Skip to main content

Posts

Showing posts from April, 2016

Post#2-236: สติ๊กเกอร์ท้ายรถสิบล้อ

Post#2-236: ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกของประเทศไทย ที่คิดและติดสติ๊กเกอร์คำขวัญท้ายรถสิบล้อ... จะว่าไปผมก็เดินทางมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 ประเทศ ทั้งทวีปอเมริกา, ยุโรป และเอเซีย...แต่ก็ไม่เคยเห็นสิบล้อที่ไหน ติดคำขวัญท้ายรถ เหมือนกับประเทศเรา ถ้างั้นก็กล้อมแกล้มไปว่า...นี่ถือเป็นหนึ่งใน Thailand Only ก็แล้วกันนะครับ ^^ ... ตั้งแต่จำความได้ ผมก็เห็นเจ้าคำขวัญที่ว่านี้ มาโดยตลอด...ซึ่งบางคำขวัญ ผมอ่านแล้วก็ถึงกับปล่อยออกมาเสียเต็มฮา และบางคำขวัญ ผมได้แต่ซูฮก ว่าคิดออกมาได้ยังไง? ส่วนตัวผมเชื่อว่า...คนที่คิดคำขวัญโดนๆ อะไรทำนองนี้ได้ ต้องใกล้เคียงกับพวก "อัจฉริยะ" เพราะทั้งการเลือกคำกับความหมายนั้น มัน "โดน" เสียจริงๆ ...แต่ก็ยังไม่วายสงสัยอยู่ดีครับ ว่าใครกันนะที่เป็นคนแรกที่คิดและติดสติ๊กเกอร์นี้ แล้วทำไมต้องเป็นสิบล้อ? ... จากความสงสัยนั้น ก็ทำให้ผมถึงกับทำ research เป็นการด่วน...แต่เชื่อมั๊ยครับ ว่าแม้ผมจะ Google แล้ว แต่ก็ไม่ได้ความกระจ่างเพิ่มเติมแต่อย่างใด...สงสัยต้องวาน Guru ตัวจริง มาช่วยตอบเสียแล้วล่ะครับ? ใครอารมณ์เสียบนท้องถนน...ผมขอแนะนำให้มองหาสต...

Post#3-235: ยอมถอย...ไม่ใช่ยอมแพ้

Post#3-235: หนึ่งในปัญหาระหว่างหน่วยงานก็ดี หรือปัญหาระหว่างการทำงานข้ามองค์กรก็ดี...ย่อมหนีไม่พ้น "ความเห็นต่าง" หน่วยงาน A อยากจะทำแบบนี้ แต่หน่วยงาน B ไม่เห็นด้วย...หรือไม่ก็ลูกค้าจะเอาแบบนี้ แต่เราเห็นว่าแนวทางของลูกค้านั้นอาจยังไม่ถูกต้อง เมื่อปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้น...ผมไม่แน่ใจว่าคนที่กำกับดูแลงาน หรือคนที่ประสานงานกับลูกค้า...มีกี่คนกันนะ...ที่พยายามที่จะคลี่คลายความเห็นต่างที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะนำเรื่องมาถึงผู้มีอำนาจระดับสูงขึ้นไป? ... จากประสบการณ์ที่ผมพบเจอมา...โดยมากแล้ว เมื่อเกิดความเห็นต่างขึ้น พนักงานระดับปฏิบัติการ มักจะไม่ค่อยหาทางออกร่วมกัน ...แต่มักจะเอาชนะคะคานกันด้วยเหตุผลของตัวเอง เรียกว่า ต่างฝ่ายต่างอยากทำงานง่าย ไม่ได้คำนึงถึงภาพรวมขององค์กร หรือประโยชน์ร่วมของแต่ละองค์กร เท่าใดนัก นี่เป็นคำอธิบายว่า ทำไมระดับผู้บริหารคุยกันแล้ว ดูเหมือนง่ายและงานน่าจะดำเนินไปได้ด้วยดี... แต่แท้ที่จริงแล้ว เป้าประสงค์ของความร่วมมือของระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จของงาน ... ใครเจอสถานการณ์แบบนี้...ผมแนะนำให้ลอ...

Post#3-234: ต้นอ่อนที่เติบใหญ่

Post#3-234: เช้าวันนี้ ผมมีโอกาสได้ประชุมกับ Digital Agency รายหนึ่ง เกี่ยวกับแผนงานของสินค้าหนึ่งที่บริษัทฯ ของ Partner ชาวต่างชาติและผม กำลังจะวางตลาด ที่พิเศษสำหรับผม ก็คือ Digital Agency รายที่ว่า เป็นอดีตลูกน้องของผมเอง เมื่อ 3-4 ปีก่อน (สมมติว่า ชื่อ "M" นะครับ) ที่ผ่านมา ผมก็เจอกับ M อยู่บ้าง...แต่ส่วนมากก็เป็นแค่การมาทานข้าว และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องทั่วๆ ไป พึ่งจะมีวันนี้ ที่คุยกันในสถานะที่ต่างกันออกไป...คือคุยกันแบบเป็นงานเป็นการ คุยในฐานะ Agency กับ Client ... ตลอดเวลาที่ M นำเสนอแนวคิดและแผนงาน ผมฟังอย่างตั้งใจ...ฟังในฐานะ Client ไม่ใช่ในฐานะอดีตเจ้านาย ยิ่งฟัง M นำเสนอ...ผมก็ยิ่งมีความสุข...ความสุขนั้น เกิดจากการที่ผมสัมผัสได้ว่า M เติบโตขึ้นมาก...ไม่ว่าจะทั้งด้านวิธีคิดและความมั่นใจ M ที่เมื่อก่อนจะเป็นแค่ต้นอ่อนในสายตาของผม...มาบัดนี้ ฉายแววว่าจะเติบใหญ่กลายเป็นไม้งามได้แล้ว... ... แน่นอนว่า M ไม่ได้กลายเป็นไม้งามจากการเพาะบ่มของผม เพราะเราไม่ได้ทำงานร่วมกันมานานแล้ว...แต่ผมก็อดดีใจและภูมิใจไม่ได้ เมื่อเห็นพัฒนาการของเค้า หลังจาก...

