Skip to main content

Posts

Showing posts from November, 2015

Post#3-84: เรียนเชิญผู้อาวุโสกว่า...ไปร่วมงาน

Post#3-84: เมื่อครู่ใหญ่นี้เอง ผมบังเอิญได้เจออดีตลูกน้องที่ Community Mall แห่งหนึ่ง, ดีใจที่น้องเข้ามาทักทายด้วยความยิ้มแย้ม พร้อมกับเอ่ยปากชวนไปงานแต่งงาน ^^ ก็รับปากน้องไปว่า ถ้ามีการ์ดมาเชิญ มีหรือที่จะไม่ไป, ยิ่งรู้ว่าน้องรักกันมาเนิ่นนาน ยิ่งอยากจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยจริงๆ สอบถามข้อมูลวันและเวลาคร่าวๆ เพื่อลงตารางนัดกันพลาดแล้ว ผมก็ขอตัว เพราะกำลังประชุมติดพันอยู่ ... เดือนนี้และเดือนหน้า ถือเป็นช่วงทองของงานแต่งงานเอาเสียจริงๆ เพราะผมได้รับเชิญมาแล้วมากกว่า 5 งาน แต่ละงานมีวิธีเชิญแขกเหรื่อที่แตกต่างกันไป...ซึ่งบางวิธีผมเองก็คิดว่ามันออกจะไม่ถูกกาลเทศะเอาเสียเลย เพราะทำให้แขกรู้สึกว่าตนด้อยความสำคัญ ที่ผมรับไม่ได้เอาจริงๆ ก็คือการเชิญแขกที่มีอาวุโสมากกว่าคู่บ่าวสาวผ่านทาง Facebook และ Line ไม่รู้สิครับ...มันให้อารมณ์ประมาณ "กรูบอกเมิงแล้ว จะมาก็มา ไม่มาก็ช่าง"...ประมาณนี้ ... ต้องออกตัวก่อนว่า ผมและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นพวก anti-technology แต่อย่างใด...หากแต่ผมคิดว่า การให้เกียรติแก่ผู้มีอาวุโสกว่าเป็นเรื่องที่ "คนไทย" ไม่ควรมองข้...

Post#3-83: ดื้อ vs เป็นตัวของตัวเอง

Post#3-83: อย่างที่ผมเคย share ไว้หลายครั้ง ว่าเด็กสมัยนี้ มีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างสูง ไม่ได้เป็นประเภทต้องคิดหรือเชื่อเหมือนพ่อหรือแม่ไปเสียทุกเรื่อง จากการถามและสังเกตครอบครัวรอบๆ ตัว ทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มันใช่...และแน่นอนว่า ลูกสาวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ไอ้ที่คาดหวังว่า บอกให้เด็กๆ เค้าทำอย่างนั้น โน้น นี้ แล้วเค้าจะทำทันที หรือทำตามที่เราบอกทุกกระเบียดนิ้วน่ะ เห็นทีว่าอาจจะเป็นไปแทบไม่ได้เอาเลยทีเดียว ... ว่ากันตามจริงแล้ว มันก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ระหว่างการเป็นตัวของตัวเอง กับการดื้อ ^^ หลังจากว่างเว้นจากการตั้งคำถามมานาน ผมก็ขอถามว่า แล้วอะไรล่ะที่ทำหน้าที่เป็นเส้นบางๆ ที่ว่านั้น...ให้เวลาคิด 5 นาทีครับ ... สำหรับผมแล้ว เส้นบางๆ นั้น มีชื่อเรียกว่า "เหตุผล" เพราะถ้าการที่เด็กเลือกจะทำตามความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจเหตุผลและความเป็นไปของผู้คนรอบข้างเลยละก็...ผมจะตีความว่า นั่นคือ "ความดื้อ" ตรงกันข้าม ถ้าการเลือกจะทำอะไรตามความต้องการของตัวเค้า แล้วมันเต็มเปี่ยมไปด้วยเหตุผลที่มี "ตรรกะ" และ "กาลเทศ...

Post#3-82: เพื่อนร่วมก๊วน

Post#3-82: เช้านี้ผมมีโอกาสไปออกรอบกับกลุ่มเพื่อนที่เคยออกรอบด้วยกันประจำทุกสัปดาห์เมื่อ 2-3 ปีก่อน...ซึ่งตามภาษากอล์ฟ เราจะเรียกว่า เป็น "เพื่อนร่วมก๊วน" นั่นเอง หลังๆ มานี้ ต่างคนต่างมีภารกิจมากมาย ก็เลยห่างๆ กันไป ได้แต่ทักทายกันทาง Line บ้าง หรือเจอกันบ้าง แต่ก็น้อยเต็มที การออกรอบครั้งนี้ จึงสำคัญกับผมมาก เพราะมันเหมือนงานคืนสู่เหย้ากลายๆ และเป็นการย้อนบรรยากาศกลับไปช่วงที่ผมเล่นกอล์ฟแล้วมีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่ง ... สำหรับผม นอกไปจากการได้อยู่กับครอบครัวแล้ว ก็มีกอล์ฟนี่แหละครับ ที่ถือได้ว่าเป็นความสุขที่สุด...และจะเป็นความสุขยิ่งกว่า หากว่าได้เล่นกอล์ฟกับคนที่เราคุ้นเคย คงเหมือนๆ กับที่สาวๆ ได้ไปเดิน shopping กับเพื่อนที่รู้ใจ ไม่ต้องคอยเกรงใจกันมาก เดินไหนเดินด้วย เข้าร้านไหนก็ว่าตามกัน ประมาณนั้น ดังนั้น การออกรอบเมื่อเช้านี้ จึงทำให้ผมเล่นกอล์ฟด้วยอารมณ์ที่สดใสมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานาน...เมื่อใจสบาย การเล่นในวันนี้ จึงถือว่าได้คะแนนดีกว่าที่เคยได้ทำได้ในช่วงปีหลังๆ ... เพื่อนที่รู้ใจ จึงนับเป็นแรงหนุนให้เราทำอะไรได้อย่างมีความสุขอย่างยิ่ง...

Post#3-81: งอนจนเกินงาม

Post#3-81: หลายต่อหลายโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น บางครั้งก็เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบแว่บเดียวจริงๆ และมากครั้งที่หลังจากปล่อยอารมณ์ชั่ววูบนั้นออกไปแล้ว กลับทำให้คนๆ นั้น ตกอยู่ในภาวะ "หาทางลงไม่ได้" จึงต้องเลยตามเลย ปล่อยตามน้ำไป...และนำพาไปสู่โศกนาฏกรรมที่ว่า โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์ที่ว่า เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ ที่มักจะไม่ยอม "เสียหน้า", อารมณ์ประมาณ "ฆ่าได้ หยามไม่ได้" ... เคยมั๊ยครับ ที่บางครั้งเพื่อนแซวเล่นๆ แต่เราดันลืมตัวโกรธเกินงาม เพื่อนมาง้อก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว ก็ยังอุตส่าห์งอนต่อ ใจจริงน่ะ ไม่ได้โกรธแล้ว แต่ act ไปงั้นเอง, และดัน act จนเพื่อนงอนและเลิกง้อ และสุดท้ายเพื่อนก็โกรธความงี่เง่าของเรา และพาลกลายเป็นโกรธกันจริงๆ ไปเลย เราเองที่งอนเกินงามไปแล้ว แทนที่จะสำนึก แต่กลับรักหน้ามากกว่าเพื่อน จะไปขอโทษขอโพยก็กลัวเสียหน้า...สุดท้ายก็เสียเพื่อน เท่านั้นยังไม่พอ...ลองคิดต่อไปว่า ถ้าใครมาถามเพื่อนเราว่า "โกรธกันทำไม" แล้วเพื่อนเล่าความจริงให้เค้าฟัง ถามว่า ใครจะเป็นฝ่ายเสียครับ? ... ก็เพราะแค่อยากจะรักษา ego ที่ไม่เข้าท่า ก็ทำให้เสียทั้งเพ...

