Skip to main content

Post#3-84: เรียนเชิญผู้อาวุโสกว่า...ไปร่วมงาน

Post#3-84:
เมื่อครู่ใหญ่นี้เอง ผมบังเอิญได้เจออดีตลูกน้องที่ Community Mall แห่งหนึ่ง, ดีใจที่น้องเข้ามาทักทายด้วยความยิ้มแย้ม พร้อมกับเอ่ยปากชวนไปงานแต่งงาน ^^

ก็รับปากน้องไปว่า ถ้ามีการ์ดมาเชิญ มีหรือที่จะไม่ไป, ยิ่งรู้ว่าน้องรักกันมาเนิ่นนาน ยิ่งอยากจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยจริงๆ

สอบถามข้อมูลวันและเวลาคร่าวๆ เพื่อลงตารางนัดกันพลาดแล้ว ผมก็ขอตัว เพราะกำลังประชุมติดพันอยู่

...

เดือนนี้และเดือนหน้า ถือเป็นช่วงทองของงานแต่งงานเอาเสียจริงๆ เพราะผมได้รับเชิญมาแล้วมากกว่า 5 งาน

แต่ละงานมีวิธีเชิญแขกเหรื่อที่แตกต่างกันไป...ซึ่งบางวิธีผมเองก็คิดว่ามันออกจะไม่ถูกกาลเทศะเอาเสียเลย เพราะทำให้แขกรู้สึกว่าตนด้อยความสำคัญ

ที่ผมรับไม่ได้เอาจริงๆ ก็คือการเชิญแขกที่มีอาวุโสมากกว่าคู่บ่าวสาวผ่านทาง Facebook และ Line

ไม่รู้สิครับ...มันให้อารมณ์ประมาณ "กรูบอกเมิงแล้ว จะมาก็มา ไม่มาก็ช่าง"...ประมาณนี้

...

ต้องออกตัวก่อนว่า ผมและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นพวก anti-technology แต่อย่างใด...หากแต่ผมคิดว่า การให้เกียรติแก่ผู้มีอาวุโสกว่าเป็นเรื่องที่ "คนไทย" ไม่ควรมองข้ามและละเลย

ด้วยสภาพการณ์หลายๆ อย่าง อาจทำให้คู่บ่าว-สาว ไปเชิญแขกด้วยตัวเองทั้งหมดไม่ได้...แต่อย่างน้อย การต่อสายไปเรียนเชิญ คงไม่น่าจะยากจนเกินไปนัก

ถ้าไม่คิดจะให้เกียรติตอนที่จะเชิญผู้ใหญ่...ทำไมถึงคิดจะต่อว่าเมื่อผู้ใหญ่ท่านไม่มาร่วมงาน?

...

ไม่เฉพาะกับงานแต่งงานเท่านั้นนะครับ...งานอะไรก็ตามที่ต้องเชิญผู้มีอาวุโสมากกว่าเจ้าภาพ...ผมก็คิดว่า ผู้มีอาวุโสน้อยกว่า ต้องเลือกวิธีการเรียนเชิญ "ผู้ใหญ่" อย่างเหมาะสม

ความทันสมัยของ Technology กับความรู้คิดในเรื่องกาลเทศะนั้น ไม่จำเป็นต้องสวนทางกันครับ...อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้นจริงๆ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...