Post#3-233: ยามยากแบบนี้...มีแต่ต้องช่วยกัน

Post#3-233: ช่วงยากลำบากในการทำธุรกิจแบบนี้...ผมไม่มีคำพูดใดจะบอกได้มากไปกว่า...ต้องอดทนและสู้ความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขายหรือเรื่องกระแสเงินสด...ดูเหมือนว่าจะมีความหนืดและตึงตัวมากขึ้น หลายๆ คนและหลายๆ องค์กร ต่างก็เจอสภาพการณ์คล้ายๆ กัน ก็คือรายจ่ายนั้นรออยู่แน่นอน...แต่รายรับเป็นเรื่องไม่แน่นอน ... สถานการณ์ไม่โสภาแบบนี้...บอกได้เลยว่า ใครเป็นนายจ้างก็หนักหนาสาหัสหน่อย ส่วนใครเป็นลูกจ้างก็ไม่สาหัสเท่า และด้วยสภาพการค้าที่ฝืดเคืองแบบนี้...ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย...ต่างก็ไม่มีใครสบายไปกว่ากันมากนัก ในฐานะที่เป็นทั้งนายจ้างและลูกจ้างในเวลาเดียวกัน...ผมอยากบอกว่า เป็นเวลาที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต้องคุยกันมากๆ และต้องช่วยกันจริงๆ แบบไม่เกี่ยงงอน ... คนเป็นลูกจ้าง ก็ต้องช่วยนายจ้างประหยัดสุดฤทธิ์...อะไรไม่ก่อให้เกิดยอดขาย อย่าพึ่งทำเป็นดีที่สุด และอะไรช่วยให้ประหยัดได้ ก็อย่าดูดาย คนเป็นนายจ้าง ก็ต้องพยายามทุกทางให้ธุรกิจอยู่รอด...อย่าพึ่งเริ่มเปิดแนวรบใหม่ และต้องประคองให้ลูกจ้างอยู่รอด คนเป็นผู้ซื้อ...ก็อย่าฉวยโอกาสกดดันให้คนขายอยู่ไม่ได้...ไม่ใช่ได้โอกาสก็ซ้ำให้ผ...

Post#3-232: ต้นไม้น่าจะผลิต wi-fi?

Post#3-232: คงปฏิเสธไม่ได้กระมังครับ ว่าปัจจุบัน Internet น่าจะใกล้เคียงกับการเป็นปัจจัยที่ 5 ของใครหลายๆ คนไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร, ล้วนแล้วแต่จะมีการบริโภค Data มาเกี่ยวพันไปเสียทุกเรื่อง ใช้ Data มาก ก็เสียเงินมาก, ดังนั้น คนจึงชอบใช้ Wi-fi เพราะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้ดี ดังนั้น...จึงกลายเป็นเรื่องปกติ ที่เมื่อไปตามร้านอาหาร, ก่อนเปิด Menu เราจะถามหา Wi-fi Password เป็นอันดับแรก ... ระหว่างรออาหาร, ถ้าไม่คุยกัน เราก็จะฆ่าเวลาด้วยการ แชะ & แชร์...กระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ เราก็ยังต้องถ่ายรูปเพื่อโพสท์ ไม่งั้นก็ห้ามกิน หากผมเรียกอาการเหล่านี้ว่า "อาการเสพติด Wi-fi" ก็ไม่น่าจะเกินเลยไปนัก อันว่าอาการแบบนี้ จึงทำให้เราพบเห็น "สังคม" ก้มหน้ามากขึ้นและมากขึ้น เราคุยกับเพื่อนด้วยการ Chat มากกว่าการโทรฯ, เราบอกรักกันผ่าน Social Network แทนการบอกรักกันต่อหน้า เราบริโภค Data หรือที่เรียกว่า Non-voice Service มากกว่า Voice Service ... ไม่รู้ใครเป็นคนคิดวาทะต่อไปนี้, แต่อ่านแล้วเจ็บๆ คันๆ ดีครับ...อ่านแล้วไม่รู้ว่า จะทำให้บางคนหันกลับมาคิดได้มากขึ้นมั...

Post#3-231: ทฤษฎีของ Darwin

Post#3-231: ผมเชื่อว่า ไม่มีใครไม่รู้จัก Charls Darwin ผู้ซึ่งนำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต อันเป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง สิ่งที่ Darwin นำเสนอ ถือเป็นองค์ความรู้ที่มีค่ายิ่ง...และยิ่งทวีคุณค่ามากขึ้น หากเรานำมาคิดตามและต่อยอด ลองคิดตามดูครับ...แก่น "ทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต" อันลือลั่นของ Darwin...สอนอะไรเราบ้าง? ... Darwin สอนเราไว้ดังนี้ครับ... "It is not the strongest of the species that survives, nor the most intelligent that survives. It is the one that is most adaptable to change." แปลว่า "หาใช่เผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุด หรือเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาที่สุด ที่สามารถอยู่รอดมาได้ หากแต่คือเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงต่างหาก ที่อยู่รอด" ... หากเราใช้เพียงจุดเด่นด้านแรงกาย...เราอาจไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ หากเรามีเพียงจุดเด่นด้านความคิด...แม้จะดีกว่าการใช้แรงกาย...เราก็อาจจะยังไม่มีความโดดเด่นพอ เราจึงต้องผนวกแรงกายและความคิดเข้าด้วยกัน...และเลือกใช้แรงกายหรือความคิดให้เหมาะกับสภาพการณ์แวดล้อม...

Post#3-230: Work Hard vs Work Smart

Post#3-230: ต้องบอกว่า ประเด็นหนึ่งที่ผมมักจะถกกับผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือลูกน้อง ย่อมมีประเด็นของ Work Hard vs Work Smart อยู่ไม่เคยขาด สำหรับผมแล้ว แท้จริงทั้ง 2 วิธีของการทำงาน เป็นเรื่องเดียวกัน...สุดแต่ใครจะหาส่วนผสมให้ลงตัวอย่างไร ผมเชื่อว่า...มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเลือกสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง...และว่ากันตามความเห็นของผมแล้ว การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง มักทำให้ได้ประสิทธิผลของงานไม่เต็มที่ ... ใครที่ชอบทำงานแบบลุยแหลก แบบเดินหน้าท้าชน ก็จะเป็นประเภท Work Hard ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเน้นและไม่ถนัดกับการวางแผน ส่วนใครที่ชอบวางแผนก่อน ก็จะอารมณ์ประมาณ เป็นนักกลยุทธ์ ที่ชอบออกแบบแนวทางการทำงานก่อน เรียกว่า เป็นพวก Work Smart สังเกตุอะไรมั๊ยครับ...ว่าถ้ามัวแต่จะ Work Hard อย่างเดียว ผลลัพธ์อาจกลายเป็นได้ไม่คุ้มเหนื่อย ในขณะเดียวกัน...มัวแต่วางแผนอยู่นั่น พูดแต่ไม่ทำ งานจึงไม่เกิด...แล้วจะมาบอกว่า ตัวเป็นพวก Work Smart ก็ไร้ยางอายไปหน่อย ... ที่ถูกและควร จึงต้องเป็นผู้รู้จักผสมผสานทั้ง Work Hard และ Work Smart เข้าด้วยกัน... วางแผนแล้วลงมือ...ลงมือแล้ววิเคราะห...