Post#3-80: Love Me Love My Pet

Post#3-80: ระหว่างนั่งดู TV หย่อนอารมณ์ หลังจากกลับจากประชุมเคร่งเครียดมาทั้งวัน...ฉับพลัน ภรรยาของผมก็มาแจ้งข่าวไม่ดี ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า...เจ้าหมาน้อยสุดที่รักดูท่าจะไม่สบายเอาการอยู่ ผมจึงมีอันต้องระเห็จออกจากบ้าน เพื่อเป็นสารถีพาทั้งคุณเธอและคุณหมาไปหาคุณหมอ...อย่างด่วน ... ว่ากันตามจริง, ผมว่าสัตว์เลี้ยงกับเด็กทารกอยู่ในหมวดเดียวกัน ในด้านของความยากต่อการทำความเข้าใจ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะเกิดอาการ "ใบ้รับประทาน" เหมือนผม เมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ ด้วยว่าเราแยกไม่ออกเอาจริงๆ ว่า ที่ร้องไห้น่ะ จะเอาอะไรจ๊ะ? เช่นเดียวกับเวลาที่สัตว์เลี้ยงของเราเห่าหรือร้อง เราก็ได้แต่เดาว่า พี่เค้าจะเอาอะไรหรือกำลังสื่ออะไรกับเรากันหนอ? ... แม้ว่าสัตว์เลี้ยงและเด็กทารกจะมีปัจจัยร่วมบางอย่าง แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า การเลี้ยงสัตว์นั้นต่างจากการเลี้ยงเด็กมาก เลี้ยงเด็ก...วันหนึ่งเค้าก็จะเติบโตและพึ่งพาตนเองได้ แต่เลี้ยงสัตว์น่ะ...ไม่มีวันไหนที่เจ้าพวกนี้ จะพึ่งพาตัวเองได้ ดังนั้น เราจึงต้องคิดให้มากหากจะมีสัตว์เลี้ยงเข้ามาในชีวิต สัตว์เลี้ยงเป็นอะไรที่ Nice to have, ...

Post#3-79: USP

Post#3-79: USP เมื่อวานนี้ ผมมีโอกาสได้ไปประชุมกับลูกค้าใหญ่รายหนึ่ง เพื่อไปนำเสนอแผนการตลาดและแผนการขายสินค้า แน่นอนว่า ผมก็ได้รับทั้งข้อคิด, ข้อติติง และข้อเสนอแนะมากมาย จากการประชุมที่ว่า แต่หนึ่งในคำถามสำคัญที่คนค้าคนขายต้องทบทวนให้ดีก็คือ...ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าของเรา? (What is the reason to buy your product?) ... จริงๆ แล้วคำถามนี้สุดแสนจะเรียบง่าย และตรงไปตรงมา แต่ผมรับประกันได้ว่า ใครก็ตามที่ต้องมาตอบ ต่างก็บอกว่า ตอบได้ยากจริงๆ ...ค่าที่มุมมองที่เรามีต่อสินค้าของเรา กับมุมมองในฝั่งของลูกค้านั้นแตกต่างกัน... เราอาจจะคิดว่าสินค้าของเรามี "จุดขาย" ที่ดีเลิศ...ในขณะที่ลูกค้าอาจจะรู้สึกเฉยๆ กับจุดขายที่เรามี ก็เป็นได้ ... ความต่างระหว่างมุมมองของทั้งสองฝ่ายนี่แหละครับ ที่เป็นโจทย์สำคัญที่ทั้งนักการตลาดและนักขาย จะต้องตอบให้ได้ ที่ถูกแล้ว เราควรนำเสนอสินค้าแต่ในมุมที่เราอยากนำเสนอ...หรือว่าเราควรนำเสนอสินค้าในมุมที่ลูกค้าอยากได้ยิน? ถ้าตอบอย่างแรก...สินค้าของเราต้องมีความแตกต่าง (หรือที่ทางการตลาดเรียกว่า Unique Selling Proposition - USP) ในระดับสูง...

Post#3-78: สร้างภาพตอนสัมภาษณ์

Post#3-78: เมื่อเย็นที่ผ่านมา ผมแนะนำให้อดีตลูกน้องท่านหนึ่ง มาสัมภาษณ์งานกับ Partner ชาวต่างชาติของผม ผมชอบเวลาที่ฝรั่งถามคำถาม พอๆ กับชอบลุ้นว่าผู้ถูกสัมภาษณ์ชาวไทยจะตอบยังไง? ด้วยความต่างของวิธีคิดและความเข้าใจในสภาพตลาดของบ้านเรา ทำให้ผู้ตอบจะต้องคิดวิธีตอบให้ผู้ถามเข้าใจในคำตอบได้ชัดเจน และที่สำคัญต้องรวดเร็ว ทั้งนี้ เพราะความเร็วในการตอบคำถาม จะเป็นตัวกำหนดระดับความพึงพอใจของผู้ถามด้วย ... หลายครั้งที่การสัมภาษณ์งาน มักจบลงด้วยความล้มเหลว เพียงเพราะเหตุที่ผู้มาสัมภาษณ์มักมัวแต่ใช้เวลาคิดคำตอบที่ดูดีจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์งานในตำแหน่ง Junior หรือ Management, ผู้มาสัมภาษณ์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินงาม ที่จะต้องมัวมาสร้างภาพให้ตัวเองดูดีหรอกครับ เป็นตัวของตัวเองในวิธีคิด แต่ต้องแสดงออกอย่างอ่อนน้อม...ก็เท่านั้น ... อย่าลืมนะครับ ว่าการสัมภาษณ์งานแล้วผ่านน่ะ มันไม่ใช่เส้นชัย แต่เป็นแค่ปากทางเท่านั้น มัวแต่สร้างภาพให้ดูดีเกินจริง พอเริ่มทำงานแล้ว "ดีแตก" ก็มีหวังไม่ผ่านโปรฯ อยู่ดี ดังนั้น รับปากอะไรไว้ตอนสัมภาษณ์ ก็จงต้องส่งมอบในสิ่งที่รับปากไ...

