Skip to main content

Post#3-230: Work Hard vs Work Smart

Post#3-230:
ต้องบอกว่า ประเด็นหนึ่งที่ผมมักจะถกกับผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือลูกน้อง ย่อมมีประเด็นของ Work Hard vs Work Smart อยู่ไม่เคยขาด

สำหรับผมแล้ว แท้จริงทั้ง 2 วิธีของการทำงาน เป็นเรื่องเดียวกัน...สุดแต่ใครจะหาส่วนผสมให้ลงตัวอย่างไร

ผมเชื่อว่า...มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเลือกสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง...และว่ากันตามความเห็นของผมแล้ว การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง มักทำให้ได้ประสิทธิผลของงานไม่เต็มที่

...

ใครที่ชอบทำงานแบบลุยแหลก แบบเดินหน้าท้าชน ก็จะเป็นประเภท Work Hard ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเน้นและไม่ถนัดกับการวางแผน

ส่วนใครที่ชอบวางแผนก่อน ก็จะอารมณ์ประมาณ เป็นนักกลยุทธ์ ที่ชอบออกแบบแนวทางการทำงานก่อน เรียกว่า เป็นพวก Work Smart

สังเกตุอะไรมั๊ยครับ...ว่าถ้ามัวแต่จะ Work Hard อย่างเดียว ผลลัพธ์อาจกลายเป็นได้ไม่คุ้มเหนื่อย

ในขณะเดียวกัน...มัวแต่วางแผนอยู่นั่น พูดแต่ไม่ทำ งานจึงไม่เกิด...แล้วจะมาบอกว่า ตัวเป็นพวก Work Smart ก็ไร้ยางอายไปหน่อย

...

ที่ถูกและควร จึงต้องเป็นผู้รู้จักผสมผสานทั้ง Work Hard และ Work Smart เข้าด้วยกัน...

วางแผนแล้วลงมือ...ลงมือแล้ววิเคราะห์...วิเคราะห์แล้วปรับปรุง...ปรับปรุงแล้วก็ลงมือ...เป็นวัฏจักรที่หมุนเวียนแบบไม่สิ้นสุด

เป็นพลวัตรที่ขับเคลื่อนและผลักดันให้เราเติบโตขึ้นทั้งความคิดและประสบการณ์จากการลงมือทำจริงๆ

...

น่าเสียดาย ที่ผู้คนมากเหลือเกิน ที่ก้มหน้าก้มตาทำ โดยไม่เคยรู้เลย ว่าที่เหนื่อยยากนั้น ส่งผลอะไร...

และน่าเสียดาย ที่เรายังคงพบเจอพวกทำงานด้วยปากได้ในทุกองค์กร...

ดังนั้น Work Hard แบบ Not Smart และ Work Smart แบบ Not Hard จึงต่างก็ใช้ไม่ได้ทั้งคู่

...Work smart hardily หรือ Work hard smartly จึงเป็นส่วนผสมที่เราต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับงานครับ...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...