Post#3-221:
ผมชอบแต่งร้อยกรอง...แม้ว่าจะมีฝีมือในเชิงกวีอยู่ในชั้นปลายแถว
ทุกครั้งที่อ่านหรือแต่งบทร้อยกรอง...ผมจะมีความรู้สึกว่า คลังสมองถูกเปิดออก และความรู้ด้านรจนาภาษาของผมจะถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่
และไม่ว่าเราจะอ่านหรือแต่งบทร้อยกรองก็ตามแต่...เราล้วนต้องอาศัย "อารมณ์กวี" เข้ามาสถิตในเรือนใจ
...
เวลาเราอ่านบทร้อยกรอง นอกจากเราจะกำซาบกับคำที่ผู้ประพันธ์เลือกนำมาประดิษฐ์ให้เกิดเสนาะกับอารมณ์แล้ว...
เรายังจำเป็นต้องวิเคราะห์ตามอีกด้วย ว่าเนื้อหาในบทร้อยกรองนั้น กำลังบอกอะไรกับเรา
เมื่อเกิดการวิเคราะห์ จึงเกิดการตีความ...และเมื่อเกิดการตีความ จึงเกิดความเข้าใจ
เมื่อเกิดความเข้าใจในอารมณ์และเนื้อหาไปพร้อมๆ กันเมื่อใด...เมื่อนั้นความกำซาบในบทกวีนั้นจึงกำเนิด
...
ส่วนการประพันธ์บทร้อยกรอง ยิ่งทวีความพิเศษกว่าการอ่านหลายเท่านัก...
เพราะนอกจากผู้ประพันธ์จะต้องเลือกคำที่จะนำมาใช้แล้ว ยังต้องคำนึงถึงฉันทลักษณ์อันเป็นอัตลักษณ์ของบทร้อยกรองแต่ละประเภทด้วย
และด้วยรูปแบบของฉันทลักษณ์ที่บังคับให้เกิดความคล้องจองของคำ...จึงทำให้เราจดจำเนื้อหาของบทร้อยกรองได้เป็นอย่างดี
...ดังนั้นแล้ว บทร้อยกรองจึงสั่นสะเทือนอารมณ์และวิญญาณมากกว่าร้อยแก้ว
สำหรับผมแล้ว...บทร้อยกรองยังถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของชาติไทยที่เราควรรักษาไว้อีกด้วยครับ
...
ปิดท้ายด้วย ผมชวนมาย้อนความจำในช่วงที่เป็นหัวเกรียนผมบ๊อบกันดูดีมั๊ยครับ?
"พฤษภกาสร
อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง
สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย
มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี
ประดับไว้ในโลกา”
ไม่รู้สิครับ แค่ 8 บรรทัด (ตามโควต้าการอ่านหนังสือของคนไทย-ที่เค้าชอบเหน็บๆ กัน) เท่านี้...กลับสั่นสะเทือนหัวใจและสอนใจเราได้แบบชั่วชีวิตเลยทีเดียว
นี่คือความพิเศษที่ร้อยแก้วมิอาจเทียบเคียง...และนี่คือภูมิปัญญาอันเด่นเลิศของคนไทย
...ขอร่ำลาวันสงกรานต์อันเป็นประเพณีแบบไทยๆ ด้วยบทกวีแบบไทยๆ แบบนี้ล่ะครับ...
Cr: (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส: กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)
ผมชอบแต่งร้อยกรอง...แม้ว่าจะมีฝีมือในเชิงกวีอยู่ในชั้นปลายแถว
ทุกครั้งที่อ่านหรือแต่งบทร้อยกรอง...ผมจะมีความรู้สึกว่า คลังสมองถูกเปิดออก และความรู้ด้านรจนาภาษาของผมจะถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่
และไม่ว่าเราจะอ่านหรือแต่งบทร้อยกรองก็ตามแต่...เราล้วนต้องอาศัย "อารมณ์กวี" เข้ามาสถิตในเรือนใจ
...
เวลาเราอ่านบทร้อยกรอง นอกจากเราจะกำซาบกับคำที่ผู้ประพันธ์เลือกนำมาประดิษฐ์ให้เกิดเสนาะกับอารมณ์แล้ว...
เรายังจำเป็นต้องวิเคราะห์ตามอีกด้วย ว่าเนื้อหาในบทร้อยกรองนั้น กำลังบอกอะไรกับเรา
เมื่อเกิดการวิเคราะห์ จึงเกิดการตีความ...และเมื่อเกิดการตีความ จึงเกิดความเข้าใจ
เมื่อเกิดความเข้าใจในอารมณ์และเนื้อหาไปพร้อมๆ กันเมื่อใด...เมื่อนั้นความกำซาบในบทกวีนั้นจึงกำเนิด
...
ส่วนการประพันธ์บทร้อยกรอง ยิ่งทวีความพิเศษกว่าการอ่านหลายเท่านัก...
เพราะนอกจากผู้ประพันธ์จะต้องเลือกคำที่จะนำมาใช้แล้ว ยังต้องคำนึงถึงฉันทลักษณ์อันเป็นอัตลักษณ์ของบทร้อยกรองแต่ละประเภทด้วย
และด้วยรูปแบบของฉันทลักษณ์ที่บังคับให้เกิดความคล้องจองของคำ...จึงทำให้เราจดจำเนื้อหาของบทร้อยกรองได้เป็นอย่างดี
...ดังนั้นแล้ว บทร้อยกรองจึงสั่นสะเทือนอารมณ์และวิญญาณมากกว่าร้อยแก้ว
สำหรับผมแล้ว...บทร้อยกรองยังถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของชาติไทยที่เราควรรักษาไว้อีกด้วยครับ
...
ปิดท้ายด้วย ผมชวนมาย้อนความจำในช่วงที่เป็นหัวเกรียนผมบ๊อบกันดูดีมั๊ยครับ?
"พฤษภกาสร
อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง
สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย
มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี
ประดับไว้ในโลกา”
ไม่รู้สิครับ แค่ 8 บรรทัด (ตามโควต้าการอ่านหนังสือของคนไทย-ที่เค้าชอบเหน็บๆ กัน) เท่านี้...กลับสั่นสะเทือนหัวใจและสอนใจเราได้แบบชั่วชีวิตเลยทีเดียว
นี่คือความพิเศษที่ร้อยแก้วมิอาจเทียบเคียง...และนี่คือภูมิปัญญาอันเด่นเลิศของคนไทย
...ขอร่ำลาวันสงกรานต์อันเป็นประเพณีแบบไทยๆ ด้วยบทกวีแบบไทยๆ แบบนี้ล่ะครับ...
Cr: (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส: กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)
Comments
Post a Comment