Post#3-77: เจริญอนุสสติ

Post#3-77: ช่วงนี้ไปไหนมาไหน หรือเปิดสื่ออะไรก็ตาม เป็นต้องได้ยินและได้รับรู้แต่เรื่องข่าวการป่วยของคุณปอ ทฤษฎี ผมเองไม่ใช่แฟนละคร จึงไม่ค่อยรู้จักดาราหรือนักแสดงมากเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้น ก็อดไม่ได้ ที่ต้องขอเป็นอีกหนึ่งในคนไทยหลายล้านคน ที่จะส่งแรงใจไปช่วยคุณปอ จำได้เลาๆ ว่า ก่อนที่คุณปอจะป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ผมยังเห็นคุณปอให้สัมภาษณ์ผ่านรายการบันเทิงรายการหนึ่ง...แล้วแค่ 2-3 วันถัดมา ผมก็มาได้ยินว่า คุณปอป่วยหนักถึงขั้นวิกฤตเสียแล้ว ... เรื่องของคุณปอนั้น ช่วยเตือนใจเราได้เป็นอย่างดี ถึงความอนิจจังของชีวิต...วันนี้สบายดี แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะป่วยหนักหรือไม่ หรือเรื่องของคนรู้จักของผมที่เสียชีวิตอย่างกระทันหันจากอุบัติเหตุ (Post#2-146)...ที่ย้ำเตือนว่า พรุ่งนี้กับชาติหน้า ยังไม่รู้ว่าอะไรจะมาถึงก่อน ที่เค้าว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน...ก็คงเป็นแบบนี้นี่เอง ... แน่นอนว่า ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา...เราก็คงหาวิธีป้องกัน หรืออย่างน้อยก็คงหาทางผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ทันท่วงที แต่ชีวิตจริงนั้น พรหมลิขิตมิได้เอื้อให้เราทำเช่นนั้นได้เลย...และพรหมลิ...

Post#3-76: Confidence

Post#3-76: ใครๆ ก็รู้ดีว่า การจะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ นั้น เป็นเรื่องไม่ง่าย นอกเหนือไปจากจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะทำแล้ว ยังจะต้องมี Passion เป็นสำคัญด้วย ส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างที่จำเป็นจะต้องมี เพื่อให้สามารถเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ได้ ก็คือ "ความมั่นใจ" ... ความมั่นใจจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นจะต้องมีการคิด, ไตร่ตรอง และกำหนดออกมาเป็นแผนงานเสียก่อน หากแต่ถ้าความมั่นใจนั้น เกิดจาก Gut Feeling เพรยงเท่านั้น โดยไม่อาจเขียนเป็นแผนงานได้, สำหรับผมแล้ว มันออกจะเลื่อนลอยเกินไปเสียหน่อย และผมจะนิยาม การที่เราไม่มีแผนงานรองรับ Gut Feeling นั้น ว่า "ความเพ้อฝัน" เราเคยคุยกันไว้นานแล้ว ว่าเราอาจจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะลงมือ แต่หากเมื่อตัดสินใจว่าจะลงมือแล้ว จะต้องไม่มีคำว่า "ลังเล" ถ้าเราปล่อยให้ใจ "แกว่ง" แบบไม่สิ้นสุด เราก็จะไม่มีวันเริ่มอะไรได้ เพราะมัวแต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กล้าๆ กลัวๆ อยู่นั่นแล้ว ดังนั้น จงเคารพและมั่นใจในการตัดสินใจของเราเอง หากว่าเราได้ใช้เวลาในการคิดและไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่แล้ว ... ฝรั่งนิยามคำว่า ...

Post#3-75: ร่วมสังสรรค์เพื่อหยั่งคน...สนทนาเพื่อหยั่งใจ

Post#3-75: ช่วง 2 - 3 เดือนมานี้ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ จึงส่งผลให้ผมมีเหตุต้องไปร่วมสังสรรค์ร่ำสุราอยู่บ่อยครั้ง เคยคุยให้ฟังแล้วครับว่า มากต่อมากครั้ง ที่การเจรจาธุรกิจมักจะไม่ได้จบที่โต๊ะประชุม หากแต่จบเมื่อเกิดความรู้จักมักคุ้นและเกิดความสนิทกันในระดับหนึ่ง งานสังสรรค์ร่ำสุรา ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เอื้อต่อบรรยากาศที่ว่า ... หากเป็นดีลธุรกิจที่สำคัญ...ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เรามิอาจจะมองข้ามในเรื่องของ สถานที่และจังหวะในการปิดดีลธุรกิจนั้นๆ ขณะที่ยังปิดดีลไม่ได้ แต่ลูกค้าตอบรับคำเชิญมาร่วมทานมื้อเที่ยงหรือมื้อค่ำกับเรา จึงถือเป็นการเปิดโอกาสอย่างแท้จริง ระหว่างมื้ออาหาร มักเป็นช่วงที่ลูกค้าเอง ได้ใช้ในการ "หยั่ง" นิสัยใจคอ และประเมินถึงวิธีคิดของเรา ไม่ต้องมัวไปเสแสร้งแกล้งทำหรอกครับ...ถ้าเป็นดีลระดับที่ต้องมีการเชิญมานอกสถานที่แบบนี้ คนที่มาล้วนเป็นระดับที่มีวิจารณญาณในการวิเคราะห์คนมาเป็นอย่างดี ฉะนั้น จึงต้องโอภาปราศรัยด้วยน้ำใสใจจริงของเรา เปิดเผย เป็นกันเอง (แต่ไม่ใช่ตีสนิท) และที่สำคัญ ต้องคุมสติให้ดี...เผลอไผลไร้สติ เราอาจ "จบ" ได้ทันที ....

Post#3-74: ก้าวแรก

Post#3-74: Marianne Williamson (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ ชาวอเมริกัน) แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่อง ความคิด, ความกลัว และความเชื่อ ไว้ดังนี้ครับ "Nothing binds you except your thoughts. Nothing limits you except your fears. And Nothing controls you except your beliefs." แปลว่า... "ไม่มีอะไรมัดตรึงเราได้ นอกจากความคิดของเราเอง ไม่มีอะไรจำกัดเราได้ เว้นแต่มันเป็นความกลัวของเรา และไม่มีอะไรจะควบคุมเราได้ หากมันมิใช่ความเชื่อของเรา" ... จริงสินะ...หลายครั้งที่คนเรามักถูกยึดให้อยู่กับที่ เพียงเพราะความคิดหรือความกลัวของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มักจะเป็นในตอนที่เราเริ่มจะคิดจะทำอะไรที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่เชี่ยวชาญ...ทันทีนั้น ในหัวของเรามักจะมีแต่คำว่า "ถ้า" อยู่เต็มไปหมด คงเป็นอย่างที่ Marianne ว่าไว้... ถ้าความเชื่อของเราไม่มากพอ...เราก็ไม่อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ และหากเราไม่ยอมคุยกับตัวเองให้เกิดความเชื่อมั่น ความคิดแบบนี้ของเรานั่นเอง ที่จะกลายเป็นบ่วงรัดให้เราติดอยู่กับความกลัวนั้นไปเรื่อยๆ ... ก้าวแรกมักเป็นก้าวที่ยากที่สุดเสมอ.....

