Skip to main content

Post#3-212: ต่างชาติต่างภาษา

Post#3-212:
เช้านี้ผมมีประชุมกับเพื่อนชาวจีนที่กำลังจะทำ project ร่วมกัน

แม้ว่าเราจะใช้เวลาคุยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่มันสำคัญมากที่จะต้องมาเจอกัน เพื่อที่จะได้คุยกันต่อหน้า

ยิ่งโดยเฉพาะเรามีกำแพงภาษาเป็นอุปสรรคสำคัญด้วยแล้ว การที่ได้มาพูดคุยกันต่อหน้า ยิ่งสำคัญมากเป็นพิเศษ

...

เพื่อนชาวจีน พูดภาษาอังกฤษพอได้ ส่วนผมก็พูดได้งูๆ ปลาๆ ดังนั้น เราก็เลยใช้ทั้งภาษาไทย, จีน และอังกฤษ รวมๆ กันไป...เป็นที่สนุกสนาน ^^

โชคยังดีที่ในกลุ่มที่ประชุมกัน มีเพื่อนคนหนึ่งที่พูดได้ทั้งไทย, จีน และอังกฤษ (สมมติว่าชื่อ คุณ D นะครับ) จึงกลายเป็นความลงตัวโดยบังเอิญ...

ซึ่งแน่นอนว่า คุณ D จึงจำต้องทำหน้าที่ "ล่าม" โดยปริยาย

...

คนทำหน้าที่เป็น "ล่าม" ในการคุยธุรกิจนั้น ต่างจากคนที่ทำหน้าที่ "ล่าม" ในชีวิตประจำวัน เป็นอย่างมาก

ล่ามทั่วๆ ไป ฟังปุ๊บแล้วก็แปลปั๊บ ไม่มีอะไรซับซ้อน...แต่คนที่ทำหน้าที่ "ล่าม" อย่างที่ คุณ D ต้องทำนั้น จำเป็นจะต้องเข้าใจภาพรวมของธุรกิจแบบถึงแก่น ชนิดที่ว่า จะเข้าใจอะไรผิดไม่ได้เลย

ดังนั้น กว่าจะถ่ายทอดเนื้อหาและเนื้อความให้ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจได้, คุณ D จะต้องใช้เวลา "แปล", "เรียบเรียง" และ "ปะติดปะต่อ" เรื่องราว ด้วยความละเอียดละออ

นอกจาก คุณ D จะต้องประสานเรื่องธุรกิจแล้ว ยังมีงานหนักที่จะต้องคอยแปลเรื่องทั่วๆ ไป รวมถึงมุขตลกต่างชาติต่างภาษาให้กับทั้งกลุ่มด้วยเช่นกัน

เรียกว่างานหลวงทิ้งไม่ได้ งานราษฎร์ก็ไม่เว้น...ว่าอย่างนั้น

...

การทำ project ร่วมกันนั้น เราเน้นแค่มุมธุรกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่จำเป็นที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์และความไว้เนื้อเชื่อใจในระหว่าง partner ไปพร้อมๆ กันด้วย

แต่ถ้ายังจำ IPM (ที่ผมเล่าไว้ใน Post3-205) ได้, นี่เลยครับ คือสิ่งที่คุณ D ต้องรักษาสมดุลย์ได้แบบพอเหมาะพอเจาะ และพอดี

นอกจากนั้นแล้ว การได้พูดคุย, ได้ฟังน้ำเสียง และได้มองตากัน ก็มีส่วนทำให้เราสร้างความสัมพันธ์และไว้เนื้อเชื่อใจกันได้มากขึ้น

น้ำเสียง, ท่าทาง และแววตา หรือที่เรารวมเรียกว่า "อวัจนภาษา" นั้น มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า "ความหมายของภาษา" ที่เราสื่อสารกัน

คุณ D นั้น ช่วยสื่อ "ความหมาย" แต่เพื่อนๆ ทุกคนนั้น ต่างคนต่างต้องสื่อ "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" ซึ่งกันและกัน

...เมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจก่อเกิด, ภาษาก็กลายเป็นเรื่องสำคัญรองลงไปครับ...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...