ ซึ่งทุกคนก็คงทราบดีว่า มันเป็นเรื่องยากเอาการ ที่จะมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา ความโกรธ อาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ยามที่เราขาดสติ แต่หลังจากสติกลับมาแล้วนั้น หากเราคิดได้ว่าเราผิด สำนึกแห่งความรู้ผิดนั้น ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน สำนึกเป็นเรื่องของความคิด แต่การเอ่ยปากขอโทษเป็นเรื่องของการกระทำ เราล่วงรู้ความสำนึกผิดของคนไม่ได้ แต่สัมผัสการขอโทษอย่างจริงใจได้... ... หากเราเป็นฝ่ายถูก...เราเลือกได้ว่าจะแบกความพยาบาท หรือให้อภัย ถ้าตอนที่มีปัญหากับอีกฝ่าย เราเป็นฝ่ายไม่ตอบโต้ ถึงตอนเค้ามาขอโทษอย่างจริงใจ การให้อภัยนั้นก็คงไม่ยาก แต่ถ้าตอนนั้น เราก็ปล่อยศักดาคืนไปด้วย จะบอกว่าเราไม่ผิด ก็พูดยาก เพราะผิดหรือถูก อยู่ที่มองจากมุมไหน มองมุมเรา...

Post#2-26: ไปดูหนังคนเดียว

Post#2-26: ใครเคยไปดูหนังคนเดียวบ้างมั๊ยครับ? ถามต่อไปว่า แล้วไปดูหนังคนเดียวนี่แปลกมั๊ยครับ? ไปทานข้าวกลางวันคนเดียวล่ะครับ แปลกมั๊ย? มีหลายกิจกรรมเหลือเกิน ที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมทำคนเดียว ต้องมีเพื่อนไปด้วย ทั้งที่ตอนดูหนังก็ไม่ได้คุยกัน ไปทานข้าวก็คนละกระเพาะ เรื่องไปทานข้าวคนเดียว ก็อาจจะมีหลายเหตุผล เอาเป็นว่าไม่แปลกเท่าไหร่ เป็นอันข้ามไปนะครับ ^^ แต่ทำไมนะทำไม การไปดูหนังคนเดียว ถึงเป็นประเด็น? ว่าแล้วผมก็ลองซนไปถามอากู๋ (google) แล้วก็พบว่าคนสงสัยเรื่องการไปดูหนังคนเดียวกันเยอะมาก คนที่ไปดูหนังคนเดียว ก็จะบอกว่า ไม่เห็นแปลกเลย ส่วนคนที่บอกว่าแปลก ก็บอกเหตุผลชัดๆ ไม่ได้ว่าทำไมถึงแปลก รู้แต่ว่าคนส่วนใหญ่เค้าไม่ทำกัน ลองคิดตามผมเล่นๆ สนุกๆ นะครับ ว่าทำไมคนจึงไม่นิยมไปดูหนังคนเดียว...ให้เวลาคิดขำๆ 3 นาทีครับ ... ไม่รู้สิครับ แต่สำหรับผม ผมคิดว่า จริงอยู่ที่เวลาไปดูหนัง ก็ต่างคนต่างดู ไม่ได้ใช้ตาร่วมกันซะหน่อย แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ระหว่างดูหนังนะสิครับ...ประเด็นมันอยู่ที่ช่วงเวลาก่อนดูหนัง และหลังดูหนัง ต่างหาก ระหว่างรอรอบหนัง จ...

Post#2-25: ทึกทักเอาเอง

Post#2-25: ทึกทักเอาเอง บ่ายนี้ ผมนั่งคุยพักสมองเล็กน้อยกับหุ้นส่วนชาวต่างชาติ ถึงเรื่องที่บางครั้งเกิดจากการทึกทักไปเอง หรือสมัยนี้เรียก "มโน" นั่นแหละครับ ( ฝรั่งเรียกว่า "take for granted") เรื่องมีอยู่ว่า เค้าไปงานเลี้ยงหนึ่ง ให้บังเอิญเป็นงานเลี้ยงที่เป็นกันเองมากๆ ก็ดื่มเหล้าดื่มไวน์กันเป็นที่สนุกสนาน แน่นอนว่า ระดับความซนก็เพิ่มขึ้นตามปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย เค้าก็เลยเล่นแผลงๆ ด้วยการเขียนข้อความขำๆ กระเซ้าเย้าแหย่กัน ด้วยการส่งข้อความไปยังเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่คนละมุมของโต๊ะ ก็ขำกันยกใหญ่ล่ะครับ เพราะคนที่รับข้อความก็แอบอ่านระหว่างส่งต่อ อำกันไปอำกันมา ไม่ได้มีสาระอะไร คราวนี้มาถึงกระดาษเจ้ากรรมที่ส่งเป็นแผ่นสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน แล้วก็เป็นข้อความที่ฮาสุด เพราะดันไปเขียนว่า "I want you." แปลแบบฮาๆ ก็อารมณ์ประมาณ "ชั้นต้องการเธอ" ก็หัวเราะเฮฮากันยกใหญ่ คนได้รับข้อความก็เอากระดาษข้อความที่ว่าใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่น่าจะรู้ตัว จากนั้นก็ต่างคนต่างกลับบ้าน เดาออกแล้วใช่มั๊ยครับ...ว่าความซวยมาเยือนยังไง? ...

Post#2-24: ใช้ชีวิตให้มีความสุข

Post#2-24: ยิ่งแก่ตัวผมยิ่งมั่นใจว่า เกิดเป็นมนุษย์นี่มันช่างยุ่งวุ่นวายดีจริงๆ เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ อยากได้ อยากมี อยากเป็น หรือไม่ก็ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น...ชีวิตมันก็วนเวียนอยู่แบบนี้ บ่อยครั้งเราใช้ชีวิตแบบอิจฉาคนอื่น คอยเปรียบเทียบกับคนอื่นไปเรื่อย ชีวิตก็เลยไม่มีความสุข แม้เมื่อหยุดแข่งกับคนอื่น ก็ยังไม่วายแข่งกับตัวเอง บางครั้งเราก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ลืมคิดถึงคนอื่น และบ่อยครั้งเราก็มัวแต่อยากจะเอาใจคนอื่น อยากให้คนอื่นมีความสุข แต่ลืมคิดถึงตัวเอง ยุ่งอย่างที่ผมว่ามั๊ยล่ะครับ เกิดเป็นมนุษย์เนี่ย? ยิ่งแก่ตัวมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ครับ "ถ้าอยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น ก็จงอย่าใช้ชีวิตส่วนใหญ่เพื่อยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นๆ มีความสุข แต่จงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ ด้วยการมองข้ามเรื่องที่คนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ไปซะ" ไม่ทราบจริงๆ ว่าใครกล่าวไว้ รู้อย่างเดียวว่าจริงที่สุด (สำหรับผม) มาลองพยายามไปพร้อมๆ กันนะครับ ^^