Post#3-73: Know Who

Post#3-73: ช่วงบ่ายวันนี้ผมมีโอกาสไปนำเสนอสินค้าใหม่ ให้กับลูกค้าท่านหนึ่ง...และที่ผมได้โอกาสดีๆ เช่นนี้ ก็เพราะรุ่นพี่ของผม ที่ทำการค้าขายกับลูกค้าท่านนี้มาอย่างยาวนาน เป็นผู้แนะนำให้ ตอนหนึ่งของการสนทนา...ลูกค้าท่านนี้พูดได้อย่างน่าฟังว่า "เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวก็เรื่องหนึ่ง...เรื่องความเป็นไปได้ทางการค้าก็อีกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่ต้องแยกออกจากกัน" ฟังแล้ว อาจดูเหมือนกับว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัว จะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะสุดท้ายก็อยู่ที่เรื่องผลประโยชน์อยู่ดี ใช่มั๊ยครับ? แต่จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า หากไม่ได้อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวแต่เก่าก่อน มีหรือที่ผมจะมีโอกาสได้มานำเสนอสินค้า โดยลัดขั้นตอนไปคุยกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจได้เลยเช่นนี้ ... ความจริงแล้ว การอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวในการเอื้อประโยชน์ในงาน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานสำหรับชาวเอเซีย...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนไทย อย่างที่เค้าเรียกว่า "Know Who" นั่นล่ะครับ การมี "Know Who" ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การใช้ "Know Who" ผิดๆ นั่นเอง ที่เป็นปัญหา ... เราใช้ ...

Post#3-72: App แต่งรูป

Post#3-72: ไม่น่าเชื่อว่า การที่ใครคนหนึ่งใช้ app ตบแต่งรูปถ่าย จะทำให้ชีวิตของผมได้รับผลกระทบได้ด้วย? เหตุเกิดเพราะ หลายวันก่อน ผมต้องไปประชุมกับลูกค้าท่านหนึ่ง...ไปถึง Office ของเธอ แล้วผมก็แจ้ง Reception ตามธรรมเนียม แต่พอโดนถามว่า "ชื่อจริงชื่ออะไร, แผนกไหนคะ?"...ผมตอบไม่ได้...ด้วยความที่เรียกกันด้วยชื่อเล่นมาตลอด เลยทำให้จำชื่อจริงไม่ได้...ผมโทรหาเธอก็ไม่รับสาย และแน่นอนว่า Line ไปก็ไม่ตอบ ... ไวเท่าความคิด, ผมตัดสินใจโชว์รูป Profile ของเธอ (ใน Line) ให้ Reception ดู...เพียงเพื่อจะได้คำตอบว่า "ไม่คุ้นเลยพี่" O_o" ทีแรกผมนึกว่าเธอแกล้งพูด แต่เธอดูรูปอยู่นาน ก็บอกผมแต่ว่า เธอไม่รู้จักจริงๆ และเธอก็อยู่บริษัทนี้มาหลายปี (เธอบอกครับ ผมไม่ได้เผือกถาม) ...ส่วนลูกค้าที่ผมไปพบ ก็เป็นระดับ Junior Management ที่ทำงานที่นี่มานานพอควรแล้วเช่นกัน ผมทำอะไรไม่ได้มากกว่ารอ...และ 15 นาทีต่อมา เธอกระหืดกระหอบออกมารับ พร้อมขอโทษขอโพยที่ไม่ได้รับสาย ส่วน Reception ทำท่าจะเอ่ยทักว่า "อ้าว...พี่เองหรอ"...ดีแต่ว่า ผมหันไปเห็นพอดี และส่งสัญญาณให้เธอเงีย...

Post#3-71: ป่วยกาย...อย่าพาลพาให้จิตป่วย

Post#3-71: ช่วงสามวันที่ผมป่วย สารภาพเลยครับว่าจิตใจมันไม่ปกติเท่าที่ควร และรู้ตัวเลยว่า ภูมิต้านทานความหงุดหงิดของผม มันลดต่ำลงถึงขีดสุด ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็คงเคยมีอารมณ์แบบนี้ เป็นอารมณ์แบบลูกโป่งที่พองลมมากๆ เรียกว่าสะกิดโดนหรือแค่แตะเบาๆ ก็แตก เวลาผมเป็นแบบนี้ ผมเลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ผมจะเลือกใช้การ Chat แทนการคุยโดยตรง ... ในยามที่สติอ่อนกำลังด้วยโรคาพยาธิทั้งหลาย ผมมักเตือนให้ตัวเองทบทวนหลายๆ รอบก่อนจะพูด จะถาม หรือจะโต้ตอบ... ดังนั้น การ chat จึงช่วยผมได้มาก เพราะขณะที่จิ้มแป้น keyboard นั้น สมองของเราจะโดนบังคับให้คิดโดยอัติโนมัติ ...และนั่นแปลว่า เรามีโอกาสที่จะทบทวนสิ่งที่เราคิด, กลั่นกรอง และแก้ไขคำพูดของเรา ก่อนจะกดส่งไป ซึ่งดีกว่าที่เราจะใช้การพูด ที่เมื่อหลุดออกไปแล้ว ก็มักจะแก้ไขไม่ได้ ... ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพก็เคยสอนไว้...ว่าถ้ารู้ว่า พูดไปแล้ว มันกลายเป็นผลลบมากกว่าผลบวก ก็สู้ไม่พูดจะดีกว่า บางครั้งคำพูดที่โดนมิจฉาอารมณ์ครอบงำ มันก็อาจจะสร้างผลเสียอันมหาศาลได้เกินกว่าที่เราจะคิดไปถึง ป่วยกา...

Post#3-70: ป่วยเพราะประมาท

Post#3-70: หลังจากกลับจากหาหมอเมื่อวานนี้แล้ว ผมรู้สึกเจียมตัวกับการเป็น "คนป่วย" อยู่เป็นอันมาก และทำให้ผมเลือกที่จะ "พัก" โดยไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนอนและนอน แม้วาจะได้พักแทบทั้งบ่ายของเมื่อวาน แต่วันนี้ ผมก็ยังงัวเงียตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เพียงเพื่อตื่นมารับฎีกาของร่างกายที่ร้องทุกข์ว่า "พักต่อเถอะ" ด้วยความอ่อนล้าที่สะสมมานาน เมื่อโดนอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจู่โจม ก็ทำให้คนเราอ่อนแอได้แบบไม่น่าเชื่อ...และอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่วันนี้กลับเป็นวันที่ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณอาการป่วยอยู่ไม่น้อย ค่าที่ว่า ถ้าไม่ป่วย ผมก็มักไม่ค่อยจะรู้จัก "หยุด" อยู่เฉยๆ บ้าง ... อาการที่ร่างกายร้องทุกข์นั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ต่างจากรอยกระเทาะของเขื่อน...และถ้าไม่รีบซ่อมแซม ก็มีหวังว่ารอยกระเทาะเล็กๆ นั้น จะนำไปสู่ความพังทลายของเขื่อนได้ในอนาคต ผมไม่เชื่ออาการร้องทุกข์ที่ว่า...ทำงานมากกว่าหยุดพัก ดังนั้นเมื่อร่างกายอ่อนแอลงเพียงเล็กน้อย รอยกระเทาะที่ว่า จึงทำให้ผมต้องมานอนอยู่แบบนี้ ผมคงใช้ชีวิตประมาทเหมือนชีวิต "มนุษย์เมือง" ส่วนใหญ่ คือคิดถึงก...