Post#3-229: ภาพเบื้องหลังของ "ร้านอาหาร"

Post#3-229: ช่วงนี้ ผมวุ่นๆ วายๆ อยู่กับการทำร้านอาหารสุขภาพ ร่วมกับน้องสาวคนเล็ก (Post#3-216) เป็นประสบการณ์ที่ถือว่ามีค่ายิ่งสำหรับผม เพราะถือเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน...แม้จะเคยไปช่วยน้องสาวอีกคน วางระบบปรับปรุงร้าน ที่ Houston มาแล้วก็ตาม...แต่ครั้งนี้ ผมต้องเริ่มทุกอย่างใหม่หมด คือเริ่มจาก "ศูนย์" นั่นเลย ยิ่งเปิดร้านอาหารใน Department Store ด้วยแล้ว...ยิ่งทวีความยุ่งยากและมีขั้นตอนมากขึ้นอีกเป็น 2-3 เท่า ... การทำร้านอาหารนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนกับการดูแลลูก...เพราะต้องใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน โดยเฉพาะน้องสาวของผม ซึ่งรับหน้าที่เป็นทั้งผู้จัดการร้าน และ Chef ด้วยตัวเอง ยิ่งมีภาระหนักหนาอย่างยิ่ง ในแต่ละวัน กว่าจะออกจากร้านได้...อย่างเร็วก็ไม่ต่ำกว่า 4 ทุ่มครึ่ง กว่าจะถึงบ้านก็ดึกดื่น และต้องตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่ง เพื่อไปจ่ายของ และทำอาหารเตรียมขาย มาถึงร้านก็ทั้งต้อนรับลูกค้า, เป็น Cashier, เสิร์ฟอาหาร และแน่นอนว่า งานหลักก็คือ ต้องทำอาหาร ที่ต้องยกนิ้วให้ก็คือ...มันเป็นงาน Routine ที่ไม่มีวันหยุด ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ วันละไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง ...

Post#3-228: The day the Limo breaks down

Post#3-228: เราคงรู้กันดีอยู่ว่า "เพื่อนกินนั้นหาง่าย ส่วนเพื่อนตายนั้นหายาก" โดยเฉพาะยามที่เรามั่งมีและมั่งคั่ง...มองไปทางไหนก็จะเห็นผู้คนมากหน้าหลายตามารุมล้อม แต่ในยามที่เรามีชีวิตที่ยากแค้นและผจญกับวิบากกรรมทั้งหลาย...มองไปรอบๆ ก็มักจะพบกับความว่างเปล่า คนที่มีเพื่อนแท้ที่ไม่ทิ้งกันยามยาก...จึงนับว่า เป็นคนที่โชคดีไม่น้อย ... ดังนั้น ใครที่กำลังเจออุปสรรคต่างๆ ที่ถาโถมเข้าใส่อยู่ในขณะนี้...ก็ถือเสียว่า เป็นโอกาสได้ทดสอบ "ใจคน" ก็แล้วกันครับ แต่ก็อยากให้มองเพื่อนเราอย่างยุติธรรมด้วยเช่นกันครับ...ว่าเค้าอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือเราได้รึเปล่า? ถ้าเค้าไม่อยู่ในสภาพที่จะช่วยใครได้...จะไปโทษว่าเค้า "แล้งน้ำใจ" ก็ระวังจะเข้าตัว...เพราะในยามที่เราเดือดร้อน เรามักจะมองปัญหาของเราเอง ใหญ่กว่าของคนอื่นเสมอ ... ใครที่มีเพื่อนดีๆ ก็จงรักษามิตรภาพที่ดีนั้นไว้ให้นานๆ นะครับ และขอให้เจอเพื่อนแบบที่ Oprah Winfrey ให้นิยามไว้... "Lots of people want to ride with you on the limo, but what you want is someone who will ride the bus with you when th...

Post#3-227: Judge you by the past...

Post#3-227: หนึ่งในเหตุผลที่เรามักจะใช้บอกฝ่ายที่เสียประโยชน์จากความผิดพลาดของเรา มักจะมีคำว่า "ไม่ได้ตั้งใจ" หรือ "ไม่ได้เจตนา" อยู่ด้วย ถ้าเป็นความจริง ตัวเราก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย...เพราะไม่ได้ตั้งใจให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นสักหน่อย น่าเสียดายที่ "ความตั้งใจ" หรือ "เจตนา" นั้น เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้...ดังนั้น เราจึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ ... เมื่อทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ และเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหาย...เราควรสำนึกผิด, ขอโทษ และแก้ไขหรือชดเชยความผิดพลาดนั้นๆ ส่วนมากผู้คนที่ผิดพลาดจะสำนึกผิด, ขอโทษ แต่ไม่ค่อยจะแก้ไขหรือชดเชย...อาจจะคิดว่า ขอโทษแล้วก็แล้วกัน ถ้าเราทำทุกอย่างครบถ้วน...ที่เหลือก็ต้องแล้วแต่อีกฝ่ายแล้วล่ะครับ ว่าจะถือโทษกับเราต่อไปหรือไม่ ... คราวนี้ ก็อาจจะมี "คนนอก" ที่อาจจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ที่อาจจะตัดสินเราจากคำบอกเล่าจากตัวคนที่เสียประโยชน์จากเรา หรือจากสื่อต่างๆ ที่อาจจะส่งสารไม่ครบถ้วน ทำให้บางครั้งกลายเป็น "ตราบาป" ติดตัวเรา...โดยที่เราไม่มีโอกาสอธิบายใดๆ และถึงแม้จะอธิบาย ก...

Post#3-226: How far you have come? vs How far you can go?

Post#3-226: สำหรับใครที่ทำงานในสายงานเดิมมายาวนาน...ย่อมมีบ้างบางครั้งที่รู้สึกท้อแท้เหนื่อยหน่าย และตั้งตำถามกับตัวเอง ผมอยากจะบอกว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาครับ...ยิ่งถ้าตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมา คุณไม่ค่อยได้เปลี่ยนสายงานเลย ก็อาจจะมีความรู้สึกนี้ มากกว่าปกติ เปล่าครับ...ผมไม่ได้ชวนให้คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนสายงาน เพราะถ้าคุณอยู่กับสายงานนั้นๆ มาได้ยาวนานแบบนี้ ก็แปลว่าคุณคงต้องรักสายงานนั้น หรืออาชีพนั้น อยู่บ้าง...ไม่มากก็น้อย ... การเปลี่ยนงานนั้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติสำหรับใครคนหนึ่ง แต่การเปลี่ยนสายงานนี่ ถือเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเอาการอยู่เหมือนกันครับ ถามว่า ทำไม? ก็เพราะถ้าแค่เป็นการเปลี่ยนงาน เรายังมีประสบการณ์จากที่เดิมเป็นฐานให้เราใช้ต่อยอด...แต่การเปลี่ยนสายงานนี่ เกือบจะกลายเป็นการนับหนึ่งใหม่เลยก็ว่าได้ เว้นแต่เป็นการเปลี่ยนสายงานจากงานที่พัฒนามาจากงานอดิเรกหรืองานเสริมที่เคยทำมาบ้างแล้วนะครับ...ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ถือว่ามีฐานไว้ให้ต่อยอดพอควร ... แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ที่ใครสักคนจะต้องคิดเปลี่ยนสายงานที่ทำมายาวนาน? คำตอบเกิดได้จากหลายปัจจัยครับ...อาจเก...

Post#3-225: Your future...

