Post#3-226:
สำหรับใครที่ทำงานในสายงานเดิมมายาวนาน...ย่อมมีบ้างบางครั้งที่รู้สึกท้อแท้เหนื่อยหน่าย และตั้งตำถามกับตัวเอง
ผมอยากจะบอกว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาครับ...ยิ่งถ้าตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมา คุณไม่ค่อยได้เปลี่ยนสายงานเลย ก็อาจจะมีความรู้สึกนี้ มากกว่าปกติ
เปล่าครับ...ผมไม่ได้ชวนให้คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนสายงาน เพราะถ้าคุณอยู่กับสายงานนั้นๆ มาได้ยาวนานแบบนี้ ก็แปลว่าคุณคงต้องรักสายงานนั้น หรืออาชีพนั้น อยู่บ้าง...ไม่มากก็น้อย
...
การเปลี่ยนงานนั้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติสำหรับใครคนหนึ่ง แต่การเปลี่ยนสายงานนี่ ถือเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเอาการอยู่เหมือนกันครับ
ถามว่า ทำไม?
ก็เพราะถ้าแค่เป็นการเปลี่ยนงาน เรายังมีประสบการณ์จากที่เดิมเป็นฐานให้เราใช้ต่อยอด...แต่การเปลี่ยนสายงานนี่ เกือบจะกลายเป็นการนับหนึ่งใหม่เลยก็ว่าได้
เว้นแต่เป็นการเปลี่ยนสายงานจากงานที่พัฒนามาจากงานอดิเรกหรืองานเสริมที่เคยทำมาบ้างแล้วนะครับ...ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ถือว่ามีฐานไว้ให้ต่อยอดพอควร
...
แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ที่ใครสักคนจะต้องคิดเปลี่ยนสายงานที่ทำมายาวนาน?
คำตอบเกิดได้จากหลายปัจจัยครับ...อาจเกิดจาก Industrial Change, Technology Change หรืออาจเกิดจากความท้อแท้ส่วนตัว
หากว่าคำตอบนั้น เกิดขึ้นจากความท้อแท้...ก่อนที่คิดจะเปลี่ยนสายงานที่เคยทำมาตลอดนั้น ผมขอให้ลองคิดตามวาทะของ Christian Larson เสียก่อนครับ...
"Take pride in how far you have come and have faith in how far you can go."
แปลว่า "เจ้าจงทระนงกับระยะทางที่ได้ก้าวผ่านมา และจงเชื่อมั่นกับหนทางที่เจ้าสามารถจะดั้นด้นไป"
ถ้าตอบตัวเองได้อย่างซื่อสัตย์ว่า ไม่ได้มีความทระนงใดๆ กับงานที่ผ่านมา และมองไม่เห็น Career Path ข้างหน้า
...ก็คงถึงซึ่งเวลา ที่คุณต้องหาหนทางสายใหม่ให้กับตัวเองแล้วล่ะครับ...
* Christian Larson เป็นทั้งอาจารย์และผู้นำแนวความคิดสมัยใหม่ ชาวอเมริกัน ซึ่งหนังสือบางเล่มของเค้า ยังได้รับการตีพิมพ์อยู่ แม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่า 100 ปี แล้วก็ตาม
สำหรับใครที่ทำงานในสายงานเดิมมายาวนาน...ย่อมมีบ้างบางครั้งที่รู้สึกท้อแท้เหนื่อยหน่าย และตั้งตำถามกับตัวเอง
ผมอยากจะบอกว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดาครับ...ยิ่งถ้าตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมา คุณไม่ค่อยได้เปลี่ยนสายงานเลย ก็อาจจะมีความรู้สึกนี้ มากกว่าปกติ
เปล่าครับ...ผมไม่ได้ชวนให้คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนสายงาน เพราะถ้าคุณอยู่กับสายงานนั้นๆ มาได้ยาวนานแบบนี้ ก็แปลว่าคุณคงต้องรักสายงานนั้น หรืออาชีพนั้น อยู่บ้าง...ไม่มากก็น้อย
...
การเปลี่ยนงานนั้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติสำหรับใครคนหนึ่ง แต่การเปลี่ยนสายงานนี่ ถือเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเอาการอยู่เหมือนกันครับ
ถามว่า ทำไม?
ก็เพราะถ้าแค่เป็นการเปลี่ยนงาน เรายังมีประสบการณ์จากที่เดิมเป็นฐานให้เราใช้ต่อยอด...แต่การเปลี่ยนสายงานนี่ เกือบจะกลายเป็นการนับหนึ่งใหม่เลยก็ว่าได้
เว้นแต่เป็นการเปลี่ยนสายงานจากงานที่พัฒนามาจากงานอดิเรกหรืองานเสริมที่เคยทำมาบ้างแล้วนะครับ...ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ถือว่ามีฐานไว้ให้ต่อยอดพอควร
...
แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ที่ใครสักคนจะต้องคิดเปลี่ยนสายงานที่ทำมายาวนาน?
คำตอบเกิดได้จากหลายปัจจัยครับ...อาจเกิดจาก Industrial Change, Technology Change หรืออาจเกิดจากความท้อแท้ส่วนตัว
หากว่าคำตอบนั้น เกิดขึ้นจากความท้อแท้...ก่อนที่คิดจะเปลี่ยนสายงานที่เคยทำมาตลอดนั้น ผมขอให้ลองคิดตามวาทะของ Christian Larson เสียก่อนครับ...
"Take pride in how far you have come and have faith in how far you can go."
แปลว่า "เจ้าจงทระนงกับระยะทางที่ได้ก้าวผ่านมา และจงเชื่อมั่นกับหนทางที่เจ้าสามารถจะดั้นด้นไป"
ถ้าตอบตัวเองได้อย่างซื่อสัตย์ว่า ไม่ได้มีความทระนงใดๆ กับงานที่ผ่านมา และมองไม่เห็น Career Path ข้างหน้า
...ก็คงถึงซึ่งเวลา ที่คุณต้องหาหนทางสายใหม่ให้กับตัวเองแล้วล่ะครับ...
* Christian Larson เป็นทั้งอาจารย์และผู้นำแนวความคิดสมัยใหม่ ชาวอเมริกัน ซึ่งหนังสือบางเล่มของเค้า ยังได้รับการตีพิมพ์อยู่ แม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่า 100 ปี แล้วก็ตาม
Comments
Post a Comment