Post#3-69: ความล้มเหลวของการตลาดสร้างมูลค่า

Post#3-69: เมื่อเช้าวานนี้ ผมตื่นขึ้นพร้อมกับอาการเจ็บตาโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็คิดว่า ปล่อยไว้สักพักก็คงจะหายไปเอง ตกสาย อาการเจ็บตาผมก็ยังไม่ดีขึ้น ประเมินแล้ว คงต้องไปหาหมอถ้าจะดีกว่า...แต่ด้วยธุระปะปังพร้อมกับนัดคุยงานช่วงเย็นๆ ทำให้ผมยังไม่สามารถปลีกเวลาไปได้ แม้ว่าตื่นมาเช้าวันนี้ ผมจะรู้สึกว่าอาการเจ็บตาดีขึ้นมาก แต่ก็ไม่อยากประมาทเหมือนที่เคยปล่อยปละตัวเองในอดีต...สายๆ ของวันนี้ ผมจึงพบตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ... ธุรกิจโรงพยาบาลเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากยุคสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก จากเดิมที่มีรายได้หลักมาจากเพียงการรักษาและค่าเวชภัณฑ์...มาในปัจจุบันมีการเติมเรื่องการตลาดสร้างมูลค่าเข้ามา จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ผมไม่ได้ตำหนิในเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อยกระดับค่ารักษาและค่าบริการ แต่ผมเบื่อหน่ายในการพยายามที่เยิ่นเย้อในกระบวนการก่อนพบแพทย์ บางครั้งสิ่งที่ผู้บริหารวาดฝันไว้ กับสิ่งที่ทีมงานลงมือปฏิบัติจริงนั้น อาจจะต่างกันแบบสุดขั้วโลก...เช่นเดียวกับความพยายามจะทำให้คนไข้รู้สึกว่าได้รับการเอาใจใส่ กลับกลายเป็นการทำงานแบบขอไปที ... ยกตัวอย่างของคำถา...

Post#3-68: หาคู่เทียบให้ชีวิตก้าวหน้า

Post#3-68: แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การที่เราจะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขที่สุด ก็คือการมีชีวิตอยู่โดยไม่คิดแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับคนอื่น... แต่บางครั้งการที่เราไม่มีคู่แข่งหรือคู่เปรียบเทียบเอาเสียเลย ก็อาจจะทำให้ชีวิตเราย่ำอยู่กับที่ได้เหมือนกันครับ สำหรับผมแล้ว...ความยากของการไม่ทำให้ชีวิตเราเรื่อยเฉื่อยจนเกินไป และไม่เที่ยวอิจฉาคนอื่นจนเกินงาม จึงถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของคนเราอยู่เหมือนกัน ... หากเราเข้าใจขอบเขตของความเรื่อยเฉื่อยและความเกินงามแล้ว...การหาคู่เทียบหรือคู่แข่งให้กับชีวิต ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่แย่แต่อย่างใด ตรงกันข้าม ผมคิดว่า การหาคู่เทียบ ก็ถือเป็นสีสันให้กับชีวิตได้อย่างน่าดู เพราะถ้าเราเลือกใช้ประโยชน์จากคู่เทียบให้กลายเป็นแรงผลักดัน แล้ว...ก็จะทำให้เรามีเป้าหมายเล็กๆ ที่เราอยากจะไปให้ถึงได้ แต่เพื่อไม่ให้เราล้ำเส้นของการหาคู่เทียบไปจนเกินงาม เราจึงอาจต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่า... เราเทียบเพื่อให้เป็นเป้าหมายสำหรับการพัฒนา ไม่ใช่เพื่อการเอาชนะ ... ฟังดูอาจจะเหมือนผมพูดกำกวม แต่แท้ที่จริงแล้ว การตั้งคู่เทียบให้เป็นเป้าหมายนั้น จุดมุ่ง...

Post#3-67: ย่ำตลาดกลางกรุงย่างกุ้ง

Post#3-67: ภารกิจของผมเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้า กับการประชุมสรุปแผนงานร่วมกับลูกค้า หลังจากที่เมื่อวานใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงในการสำรวจตลาด ทุกครั้งที่ผมลงพื้นที่สำรวจตลาด ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม แม้ว่าจะต้องเหนื่อยมาก แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่แลกมาด้วยข้อมูลจริงที่หาไม่ได้จากใครอื่น แม้ว่าจะใช้ทีมสำรวจตลาดที่เชี่ยวชาญพื้นที่เพียงใดก็ตาม พวกเค้าก็ไม่อาจจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างช่องทางการขายและสินค้าของเรา ได้ดีเท่าเราอย่างแน่นอน ... สำหรับการตลาดสมัยใหม่ การลงพื้นที่จริงก่อนที่จะสรุปแผนการขายและการตลาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นการทำตลาดข้ามประเทศ... เหตุเพราะแผนที่วางไว้นั้น จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติหรือไม่ เราก็จะได้ทดสอบในขั้นนี้นี่เอง...อย่าลืมว่าแผนการตลาดที่เคยสำเร็จในประเทศหนึ่ง อาจจะใช้ได้ดีเหมือนกัน หรืออาจจะใช้ไม่ได้เลย ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น น่าเสียดายที่หลายๆ บริษัทฯ ที่ไปทำตลาดในต่างประเทศ มักจะละเลยรายละเอียดในขั้นตอนนี้ โดยอาศัยเพียงคำแนะนำจาก Distributor หรือ Partner มากกว่าจะลงพื้นที่จริง ... ถึงตรงนี้ ก็ยังไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่า ทุ...

Post#3-66: เมียนมาร์อีกครา

Post#3-66: ผมพบตัวเองอยู่ที่กรุงย่างกุ้งอีกครั้ง เพื่อมาร่วมประชุมกับลูกค้า เพื่อที่จะช่วยกันวางแผนการตลาดและการขาย อาจจะฟังดูแปลกๆ หน่อย นะครับ ที่ผมจะบอกว่า ผู้คนที่ประเทศนี้ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ผมรู้สึกว่า พวกเค้ามีความเอื้อเฟื้อและถ้อยทีถ้อยอาศัยมากกว่าประเทศอื่นๆ แน่นอนว่า ผมไม่ได้สังเกตจากแค่คนใกล้ๆ ตัวที่ทำธุรกิจอยู่ด้วยกันเท่านั้น หากแต่ผมหมายรวมถึงผู้คนที่ผมเฝ้าสังเกตขณะออกสำรวจตลาดมาทั้งวัน ... แม้ว่าเจ้าของร้านจะยุ่งอยู่กับการขายของ แต่ทุกๆ ร้านที่ผมไปเยี่ยมเยียน ไม่มีการหน้าบึ้งหน้างอใส่ ต่างก็ทักทายโอภาปราศรัย และยินดีให้ข้อมูลและตอบคำถามโดยไม่เกี่ยงงอน เวลาพวกเค้าสนทนากับทีมผม ผมรู้สึกได้เลยว่า พวกเค้าตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เราถามมากๆ ทั้งสบตาและพยักหน้าเป็นพักๆ ผมมาที่กรุงย่างกุ้งนี้ แม้ไม่ถี่แต่ก็เรียกว่าไม่น้อยครั้ง และทุกครั้งผมก็รู้สึกว่าผู้คนที่นี่น่ารักเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ... ถ้าเทียบความเจริญแล้ว กรุงย่างกุ้งอาจเทียบกับบ้านเราไม่ได้...แต่ถ้าเทียบความเอื้อเฟื้อและโอภาปราศรัยแล้ว ผมต้องขอโทษที่จะต้องบอกว่า บ้านเราเทียบที่นี่ไม่ได้เลย ในปร...

