Post#5-292:
ทุกๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันดีนะครับ กับคำว่า “Demand” และ “Supply”
แต่ยังไงก็ขออนุญาตแปลเป็นไทย และขยายความสักเล็กน้อย...สำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนมาทางสาย Economic
อันว่า Demand ก็คือ “ความต้องการซื้อ” และมีศัพท์บัญญัติอันไพเราะว่า “อุปสงค์”
ส่วน Supply ก็คือ “ความต้องการขาย” ซึ่งก็มีศัพท์บัญญัติเช่นกันว่า “อุปทาน”
เมื่ออุปสงค์กับอุปทานมาเจอกัน ก็เกิดการซื้อขาย...ประมาณนี้นะครับ
...
สินค้าที่มีราคาแพงนั้น สาเหตุหนึ่งเกิดจาก อุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน...แปลงไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ ความอยากซื้อมีมากกว่าความอยากขาย นั่นเอง
แปลว่า ถ้าเราหาสินค้าที่คนต้องการมากๆ แต่มีจำนวนค่อนข้างจำกัดได้...เราก็ขายสินค้าราคาแพงขึ้นได้
หรือถ้าเราสร้างคุณค่าในตัวสินค้าของเราให้แตกต่างจากคนอื่นๆ ได้...เราก็ไม่จำเป็นต้องขายถูกกว่าคนอื่น
เช่น เพชร, ทอง นั่นไงครับ...ที่ราคาสูง ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็เป็นแค่ก้อนแร่ แต่มีจำนวนน้อย และถูกนำมาเจียไนเพิ่มคุณค่า
หรืออย่างเช่นสินค้า Brand Name ที่มีการตลาดดีเลิศ...จนพวกเราหลงไหลได้ปลื้ม จนต้องขวนขวายมาครอบครอง
...
ตัวเราเองล่ะครับ?
คิดว่ามีอุปสงค์ในตัวเรามากหรือน้อย?
เอาง่ายๆ ว่าเราเป็นที่ต้องการของ “ตลาดจ้างงาน” แค่ไหน?
นี่เอง คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องหนีให้ห่างจาก Comfort Zone...ด้วยการเสริม Competency ให้กับตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าเรามี Competency สูง...ถ้าเปรียบตัวเราเป็นสินค้า ก็ย่อมหมายความว่า เราเป็นสินค้า Brand Name ที่ทุกคนหมายปอง
ที่สำคัญ...ต้องอย่าลืมวิธีการนำเสนอตัวเองให้เหมาะกับ Competency และ Personal Image ของตัวเองด้วย
ซึ่งเอาจริงๆ...เราเลือกได้ครับ
...ว่าจะ position ตัวเองเป็นสินค้า Brand Name หรือสินค้าในตลาดนัด...
#NoteToSelf:
- ถ้าเป็นสินค้าที่มีจำกัด เราเป็นคนตั้งราคา และเลือกคนที่จะมาซื้อ...ถ้าเป็นสินค้าโหลๆ เราต้องสู้ด้วยการหั่นราคา และวิงวอนให้คนมาซื้อ #เลือกเอาเองว่าอยากเป็นแบบไหน?
- จงจำไว้ว่า “ผู้แพ้” รอคนมาเห็นคุณค่า...ส่วน “ผู้ชนะ” สร้างคุณค่าโดยไม่เคยรอ
- ยังไงก็ตาม หากเรามี “ดี”...ก็ต้องรู้วิธีในการนำเสนอ / ระวังอย่าให้กลายเป็นแค่การ “อวดดี”
Comments
Post a Comment