Post#3-225: ผมเชื่อว่า สมัยเรายังเป็นเด็กน้อย เราก็มักจะถูกทั้งพ่อ, แม่ และคุณครู ทั้งผลัก, ทั้งดัน และทั้งเคี่ยวเข็ญ ให้เราเป็นเด็กขยัน เรียกว่า ท่านต่างสอนให้เราอย่าเป็นคนทำอะไรแบบ "ผัดวันประกันพรุ่ง" นั่นแหละครับ ปิดเทอม ถ้ามีการบ้าน ก็รีบทำให้เสร็จเสียแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่รอจนวันสุดท้าย แล้วก็มาร้องไห้ฟูมฟายให้พ่อกับแม่ช่วย หรือรีบไปโรงเรียนแต่เช้า เพื่อรีบไปลอกการบ้านให้เสร็จ แต่เชื่อเถอะครับ ว่าใครที่มีพฤฒิกรรมแบบนี้ตอนยังเด็ก โตขึ้นก็แก้นิสัยแบบนี้ได้ยาก...กลายเป็นพวกทำอะไรตาม Dead Line หรือเรียกว่า ถ้าไม่ถึงเส้นตาย ไฟที่จะทำงานมักจะไม่เกิด...ว่าอย่างนั้น ... เอาเถอะครับ, ถ้าเชื่อว่า การทำงานด้วยเส้นตาย จะทำให้ได้งานที่ดี ผมก็คงห้ามไม่ได้ ถ้าเชื่อว่า การตุนงานไว้เยอะๆ เพื่อให้ได้ OT เป็นวิถีที่ถูกต้อง ก็แล้วแต่ ผมบอกได้อย่างเดียวว่า...ถ้าคิดจะมีอนาคตที่ดี ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอ, รอ และรอ จะเป็นเจ้าของกิจการได้ ต้องคิดว่าเดี๋ยวนี้, ไม่ใช่เดี๋ยวก่อน, เดี๋ยวก่อน และเดี๋ยวก่อน ... สำหรับคนที่ชอบ "เดี๋ยวก่อน" อยู่เรื่อยน่ะ...ผมฝากทิ้...

Post#3-224: The Last for the First?

Post#3-224: เคยถามตัวเองด้วยประโยคนี้บ้างมั๊ยครับ? "When was the last time you did something for the first time?" แปลได้ว่า "จำได้มั๊ย ว่าครั้งสุดท้ายที่คุณทำบางสิ่งเป็นครั้งแรกน่ะ คือเมื่อไหร่?" ทันทีที่อ่านจบ...ผมบอกได้เลยว่า นี่เป็นอีกหนึ่งประโยคที่กระตุ้นให้เราตั้งคำถามให้กับตัวเราเองได้เป็นอย่างดี นั่นสิ...ครั้งสุดท้ายที่ทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำน่ะ มันเมื่อไหร่กันนะ? งั้นลองถามตัวเองดูครับ...ผมให้เวลา 1 นาที ... แม้จะไม่ใช่กฎตายตัว...แต่ถ้าคุณใช้เวลาเกินกว่า 1 นาที นั่นก็น่าจะแปลว่า ครั้งล่าสุดที่คุณทำอะไรใหม่ๆ น่ะ...มันคงจะนานมากแล้วแน่ๆ ถูกล่ะครับ...มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดคอขาดบาดตาย แต่ถ้าคุณยังปล่อยให้ชีวิตคุณอยู่กับอะไรเดิมๆ ไปเรื่อยๆ แล้ว... ก็แปลว่า คุณกำลังถูก "หลุมดำแห่งความคุ้นชิน" (ผมตั้งเองนะครับ - Comfort Zone Blackhole "CZB") ดึงเข้าหามันทีละนิดๆ ระวังนะครับ...เผลอแว่บเดียว คุณจะข้ามผ่าน "ขอบฟ้าเหตุการณ์" (หรือ Event Horizon - ตามทฤษฎีหลุมดำ ของจริง) ของ CZB จนในที่สุดคุณก็จะหลุดออกมาจากหลุมดำ...

Post#3-223: ผู้มี "กตัญญุตา" เป็นอาภรณ์

Post#3-223: วันนี้ถือเป็นอีกวันที่น่าจดจำ...เพราะผมได้ปิดท้ายช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ด้วยความซาบซึ้งใจ เหตุเพราะอดีตลูกน้องที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา...แอบ surprise ด้วยการมารดน้ำดำหัวผม แถมด้วยการเตรียมอุปกรณ์มาพร้อม เป็นความเต็มตื้นที่ลูกน้องยังให้ความเคารพ...แต่ที่ผมยินดียิ่งกว่า คือการที่ได้เห็นพวกเค้าเป็นผู้มีกตัญญุตาที่น่าชื่นชม ... ว่ากันตามจริง ผมเป็นคนไม่ชอบงานพิธีรีตองอะไรแบบนี้...ค่าที่ผมทำตัวไม่ถูกเอาจริงๆ...ไม่รู้จะเอามือไม้แขนเขินไปวางไว้ไหน ^^ นึกๆ ไปแล้ว ก็น่าจะมีใครเปิดคอร์สฝึกอบรมผู้ใหญ่หรือผู้บริหารทั้งหลาย ให้รู้วิธีการวางตัวเกี่ยวกับประเพณีหรืองานพิธีต่างๆ ใครสอบผ่านก็ให้ Certificate ของผู้ถึงพร้อมด้วยเรื่องประเพณี ไปเสียเลย... ได้ประโยชน์ทั้งเรื่องการสืบสานวัฒนธรรม, จริยวัตร และประเพณีที่งดงามของชาวไทย อีกทั้งได้ช่วยให้วางตัวได้อย่างไม่เคอะเขิน ... กลับมาถึงเรื่องการรดน้ำดำหัว...ซึ่งผมมีความรู้เกี่ยวกับพิธีที่ว่า...เป็น "ศูนย์" ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ตอนที่ลูกน้องรดน้ำให้น่ะ เราต้องให้พรด้วยมั๊ย?...แต่ผมก็ให้พรไป... เท่าที่ระลึ...

Post#3-222: People find it so hard to be happy...

Post#3-222: มีใครเคยว่าไว้ว่า "คนที่ชอบคุยเรื่องอดีต มักเป็นคนสูงอายุแล้ว" (หรือ "คนแก่" นั่นแหละครับ) ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า คำกล่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือผมก็คุยถึงเรื่องเก่าๆ บ่อยอยู่เหมือนกัน เท่าที่ผมสังเกต...ผู้อาวุโสมักจะเล่าเรื่องอดีตด้วยความสุข เล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ว่าท่านผ่านมันมาได้อย่างไร ส่วนถ้าเป็นเด็กๆ กลับมักจะเล่าเรื่องอดีตที่สั้นมากๆ และออกไปในแนวโหยหาอยากกลับไปเป็น, กลับไปทำ หรือกลับไปอยู่ ... คนสูงวัยมักไม่ค่อยคุยเรื่องอนาคต ด้วยเหตุผลทึ่ท่านชอบบอกว่า ท่านเป็นไม้ใกล้ฝั่ง...ในขณะที่ฝั่งเด็กๆ ก็แบ่งเป็น 2 พวก พวกแรก...อยู่ไปวันๆ คิดเฉพาะความสุขวันนี้ วันหน้าจะยังไงค่อยไปว่ากันทีหลัง อีกพวก...วางแผนอนาคตไว้เยอะแยะมากมาย (แต่จะทำหรือไม่ทำนั้น ไว้เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ) ... ที่เป็นแบบนี้ อาจเป็นไปด้วยเหตุผลที่ Marcel Pagnol นักเขียนชาวฝรั่งเศสว่าไว้... "The reason people find it so hard to be happy is that they always see the past better than it was, the present worse than it is, and the future less resolved th...