Post#3-65: ไล่บี้

Post#3-65: เคยโดนถามคำถามแบบ "ไล่บี้" จนโกรธมั๊ยครับ? ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ทั้งเคยถูกไล่บี้จนโกรธ กับไล่เบี้ยจนอีกฝ่ายโกรธมาแล้ว อย่าพึ่งโกรธนะครับ...ถ้าผมจะถามว่า "แล้วทำไมจะต้องโกรธด้วยล่ะ?" ผมให้เวลาลองค้นหาคำตอบดูครับ...3 นาที พอมั๊ยเอ่ย? ... จากประสบการณ์ของผมเองแล้ว...เวลาที่เราโกรธเพราะโดนไล่บี้ เกิดจากแค่ 2 สาเหตุ สาเหตุที่หนึ่ง...คือคนถามนั้น ถามแบบจงใจจะหาเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยท่าทาง, น้ำเสียง, แววตา หรือไม่ก็รูปแบบของคำถาม ส่วนสาเหตุที่สอง...เกิดจากคำถามที่ถามมานั้น เราตอบไม่ได้...และโดยมากเกิดจากเราไม่แม่นในรายละเอียดของงาน ดังนั้น เมื่อโดนไล่บี้ลงในรายละเอียดแล้ว เราจึงมักเกิดความขุ่นมัวในอารมณ์ จนกลายเป็นโกรธในที่สุด ... ถามต่อว่า...วิธีแก้ปัญหาจากสาเหตุแรก ต้องทำยังไง...ข้อนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่า คนถามมีเจตนาอะไร แต่สำหรับสาเหตุที่สองนั้น...ผมเชื่อว่า ทุกคนคงพอจะตอบได้ครับ... ใช่แล้วครับ...ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด ลงรายละเอียดและใส่ใจในสิ่งที่ทำ...อะไรที่ตอบไม่ได้ เพราะยังลงรายละเอียดไม่พอ ก็ต้องกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม ป...

Post#3-64: คุณธรรมแห่งเล่าปี่

Post#3-64: หนึ่งในฮ่องเต้ที่ชาวจีนจดจำชื่อได้อย่างขึ้นใจ ย่อมต้องมีชื่อ "พระเจ้าเล่าปี่" อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ใครที่ได้เคยอ่านสามก๊กคงรู้ดีถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของเล่าปี่เป็นอย่างดี...นั่นก็คือเรื่อง "คุณธรรม" เล่าปี่ชนะใจคนได้ก็เพราะขึ้นชื่อเรื่อง "คุณธรรม" ในขณะเดียวกันเล่าปี่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานมามาก รบแพ้มากกว่ารบชนะ ก็เพราะคุณธรรมเช่นกัน ... ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในเรื่องคุณธรรมของเล่าปี่ที่ทำให้ชนะและแพ้...เพราะอยากให้ไปอ่านเอาเองจะได้อรรถรสมากกว่า ในที่นี้ จึงอยากจะขอยกวาทะของเล่าปี่ ที่ผมถือว่าเป็นสุดยอดคำสอนที่บ่งบอกถึงธาตุแท้ของเล่าปี่ได้เป็นอย่างดียิ่ง มิพักต้องไปมัวกังวลอยู่ว่า เล่าปี่พูดไว้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำพูดของหลอกว้านจง ที่จงใจแต่งขึ้นเพื่อให้เล่าปี่ดูดี...ผมอยากให้ใส่ใจถึงเนื้อหาในวาทะนั้นเป็นสำคัญนะครับ ... หลังจากตรอมใจเพราะรบแพ้ลกซุน ในสงครามแก้แค้นให้กับกวนอูและเตียวหุย เล่าปี่ก็ไปป่วยอยู่ที่เมืองเป๊กเสีย ก่อนตาย เล่าปี่จึงได้กล่าววาทะนี้ไว้ เพื่อเป็นคำสั่งเสียให้กับอาเต๊า (หรือพระเจ้าเล่าเสี้ยน) ว่า...

Post#3-63: Surprise!

Post#3-63: หลายวันก่อน ผมฝากให้เพื่อนคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ P ก็แล้วกันนะครับ) ช่วยคิดหาวิธี surprise เพื่อนของเราอีกคน ในงานเลี้ยง สารภาพตามตรงว่า จริงๆ แล้ว ถ้าผมคิดเองก็คงคิดได้ แต่ตอนที่ฝากให้คุณ P คิดน่ะ ผมประเมินเอาเองว่า ผู้หญิงด้วยกันน่าจะรู้ใจกันมากกว่า ว่าแล้ว ผมก็ไม่ได้คิดเรื่องแผนการ surprise อะไรที่ว่าอีกเลย...จนกระทั่งมาถึงเช้าวันงาน... ระหว่างผมกำลังออกรอบตีกอล์ฟอยู่กับผู้ใหญ่อยู่นั้น...ฉับพลัน ก็มี message จากคุณ P ส่งมาบาดหัวใจผมว่า "คิดไม่ออกว่าจะ surprise ยังไงดี?" ... ผมอึ้งไปประมาณ 2 วินาที...แว่บแรกก็โทษตัวเองก่อนเลยว่า ทำไมประมาทและทิ้งให้เป็นภาระของคุณ P เพียงลำพัง แว่บที่สอง ก็แอบงอนเล็กน้อยว่า ทำไมมาบอกเอาวันนี้ว้าาาาา...แล้วผมก็อยู่ในระหว่างออกรอบกับผู้ใหญ่ จะจัดการอะไรก็ไม่ถนัดเอาเสียเลย สุดท้ายผมก็ปลงว่า คืนนี้ก็คงไม่มี surprise อะไร...เอาน่า อย่างน้อยก็ยังมีงานเลี้ยงอยู่ คงไม่มีอะไรกระทบกับเจ้าของวันเกิด ... หลังปลงได้...ผมก็ตัดใจเรื่องการทำ surprise แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า คุณ P คิดเรื่อง surprise ไม่ออกเอาจริงๆ หรือว่าจริงๆ แล...