Post#3-221: คุณค่าแห่งบทร้อยกรอง...วิถีแห่งไทย

Post#3-221: ผมชอบแต่งร้อยกรอง...แม้ว่าจะมีฝีมือในเชิงกวีอยู่ในชั้นปลายแถว ทุกครั้งที่อ่านหรือแต่งบทร้อยกรอง...ผมจะมีความรู้สึกว่า คลังสมองถูกเปิดออก และความรู้ด้านรจนาภาษาของผมจะถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่ และไม่ว่าเราจะอ่านหรือแต่งบทร้อยกรองก็ตามแต่...เราล้วนต้องอาศัย "อารมณ์กวี" เข้ามาสถิตในเรือนใจ ... เวลาเราอ่านบทร้อยกรอง นอกจากเราจะกำซาบกับคำที่ผู้ประพันธ์เลือกนำมาประดิษฐ์ให้เกิดเสนาะกับอารมณ์แล้ว... เรายังจำเป็นต้องวิเคราะห์ตามอีกด้วย ว่าเนื้อหาในบทร้อยกรองนั้น กำลังบอกอะไรกับเรา เมื่อเกิดการวิเคราะห์ จึงเกิดการตีความ...และเมื่อเกิดการตีความ จึงเกิดความเข้าใจ เมื่อเกิดความเข้าใจในอารมณ์และเนื้อหาไปพร้อมๆ กันเมื่อใด...เมื่อนั้นความกำซาบในบทกวีนั้นจึงกำเนิด ... ส่วนการประพันธ์บทร้อยกรอง ยิ่งทวีความพิเศษกว่าการอ่านหลายเท่านัก... เพราะนอกจากผู้ประพันธ์จะต้องเลือกคำที่จะนำมาใช้แล้ว ยังต้องคำนึงถึงฉันทลักษณ์อันเป็นอัตลักษณ์ของบทร้อยกรองแต่ละประเภทด้วย และด้วยรูปแบบของฉันทลักษณ์ที่บังคับให้เกิดความคล้องจองของคำ...จึงทำให้เราจดจำเนื้อหาของบทร้อยกรองได้เป็นอ...

Post#3-220: The bridge of your insecurities

Post#3-220: ช่วงหยุดยาวๆ แบบนี้ เป็นโอกาสให้ใครหลายๆ คนได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวทริปไกลๆ ได้ ผมเองก็ชอบท่องเที่ยวไม่น้อย เพราะทุกครั้งที่ได้เดินทางไปในที่ใหม่ๆ ผมก็มักจะได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวใหม่ๆ มาฝากทุกท่านเสมอ ว่าไปแล้ว เราก็เคยคุยกันไว้ (Post#2-38) ว่า ถ้าต้องให้เลือกใช้เงินจำนวนหนึ่ง เอาไปใช้เดินทางท่องเที่ยวนั้น ดีกว่าเอาไปซื้อของ เหตุเพราะประสบการณ์และความทรงจำที่ได้จากการท่องเที่ยวน่ะ นานไปมีแต่ทรงคุณค่า...ในขณะที่ข้าวของที่ซื้อมาน่ะ นานไปมีแต่จะเสื่อมค่า ... ในความเห็นของผม...นอกจากการเดินทางจะหมายถึง การไปยังที่ใหม่ๆ แล้ว ยังอาจหมายรวมถึง - การก้าวออกจากที่เดิมๆ เพื่อไปแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ - อ่านหนังสือหมวดความรู้ใหม่ๆ ที่ไม่เคยอ่าน - ลิ้มลองอาหารจานใหม่ๆ ที่ไม่เคยทาน - คุยกับคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ย้ำว่า เพื่อเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ นะครับ ไม่ใช่เพื่อเป็นประสบการณ์แปลกๆ ... Tim Fargo นักเขียนชาวอเมริกัน กล่าวไว้ว่า... "Until you cross the bridge of your insecurities, you can't begin to explore your possibilities." แปลว่า ...

Post#3-219: สงกรานต์ด้วยน้ำใจ ^^

Post#3-219: บ่ายนี้ ผมมาสิงสถิตอยู่ที่ร้าน หลังจากใช้เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการไปประชุมกับ Partner ชาวต่างชาติ แม้ว่ามาที่ร้านแล้ว จะช่วยอะไรเจ้าของร้านตัวจริงไม่ค่อยได้มาก แต่ก็คิดว่า อยากมาช่วยอะไรบ้าง เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี นอกจากนั้น ก็มาอยู่คอยต้อนรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่พอรู้ข่าวว่าผมเปิดร้านอาหาร ก็ต่างอยากมาให้กำลังใจกันมากมาย ... แขกคนสำคัญที่สุดของวัน ก็คือแก็งร้านก๋วยเตี๋ยวอาม่า (ที่ผมเขียนถึงไว้ใน Post#3-186) ที่อุตส่าห์เสียสละวันหยุดอันมีค่า มาอุดหนุนผมถึงที่ ที่ผมประทับใจมากๆ ก็คืออาม่ากรุณามาด้วย พร้อมน้อง J และน้อง Y ที่หอบลูกจูงสามีมาพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่แค่มาอุดหนุน แต่น้อง Y ยังกรุณาให้คำแนะนำมือใหม่อย่างผมกับน้องหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่เป็นคำแนะนำที่ผมสามารถนำมาปรับปรุงร้านและกระบวนการทำงานได้อีกมาก ... นอกจากแก็งอาม่าแล้ว ก็ยังมีอีกหลายคน ทั้งเพื่อนผมและเพื่อนน้องสาว แวะเวียนมาให้กำลังใจและอุดหนุนกันอยู่เนืองๆ คนที่ยังมาไม่ได้ บ้างก็ช่วย like&share ทั้ง Page ทั้ง Post ให้กับผมและน้องโดยไม่ต้องร้องขอ มีพี่ที่เคยทำงานอยู่ด้วยกันเมื่อกว่า 10 ปีก่...

Post#3-218: นกเจ้าเอย...ทำไมชอบเกาะอยู่ที่เดิมๆ?

Post#3-218: ระหว่างเดินทางกลับบ้าน...อยู่บนรถ ผมก็ท่อง Web ดูอะไรฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย แล้วผมก็มาเจอวาทะนี้เข้า...เห็นว่าชวนให้คิดต่อยอดได้ดี ก็เลยอยากเอามาชวนคุยครับ เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ... "I always wonder why birds stay in the same place when they can fly anywhere on the earth. Then I ask myself the same question." แปลว่า "ผมมักจะประหลาดใจอยู่เสมอ ว่าทำไมนกชอบเกาะอยู่ที่กิ่งไม้เดิมๆ ทั้งๆ ที่มันสามารถบินไปแห่งหนไหนก็ได้บนโลก. แล้วผมก็ถามคำถามเดียวกันนี้ กับตัวเอง" ... บอกตามตรงว่า ทันทีที่อ่านวาทะนี้จบ ใจผมกระตุกอย่างแรง...ด้วยว่า มันช่างเป็นวาทะที่เหมือนมีใครเอาไม้คมแฝกมาตีที่แสกหน้าแรงๆ เอาเสียจริงๆ นั่นสิ...หากว่าคนเราเป็นนก มีปีกและอิสระที่จะบินไปแห่งหนไหนก็ได้...ใยจึงเกาะอยู่บนกิ่งไม้เดิมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน? อะไรกันนะ ที่เป็นสิ่งที่ตรึงให้คนเราชอบที่จะอยู่ที่เดิม, เป็นเหมือนเดิม หรือทำเหมือนเดิม? ... ผมมั่นใจว่า ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ตรึงเราเอาไว้? สำหรับนก, มันอาจจะเกาะอยู่ที่กิ่งไม้เดิมๆ ด้วยสัญชาตญาณ ...แต่ส...

Post#3-217: No one starts at the top

Post#3-217: ใครที่เป็นพวกกลัวการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ มักจะให้เหตุผลว่า ไม่อยากเริ่มต้น เพราะกลัวทำได้ไม่ดี ฟังแล้วผมก็ทั้งเข้าใจและทั้งอยากเอาใจช่วย แรงฝืดและแรงหน่วงก่อนจะเข็นให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นอย่างไร...เจ้าแรงชนิดเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับทุกคนที่กำลังจะเริ่มต้น ไม่ต่างกันครับ ยิ่งถ้ารถคันโต (หรือยิ่งความฝันใหญ่ขึ้นเท่าไร) เจ้าแรงที่ว่านี้ ก็จะยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น ... เคยมั๊ยล่ะครับ...ที่พอจะลงมือทำทีไร ก็จะเห็นแต่ความยุ่งยาก, ซับซ้อน, เหนื่อยใจ และสารพันปัญหาร้อยแปด เต็มไปหมด ที่เป็นแบบนี้ เพราะเราเลือกหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเราเองว่า ทำไมถึงเริ่มต้นไม่ได้...ถือเป็น Defense Mechanism ที่พบได้ในคนทั่วไป สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่เค้าไม่กลัวนะครับ...เพียงแต่เค้าเลือกเดินหน้าสู้ มากกว่าที่จะหนี...ก็เท่านั้น ... ดังนั้น ถ้าคิดว่าปลายทางของความฝันนั้น คุ้มค่าที่จะลองดู...ผมก็ขอเชียร์ให้ลุยเลยครับ เพราะถ้ามั่นใจว่าวางแผนไว้ดีพอควรแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะกลัวเกินกว่าเหตุ หากว่ายังกังวลกับผลลัพธ์ว่าจะไม่ได้ดีดังหวัง...อย่ากลัวครับ เพราะผลลัพธ์มักไม่ดีเ...

Post#3-216: อย่ามัวแต่ฝัน

Post#3-216: หนึ่งในความฝันที่ผมอยากจะทำให้เป็นความจริงก็คือ การเปิดร้านอาหาร, ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้ว ผมทำอาหารแทบจะไม่เป็นเลย แต่แล้ววันนี้ ความฝันเล็กๆ ของผมก็เป็นจริงขึ้นมาได้ ด้วยความช่วยเหลือของแม่และน้องสาวทั้ง 2 คน แม้ผมจะไม่รู้ว่า ความฝันครั้งนี้ จะจบลงด้วยความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ผมก็ยินดีที่ในที่สุดผมก็ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นได้...ไม่ได้เป็นแค่ความฝันในยามหลับ และกลายเป็นความเพื้อฝันเมื่อยามตื่น … ต้องบอกว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผมใช้เวลาค่อนข้างมากในการเตรียมตัวเพื่อที่จะทำให้ร้านออกมาได้อย่างที่ใจหวัง ถึงวันนี้ ผมพอใจแค่ไม่ถึง 50% ของที่คาดหวังด้วยซ้ำไป...ด้วยว่าอะไรๆ มันก็ไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์และวางแผนไว้ ซึ่งผมก็ได้เคยแชร์ไว้หลายครั้งว่า ความผิดพลาดมันอยู่คู่กับการสร้างผลงาน ดังนั้น ถ้าเราไม่กลัวที่จะเจอกับมัน “ปัญหาที่เกิดขึ้น” มันก็จะกลายเป็น “ความท้าทาย” ที่เราต้องก้าวข้าม ก็เท่านั้น … ร้านนี้เกิดจากความฝันร่วมกันของผมและน้องสาว (ที่ชอบและหลงใหลในการทำอาหาร) ว่าไปแล้ว ก็ต้องเล่าไปถึงคุณแม่ของเรา ซึ่งเป็นมืออาชีพในการทำอาหารมากว่า 30 ปี และ DN...

Post#3-215: ผูกใจ

Post#3-215: เช้านี้ผมมีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง...ต้องบอกว่า เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่ายแต่หรูหราเป็นอย่างมาก เท่าที่ผมรู้จัก เจ้าบ่าวเป็นคนร่ำรวยอารมณ์ขัน เท่าๆ กับที่เจ้าสาวก็เป็นคนยิ้มเก่ง...ดังนั้น คงไม่มีคำใดเหมาะสมมากไปกว่า "กิ่งทอง ใบหยก" บรรยากาศเป็นไปอย่างกันเอง...เหมือนกับไปบ้านเพื่อนเสียมากกว่า...มองไปทางไหนก็เห็นแต่กลุ่มเพื่อนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกัน ... ผมชอบไปงานแต่งงาน เพราะทุกครั้งที่ไป ผมจะกลับออกมาด้วยความชุ่มชื่นหัวใจ ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าดวงตาของคู่บ่าว-สาว ที่มองซึ่งกันและกันในวันแต่งงานนี้ จะดูงดงามและเป็นประกายมากที่สุด ถ้าจะให้ผมวิเคราะห์และอธิบายแล้วล่ะก็ (แบบออกลิเกนิดๆ)...ผมว่า คงเป็นเพราะความรักมันเติมเต็มทั้งร่างกายและวิญญาณกระมังครับ ... อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้...วันแต่งงานนั้นไม่ใช่ "เส้นชัย" หากแต่เป็น "จุดสตาร์ท" ต่างหาก คนเราจะมาใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกัน...ไม่ได้สำคัญว่า จะต้องผูกกันไว้ด้วยการจัดงานแต่งงาน หรือด้วยการจดทะเบียนสมรส เปล่าเลยครับ...ผมไม่ได้แอนตี้งานแต่งงานหรือการจดทะเบียนสมรสแต่อย...

Post#3-214: Just because you have a bad day...