Post#3-62: A matter of choice

Post#3-62: ให้บังเอิญไปเจอวาทะนี้เข้าให้ครับ...อ่านแล้วถูกใจเหลือหลาย และที่สำคัญเอาไป apply ต่อได้อีกยาวเลย Vin Diesel ว่าไว้แบบนี้ครับ... "Being male is a matter of birth. Being a man is a matter of age. But being a gentleman is a matter of choice." แปลว่า "การเป็นเพศผู้นั้น ขึ้นอยู่กับการกำเนิด การเป็นผู้ชายนั้น ขึ้นอยู่กับอายุ แต่การเป็นสุภาพบุรุษนั้น เป็นทางเลือกของเรา" ... อ่านหนแรกผมแทบไม่เชื่อว่า นี่เป็นคำพูดของนักแสดง...ค่าที่ว่า สำหรับผมแล้ว วาทะนี้มันลึกซึ้งและสอนใจได้ดีพอๆ กับคำสอนแห่งผู้ทรงศีลเลยทีเดียว นั่นสิครับ...เกิดเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย ก็เป็นเรื่องธรรมชาติจัดสรร, เติบโตขึ้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของระยะเวลาที่ทำให้เรามีสรีระที่เปลี่ยนแปลงจากเด็กชายหรือเด็กหญิง แต่การที่จะเป็น "สุภาพบุรุษ" หรือ "สุภาพสตรี" ได้นั้น...หาใช่เรื่องของธรรมชาติจัดสรรไม่ หากแต่เป็น "วิถีทาง" ที่เราล้วนต้องเลือกที่จะคิดและปฏิบัติ...เท่านั้น และเมื่อคิดได้และปฏิบัติจนเป็นจริยวัตร...ผู้ชายหรือผู้หญิงโดยเพศสภา...

Post#3-61: สายใยแห่งมิตรภาพ

Post#3-61: ค่ำคืนนี้ ผมมีโอกาสได้พบหน้าน้องๆ เกือบ 20 ชีวิต ซึ่งล้วนแต่เคยทำงานร่วมกันมา เป็นการนัดทานข้าวและสรวลเสเฮฮาแบบไม่ต้องคาดหวังนานาสาระใดๆ ทั้งสิ้น...และเป็นการชวนกันมาโดยผ่าน Social Network โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย ใครใคร่มาก็มา, ใครว่างก็เชิญ, ใครไม่ว่างก็ไม่ซีเรียส, ใครบอกว่าจะมาแต่ฝ่ารถติดไม่ไหว ก็ไม่ว่ากัน, ใครติดธุระกระทันหันก็เข้าใจ รวมความแล้ว ก็นัดกันแบบสบายๆ ก็เลยไม่รู้จะเคร่งเครียดไปหาอะไร :) ... ผมเชื่อว่า การได้พบเจอคนที่เรารู้สึกดีๆ ด้วย ล้วนเป็นหนึ่งในความปรีดาของชีวิต... ผมชอบบรรยากาศของการพูดคุยข้ามกันไปมา คุยกับคนทางซ้ายนิด คุยกับคนทางขวาหน่อย ใครใคร่ร้องก็ร้อง, ใครอยากทานก็ทาน, ใครอยากร้องเพลงก็เชิญตามสะดวก ...มันเป็นอารมณ์แบบคุยโขมงโฉงเฉง ไร้ระเบียบ แต่มันเป็นการพูดคุยและไต่ถามสารทุกข์สุกดิบในแบบที่อบอุ่นและเป็นกันเอง...ที่สำคัญเราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคิดถึงในกันและกันได้จริงๆ มันเป็นการพบปะสังสรรค์ที่ทำให้ "ความคิดถึง" กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม ... สายใยแห่งมิตรภาพนั้นบางเบาและโปร่งใส มองไม่เห็นด้วยตาเปล่...

Post#3-60: ทำงานแบบ รปภ.

Post#3-60: บ่อยครั้ง ที่ผมจะพูดถึงผู้คนส่วนหนึ่ง (ซึ่งบังเอิญว่าเป็นส่วนใหญ่) ที่มักจะทำงานแบบมุ่งเน้นกระบวนการแต่ไม่ใส่ใจผลลัพธ์...หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกทำงานแบบ "มักง่าย" นั่นล่ะครับ พวกเค้าเหล่านั้น จะไม่ได้สนใจเลย ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น จะทำให้ผลลัพธ์เบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่า ถ้าผมพบว่าลูกน้องทำงานแบบขอไปทีครั้งใด เป็นที่รู้กันว่า ต้องโดนผมเรียกเข้า "ห้องเย็น" เป็นแน่ แม้กระทั่ง ถ้าผมพบว่า ตัวเองหลงลืมหรือไม่ได้ใส่ใจเพียงพอต่อผลลัพธ์ ผมก็จะโกรธตัวเองมากเช่นกัน ... ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการทำงานแบบไม่ใส่ใจผลลัพธ์ ก็คือการทำงานแบบ "รปภ." ตามจุดตรวจทั้งหลาย น่าเสียดายที่ผมต้องบอกว่า เกือบจะร้อยละร้อยของ รปภ. ตามจุดตรวจ ทำงานแบบนี้จริงๆ และต้องขออภัยที่ผมจะต้องบอกว่า ผมชิงชังการทำงานแบบนี้ เป็นอย่างมาก เหตุเพราะผลพวงจากการทำงานแบบนี้ นอกจากไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุอีกด้วย ลองยกตัวอย่างดูมั๊ยครับ... 1.ตาม BTS และ MRT: ขอตรวจกระเป๋า แต่กระเป๋ามีเป็น 10 ช่...

Post#3-59: ตามหาความสำเร็จ?

Post#3-59: หนึ่งในปัญหาของใครหลายๆ คนบนโลก ก็คือการดิ้นรนไขว่คว้าและแสวงหาความสำเร็จ แต่พวกเค้าอาจจะหลงลืมไปว่า "ความสำเร็จ" นั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องตามหา...หากแต่เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้นเองต่างหาก คราวนี้ เราต้องทำยังไงล่ะ ถึงจะรู้ว่า เราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง? ... ต้องบอกว่า คำถามนี้ ตอบยากครับ...เพราะแต่ละคนก็คงมีนิยามและภาพลักษณ์ของ "ความสำเร็จ" แตกต่างกันออกไป... ความสำเร็จของเราที่เราอาจมองว่ามันยิ่งใหญ่ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเหลือเกินถ้าไปเทียบกับความสำเร็จของคนอื่น ในทำนองเดียวกัน เรื่องจิ๊บจ๊อยของเรา มันอาจกลายเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับใครอีกหลายๆ คน พักไว้ตรงนี้เดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวกลับมาคุยต่อ ... จะว่าไปแล้ว มิติของการนิยามและจินตนาการให้เห็นภาพลักษณ์ของ "ความสำเร็จ" ก็ไม่ต่างไปจากการให้นิยามของ "ปัญหา" นั่นเอง เรื่องบางเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก...แต่กับสำหรับใครอีกหลายคน เค้าอาจไม่มองว่ามันเป็นปัญหาเสียด้วยซ้ำ เช่นเดียวกันกับที่ปัญหาของใครหลายๆ คน สำหรับเราอาจจะกลายเป็นเรื่อ...