Post#3-214: หลายวันก่อน ผมนั่งทานข้าวสังสรรค์อยู่กับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง ตอนหนึ่งของการสนทนา ก็มีเพื่อนคนหนึ่งปรับทุกข์ให้ฟังว่า วันนี้ช่างเป็นวันร้ายของเค้าเอาเสียจริงๆ หลังจากปล่อยให้เค้าระบายอยู่พักใหญ่, เพื่อนคนหนึ่งที่อาวุโสที่สุด ก็ตบไหล่, ยิ้มให้กำลังใจ และพูดว่า... "Com'on, it's over! At least you are here with us tonight. Let's start again! You will not be unlucky everyday, right?" แปลตามภาษาเพื่อนๆ คุยกันได้ว่า "เอาน่า, ช่างแม่มเถอะ. อย่างน้อย คืนนี้ เมิงก็ได้มาอยู่กับพวกกรูแล้วไง. พลาดแล้วก็เริ่มใหม่สิ (วะ). เมิงคงไม่ได้โชคร้ายไปซะทุกวัน ใช่มั๊ย (วะ)? ... หลังจากเพื่อนๆ ชวนคุยและชนแก้ว เค้าก็ดูเหมือนจะคิดได้...หันมายิ้มและหัวเราะได้เหมือนเก่า ว่าไปแล้ว ชีวิตก็เป็นแบบนี้เอง...บางครั้ง ความสุขและความทุกข์ ก็ห่างกันแค่ชั่วพริบตาเดียว ผมไม่ได้บอกให้เราหลอกตัวเองว่า "ไม่ให้ทุกข์"...แต่แค่อยากเตือนให้ทุกข์ให้ถูกเวลา...เท่านั้นเองครับ ถ้าสุขให้ถูกกาละ และทุกข์ให้ถูกเทศะ...อย่างน้อย เราก็จะมีชีวิตที่ว่างเว้นจากอารมณ์อา...

Post#3-213: ทะเยอทะยาน

Post#3-213: เท่าที่มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเด็กรุ่นใหม่ๆ หลายๆ คน...ผมพบว่า สิ่งหนึ่งที่พวกเค้ามีคล้ายๆ กัน ก็คือ "ความทะเยอทะยาน" ที่ผมเรียกว่าเป็น "ความทะเยอทะยาน" แทนที่จะเรียกว่า "ความฝัน" ก็เพราะพวกเค้าคาดหวังกับเจ้า "ความหวัง" ที่ว่านี่เสียจริงๆ จังๆ แต่ต้องบอกว่า น่าเสียดายไม่น้อย...ที่ส่วนใหญ่ได้แต่บอกว่า "อยากจะทำ" แต่ยังไม่คิดจะ "ลงมือทำ" แบบเป็นเรื่องเป็นราว (ลองอ่าน Post#3-211 ประกอบดูนะครับ) ... ถามว่า ทำไมพวกเค้า ถึงมีความทะยานอยากสูงแบบนี้? ก็พอจะตอบได้ว่า คงเพราะพวกเค้าต้องการมีชื่อปรากฏให้โลกได้รับรู้...อยากให้มีคนยอมรับ วิเคราะห์ดูแล้ว...ผมก็เข้าใจได้อยู่ ดังเราจะเห็นได้จาก Social Networks ทั้งหลาย ที่ต่างก็มีเรื่องราวน่ารักน่าชังน่าอวดอยู่เป็นปกติ ... เมื่อคนส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการความยอมรับ...จึงต่างต้องหาวิธีให้ตัวเอง "โดดเด่น" ซึ่งถ้าความอยากเด่นอยากดังนั้น ถูกแปลงมาในรูปของ "ความทะเยอทะยาน" ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่รับได้...ดีกว่าไปแสดงออกในทางที่ผิดๆ เพียง...

Post#3-212: ต่างชาติต่างภาษา

Post#3-212: เช้านี้ผมมีประชุมกับเพื่อนชาวจีนที่กำลังจะทำ project ร่วมกัน แม้ว่าเราจะใช้เวลาคุยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่มันสำคัญมากที่จะต้องมาเจอกัน เพื่อที่จะได้คุยกันต่อหน้า ยิ่งโดยเฉพาะเรามีกำแพงภาษาเป็นอุปสรรคสำคัญด้วยแล้ว การที่ได้มาพูดคุยกันต่อหน้า ยิ่งสำคัญมากเป็นพิเศษ ... เพื่อนชาวจีน พูดภาษาอังกฤษพอได้ ส่วนผมก็พูดได้งูๆ ปลาๆ ดังนั้น เราก็เลยใช้ทั้งภาษาไทย, จีน และอังกฤษ รวมๆ กันไป...เป็นที่สนุกสนาน ^^ โชคยังดีที่ในกลุ่มที่ประชุมกัน มีเพื่อนคนหนึ่งที่พูดได้ทั้งไทย, จีน และอังกฤษ (สมมติว่าชื่อ คุณ D นะครับ) จึงกลายเป็นความลงตัวโดยบังเอิญ... ซึ่งแน่นอนว่า คุณ D จึงจำต้องทำหน้าที่ "ล่าม" โดยปริยาย ... คนทำหน้าที่เป็น "ล่าม" ในการคุยธุรกิจนั้น ต่างจากคนที่ทำหน้าที่ "ล่าม" ในชีวิตประจำวัน เป็นอย่างมาก ล่ามทั่วๆ ไป ฟังปุ๊บแล้วก็แปลปั๊บ ไม่มีอะไรซับซ้อน...แต่คนที่ทำหน้าที่ "ล่าม" อย่างที่ คุณ D ต้องทำนั้น จำเป็นจะต้องเข้าใจภาพรวมของธุรกิจแบบถึงแก่น ชนิดที่ว่า จะเข้าใจอะไรผิดไม่ได้เลย ดังนั้น กว่าจะถ่ายทอดเนื้อหาและเนื้อความให...

Post#3-211: How bad I want?

Post#3-211: ถ้าเราได้เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า...เราก็จะเนรมิตทุกอย่างได้ตามต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นจริงโดยทันทีที่คิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว...กว่าจะได้ในสิ่งที่มุ่งหวังหรือต้องการ เราล้วนต้องฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคนานัปการ ยิ่งลำบากมากเท่าไหร่...ผลลัพธ์ที่ได้มาย่อม "ล้ำค่า" มากขึ้นเท่านั้น ... ผมเลือกที่จะใช้คำว่า "ผลลัพธ์" แทนที่จะเป็น "ผลสำเร็จ" เพราะใช่ว่าความพยายามทุกครั้งของเรา จะจบลงด้วยความสมหวังทุกทีไป...มากกว่ามาก ความพยายามนั้น อาจจบลงด้วยความล้มเหลวเสียด้วยซ้ำ แต่กระนั้น ก็มีแต่การลงมือทำอย่างเต็มที่เท่านั้น จึงจะทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างขึ้นมาได้...ไม่ใช่แค่คิดแล้วเป็นจริงขึ้นมาอย่างเทวดาท่าน ... ยกตัวอย่างดูก็ได้ครับ หิวข้าวมากๆ อยากหม่ำข้าวสุดๆ...แต่แค่คิดอยู่อย่างนั้น ถามว่าท้องจะอิ่มมั๊ยครับ? มีความตั้งใจมากๆ ที่จะสร้างผลงานให้นายยอมรับ...แต่ก็แค่เก็บความตั้งใจนั้นไว้ในใจ ถามว่าจะสร้างผลงานได้ไงครับ? อยากเป็นแฟนกับสาวคนนั้น (หรือหนุ่มคนโน้น) มากๆ...แต่ก็ได้แต่แอบมองเค้าอยู่อย่างนั้น ถามว่าชาตินี้จะได้เค้ามาเป็นแฟ...

Post#3-210: War Room

Post#3-210: บ่ายแก่ๆ วันนี้ ผมพบตัวเองอยู่ใน War Room กับทีมบริหารขององค์กรแห่งหนึ่ง ที่ทำงานร่วมกับทีมของผม ประเด็นสำคัญที่เราจำต้องแก้ไขก็คือ Vendor ที่ทำงานกับเรา จู่ๆ ก็ถอนตัวกลางอากาศ ทำให้ทีมงานเกิดอาการมึนอยู่พักใหญ่ หลังจากฟังสรุปสถานการณ์แล้ว...เราจึงเรียกประชุมทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องโดยทันที เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ... ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้...การเอาตัวรอดในลักษณะแบบที่องค์กรนี้เจอ เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และมักเกิดขึ้นแบบไม่ทันให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวด้วยเช่นกัน แทนที่จะเอาเวลาไปตัดพ้อต่อว่า Vendor หรือจะไปดำเนินการใดๆ ทางกฎหมาย...เรื่องเร่งด่วน ควรจะเป็นการจัดการให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าให้ได้เสียก่อน หรือพูดง่ายๆ ว่า ก่อนจะคุยกันเรื่องป้องกันไฟไหม้ ก็ต้องจัดการเรื่องดับไฟให้ได้ก่อนเป็นอย่างแรก ... ใน War Room นั้น เราต้องให้ความสำคัญกับ "งานด่วน" ก่อนที่จะคิดถึง "งานใหญ่"...หรือหมายความว่า ต้องเอา "ชีวิต" ให้รอดก่อนเป็นสำคัญ ถ้ารอดระยะสั้นนี้ไปไม่ได้...ก็ไม่มีหวังที่จะมีชีวิตรอดไปทำแผนระยะยาว สำคัญท...

Post#3-209: เราจะเจอฤดูเก็บเกี่ยวหรือฤดูหนาว?

Post#3-209: ใน Page นี้ เราคุยกันบ่อยมากๆ เกี่ยวกับความจำเป็นและความสำคัญในการผลักดันให้ตัวเราต้อง "เรียนรู้" ด้วยตัวของมันเองก็บอกความชัดอยู่แล้ว ว่า เรา "เรียน" เพื่อที่จะ "รู้" และที่สำคัญกว่าการเก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆ เข้ามาอยู่ในคลังสมองของเราแล้ว...เรายังจำเป็นที่จะต้องแปลงความรู้ต่างๆ นั้น ให้เป็นประโยชน์กับตัวเราให้ได้ด้วยเช่นกัน ... ผมไปเจอวาทะหนึ่ง...อ่านแล้ว ก็ใช้เป็นเครื่องเตือนใจได้ดีเลยว่า ทำไมคนเราจึงไม่ควรที่จะหยุดเรียนรู้ วาทะนั้นว่าไว้ว่า... "For the unlearned, old age is winter; for the learned it is the season of harvest." แปลว่า "สำหรับพวกที่ไม่ใส่ใจที่จะเรียนรู้ อายุมากก็คือฤดูหนาว แต่สำหรับพวกที่ใฝ่เรียนรู้ อายุมากก็คือฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว" ... ว่าแล้ว ก็ขอบรรเลงเป็นร้อยกรองละกันครับ... "วันนี้หากไม่คิดจะเรียนรู้ วันหน้าอยู่คงยากนักและขัดสน ด้วยความรู้เจ้าจึงควรค่าแห่งคน เฝ้าฝึกฝนวันหน้าเจ้าจักสบาย วันนี้คร้านวันนี้สุขก็จริงอยู่ วันหน้าถึงสำนึกรู้ก็คงสาย วันนี้ยังเปี่ยมพลังพร้อมแรงก...

Post#3-208: Disney On Ice...Again & Again

Post#3-208: ผมพบตัวเองอยู่กับลูกสาวและภรรยา อยู่ที่ Impact Arena เพื่อมาชม Disney On Ice อีกครั้ง ครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่และน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กๆ เป็นอย่างมาก...เพราะเป็นครั้งแรกที่ Elsa และ Anna แห่ง Frozen ปรากฏตัวบนผืนน้ำแข็ง ช่วงท้ายที่เหล่าดาราจาก Frozen ทยอยปรากฏโฉม...เสียงกรี๊ดจากเด็กๆ ก็ดังถล่มทลาย ยิ่งตอนที่เพลง "Let It Go" ดังขึ้น...ผมถึงกับอมยิ้ม เพราะได้ยินเสียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ นับพันคน พากันรองคลอไปด้วย เสมือนเป็นเพลงชาติ ^^ ... ผมและครอบครัวไม่เคยผิดหวังกับ Disney On Ice เลย, ยิ่งครั้งนี้ เรายิ่งชอบและประทับใจ...ทั้งแสง, สี, เสียง, ฉาก, เพลงประกอบ, เทคนิค, Costume รวมไปถึงผู้แสดง ...ทุกอย่างล้วนแต่หาที่ติแทบไม่เจอ ถือเป็น "Performance" ที่ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยๆ "ฟิน" กัน ถ้วนหน้า ...และไอ้เจ้าความ "ฟิน" ที่ว่านี่ล่ะครับ (ที่ผมถือเป็น highlight ส่วนตัวของผม) ที่ผมชอบมากกว่าการแสดง เพราะการได้แอบมอง "ประกายตา" ของเด็กๆ...โดยเฉพาะของลูกสาวนั้น ต้องนับว่าเป็นความรู้สึกที่พิเศษจริงๆ ... ผมเองก็ไม่รู้หร...

Post#3-207: อยากอยู่เพราะดี vs ดีเพราะเราอยู่

Post#3-207: บ่ายวานนี้ ผมมีนัด Conference Call กับ Vendor รายหนึ่ง ที่อยู่ต่างประเทศ เนื่องจากภารกิจรัดตัว จึงมอบหมายให้ลูกน้องท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อน้อง M นะครับ) เป็นผู้เตรียมข้อมูลให้ทั้งหมด...ที่สำคัญคือ M เพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่ถึงเดือนดี และมีเวลาเตรียมข้อมูลไม่นาน แต่แม้ว่า M จะยังใหม่มาก แต่ก็ถือว่า การเตรียมการและเตรียมข้อมูลต่างๆ นั้น อยู่ในขั้น "สอบผ่าน"...ก็ถือเป็นเด็กจบใหม่ที่มีแววดี...น่าจะพัฒนาให้กลายมาเป็นกำลังสำคัญขององค์กรได้ในอนาคต ... หลังจากเตรียมความพร้อมสำหรับ Conference Call แล้ว ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง...ผมก็เลยชวน M คุยฆ่าเวลา ตอนหนึ่งของการสนทนา...ผมถาม M ว่าชอบงานที่ได้รับมอบหมายไปมั๊ย? M บอกว่า ชอบ เพราะงานท้าทายดี แต่คงต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้อีกสักพัก และขอบคุณที่องค์กรให้โอกาส แม้ว่าตัวเธอจะยังมีประสบการณ์น้อย ผมบอก M ว่า ทั้งองค์กรและตัว M ต่างก็มีวาสนาในการทำงานร่วมกัน...ไม่ใช่แค่องค์กรเลือกเรา แต่เราเองก็ต้องเลือกองค์กรด้วยเช่นกัน ... ผมเห็นด้วยครับ ว่าใครๆ ต่างก็อยากได้โอกาสทำงานในองค์กรที่มีชื่อเสียง, มั่งคั่ง และมั่นคง... ...