Post#3-58: I wish I did that...

Post#3-58: จำได้ว่าผมเคยชวนคุยถึงเรื่อง "ลองแล้วเจ็บใจ ดีกว่าเจ็บใจที่ไม่ได้ลอง" ไว้อย่างต่ำๆ ก็ 2 ครั้ง สำหรับปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆ ไปนั้น เรื่องแบบนี้ ถือเป็นปัญหาโลกแตกอยู่ไม่น้อย เพราะมักจะมีบททดสอบมาถามเราอยู่เสมอว่า...จะทำดีหรือไม่ทำดีกว่า? อ้อ! ในที่นี้เราคุยกันเฉพาะถึงเรื่องการตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมและกฎหมายนะครับ แล้วก็เป็นเรื่องการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา โดยที่ไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อคนอื่นๆ ... หลายต่อหลายครั้ง ที่ ณ ตอนที่เราต้องตัดสินใจนั้น เราไม่มั่นใจและเต็มไปด้วยความลังเล...ลงท้ายเลยกลายเป็นการปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไปโดยไม่ได้ลงมือ ไม่มีใครบอกได้หรอกครับ...ว่าถ้าเลือกทำสิ่งนั้นแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นยังไงนะ? รู้แต่ว่า...ถ้าเลือกไม่ทำแล้วดีกว่าล่ะก็...ป่านนี้เราคงไม่ต้องมานั่งคาใจถามคำถามตัวเองอยู่แบบนี้แน่ๆ ... ฝรั่งพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างน่าคิดตาม ไว้แบบนี้ครับ... "It's better to look back on life and say: "I can't believe I did that." than to say: "I wish I did that."" แปลว่า "ม...

Post#3-57: วันแรกของวันที่เหลือ

Post#3-57: ถ้าคนไทยเรามีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี ก็แปลง่ายๆ ว่าใครอายุเกินกว่า 38 ปี ก็ต้องเริ่มต้นนับถอยหลังได้แล้ว เปล่าครับ ผมไม่ได้จะมาชวนคุยให้เสียกำลังใจ...เพียงแค่จะบอกว่า ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืนยาวนักหรอกครับ ทำงานเพลินๆ เผลอแว่บเดียวก็จะสิ้นปีแล้ว, ทำนั่น นู่น นี่ เผลอแว่บเดียว ผ่านไปอีก 5 ปี... บางคนทำงานย่ำอยู่กับที่ เงินเดือนน่ะขยับ แต่ตำแหน่งไม่เขยื้อน, มีชีวิตไปวันๆ ไล่ตามความฝันให้คนอื่นไปเรื่อยๆ บางคนลาออกมาอย่างมีอุดมการณ์ ต้องการไล่คว้าความฝันของตัวเอง...เพียงแต่ไม่เคยรู้จักการเตรียมการและวางแผนให้ดี จึงไม่อาจแปรเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงได้ ... ผมไม่ได้กลัวการเป็นเจ้าของกิจการ พอๆ กับที่ไม่เคยชิงชังความเป็นมนุษย์เงินเดือนเลยครับ เพียงแต่บางครั้งผมก็มีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการหรือมนุษย์เงินเดือน...เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะประมาทได้ เจ้าของกิจการที่ปล่อยปละ...นอกจากทำให้ชีวิตตัวเองพังแล้ว ยังผลให้ลูกน้องพากันเดือดร้อนตามกันไปด้วย มนุษย์เงินเดือนที่เฉื่อยแฉะ...นอกจากถ่วงความเจริญของตัวเองแล้ว ยังส่งผลให้องค์กรของตัวเองย่ำแย่ไปด้วย ... ถ้...

Post#3-56: ครอบครัวที่สองของชีวิต

Post#3-56: บ่ายวันนี้ ผมถามลูกน้องคนหนึ่งว่า "มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?" เหตุเพราะสีหน้าเธอดูเหนื่อยหน่ายเสียเหลือเกิน ถามครั้งแรก เธอตอบว่าไม่มีอะไร ผมก็เลยทิ้งระยะไปพักใหญ่ๆ คราวนี้ ผมเปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ถามต่อหน้าแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นถามผ่าน LINE แทน ... คำตอบก็เป็นอย่างที่ผมคาด ก็คือเธอมีเรื่องหงุดหงิดใจอยู่นิดหน่อย เกี่ยวกับวิธีการทำงานของเพื่อนร่วมงาน ผมลงไปช่วยอะไรเธอไม่ได้ เพราะจะทำให้สูญเสียความเป็นกลางไป...แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า ใครทำงานเป็นยังไง? ได้แต่ปลอบใจเธอว่า "นี่แหละชีวิตจริง" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเป็นชีวิตจริงของการทำงาน ที่บางครั้งหาความยุติธรรมและความเข้าใจระหว่างเพื่อนร่วมงานได้ยาก ... สำคัญที่สุดที่ผมสอนเธอ ก็คือ "อายุ" ไม่ใช่ตัวบ่งบอกว่า ใครมีอำนาจเหนือใคร เพราะพวก "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" นั้น มีอยู่ทุกสังคมและทุกองค์กร ผิดหรือถูก วัดจากหน้าที่และความรับผิดชอบในงาน ไม่ใช่ว่าใครอาวุโสมากกว่า แล้วจะนำมาเป็นข้ออ้างที่จะข่มเด็กๆ ได้ หรือใช่ว่า ถือว่าสนิทกัน จะเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานยังไงก็ได้...แล้...

Post#3-55: ความเพียรแห่งต้นหญ้าและสายธาร

Post#3-55: ผมคาดว่าคนไทยเกือบจะทุกคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "พระมหาชนก" อันเป็นหนึ่งในทศชาดกที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรดทรงแปลให้ชาวไทยไว้นานมาแล้ว โดยสรุปแล้ว แก่นของเรื่อง สอนใจเราให้ไม่ย้อท้อในการเพียรพยายาม ผู้เฒ่าผู่แก่เองก็เคยสอนไว้...ส่วนใหญ่ของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้เกิดจากว่าเค้าคนนั้นเป็นคนไร้ฝีมือ หากแต่เป็นเพราะเค้าไร้ความเพียรพยายาม ต่างหาก ... เคยได้ยินเพลง "รอ" มั๊ยครับ...มีท่อนหนึ่งของเพลงว่าไว้ว่า "น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน..." (ขออภัยครับ...เพลงนี้เก่ามาก เก่าประมาณไม่น้อยกว่า 30 กว่าปีที่แล้วแน่ๆ) ส่วนฝรั่งเองก็มีคำสอนประมาณนี้เหมือนกันครับ...เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ "A river cuts through rock, not because of its power, but because of its persistence." ก็แปลได้ว่า "สายน้ำสามารถเจาะผ่านหินผาได้, หาใช่เพราะกำลัง, หากแต่เป็นความไม่ย่อท้อของมัน ต่างหาก" ... โดยส่วนตัวแล้ว...ผมไม่ค่อยเชื่อหรือศรัทธากับความสำเร็จแบบที่ไม่ต้องลงมือเอาเสียเลย ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่า...แต...