Post#3-57:
ถ้าคนไทยเรามีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี ก็แปลง่ายๆ ว่าใครอายุเกินกว่า 38 ปี ก็ต้องเริ่มต้นนับถอยหลังได้แล้ว
เปล่าครับ ผมไม่ได้จะมาชวนคุยให้เสียกำลังใจ...เพียงแค่จะบอกว่า ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืนยาวนักหรอกครับ
ทำงานเพลินๆ เผลอแว่บเดียวก็จะสิ้นปีแล้ว, ทำนั่น นู่น นี่ เผลอแว่บเดียว ผ่านไปอีก 5 ปี...
บางคนทำงานย่ำอยู่กับที่ เงินเดือนน่ะขยับ แต่ตำแหน่งไม่เขยื้อน, มีชีวิตไปวันๆ ไล่ตามความฝันให้คนอื่นไปเรื่อยๆ
บางคนลาออกมาอย่างมีอุดมการณ์ ต้องการไล่คว้าความฝันของตัวเอง...เพียงแต่ไม่เคยรู้จักการเตรียมการและวางแผนให้ดี จึงไม่อาจแปรเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงได้
...
ผมไม่ได้กลัวการเป็นเจ้าของกิจการ พอๆ กับที่ไม่เคยชิงชังความเป็นมนุษย์เงินเดือนเลยครับ
เพียงแต่บางครั้งผมก็มีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการหรือมนุษย์เงินเดือน...เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะประมาทได้
เจ้าของกิจการที่ปล่อยปละ...นอกจากทำให้ชีวิตตัวเองพังแล้ว ยังผลให้ลูกน้องพากันเดือดร้อนตามกันไปด้วย
มนุษย์เงินเดือนที่เฉื่อยแฉะ...นอกจากถ่วงความเจริญของตัวเองแล้ว ยังส่งผลให้องค์กรของตัวเองย่ำแย่ไปด้วย
...
ถ้าชีวิตทำงานสิ้นสุดลงที่อายุ 60 ปี แล้วเราเริ่มลงสู่สมรภูมิชีวิตตอนอายุประมาณ 22 ปี...ก็แปลว่า เรามีเวลาประมาณ 38 ปีในการทำงาน
ถ้า 22 ปีแรกของชีวิต เราต้องแบมือขอเงินจากคนอื่น...
อีก 10 ปีต่อมา ก็เป็นเวลาที่เราอาจจะลั้ลลาสำมะเลเทเมา ไม่ต้องดูแลใครมากไปกว่าดูแลตัวเอง
ถ้าเป็นไปตามค่าเฉลี่ย แต่งงานประมาณอายุ 30 ก็แปลว่าต้องใช้เวลาอีก 20 ปีในการดูแลครอบครัวและลูก
จากนั้นก็เหลือเวลาอีก 15 ปี หลังเกษียณ...
...
หลังเกษียณแล้ว...ชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เตรียมตัวไว้อย่างไร?
จะเป็นคนแก่ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน...จะเป็นคนแก่ที่แค่พึ่งพาตัวเองได้...หรือจะเป็นคนแก่ที่ต้องพึ่งพาลูกหลาน
อยู่ที่เราเป็นคนเลือกทั้งสิ้นครับ...และถ้าเริ่มต้นคิดได้เร็ว ก็มีเวลาเตรียมตัวนานขึ้น
...
วันที่เราอายุ 20 ต้นๆ...เราคงไม่ยี่หระกับอนาคตสักเท่าไหร่
วันที่เราก้าวขึ้นสู่เลข 3 นำหน้า...อนาคตจะมาเคาะประตูเรียกเราบ่อยขึ้น
วันที่เราเลยหลักสี่ไปแล้ว...นั่นแปลว่าเวลาที่เหลืออยู่น้อยกว่าเวลาที่ใช้ไปแล้ว
เราจะใช้ "วันแรกของวันที่เหลือ" อย่างไร?...เราคงต้องถามตัวเองให้ดีแล้วล่ะครับ
...
ถึงตรงนี้...ผมฝากเตือนไว้ว่า ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด...การเตรียมตัวไปสู่วันที่เหลือ...หาใช่แค่การเตรียมฐานะให้ถึงพร้อมเท่านั้น
หากแต่ต้องเตรียมตัวเราให้ถึงพร้อมทั้งประสบการณ์, คุณธรรม และบารมี
ไม่งั้นผมก็นึกไม่ออก...ว่าถึงวันท้ายๆ ของชีวิตขึ้นมาจริงๆ...หากแม้วันนั้นจะมีเงินทองมากพอที่จะจุนเจือพวกเค้า...
แต่แล้ว เราจะเอาอะไรมาสั่งสอนลูกหลาน?
Cr: วันแรกของวันที่เหลือ โดยคุณวินทร์ เลียววาริณ - กวีซีไรท์และนักเขียนในดวงใจของใครหลายๆ คน (แน่นอนว่า รวมถึงผมด้วยครับ)
#เตือนตัวเองในวันที่อายุครบสี่สิบ
#ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่จนวันนี้มาถึง
ถ้าคนไทยเรามีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี ก็แปลง่ายๆ ว่าใครอายุเกินกว่า 38 ปี ก็ต้องเริ่มต้นนับถอยหลังได้แล้ว
เปล่าครับ ผมไม่ได้จะมาชวนคุยให้เสียกำลังใจ...เพียงแค่จะบอกว่า ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืนยาวนักหรอกครับ
ทำงานเพลินๆ เผลอแว่บเดียวก็จะสิ้นปีแล้ว, ทำนั่น นู่น นี่ เผลอแว่บเดียว ผ่านไปอีก 5 ปี...
บางคนทำงานย่ำอยู่กับที่ เงินเดือนน่ะขยับ แต่ตำแหน่งไม่เขยื้อน, มีชีวิตไปวันๆ ไล่ตามความฝันให้คนอื่นไปเรื่อยๆ
บางคนลาออกมาอย่างมีอุดมการณ์ ต้องการไล่คว้าความฝันของตัวเอง...เพียงแต่ไม่เคยรู้จักการเตรียมการและวางแผนให้ดี จึงไม่อาจแปรเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงได้
...
ผมไม่ได้กลัวการเป็นเจ้าของกิจการ พอๆ กับที่ไม่เคยชิงชังความเป็นมนุษย์เงินเดือนเลยครับ
เพียงแต่บางครั้งผมก็มีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการหรือมนุษย์เงินเดือน...เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะประมาทได้
เจ้าของกิจการที่ปล่อยปละ...นอกจากทำให้ชีวิตตัวเองพังแล้ว ยังผลให้ลูกน้องพากันเดือดร้อนตามกันไปด้วย
มนุษย์เงินเดือนที่เฉื่อยแฉะ...นอกจากถ่วงความเจริญของตัวเองแล้ว ยังส่งผลให้องค์กรของตัวเองย่ำแย่ไปด้วย
...
ถ้าชีวิตทำงานสิ้นสุดลงที่อายุ 60 ปี แล้วเราเริ่มลงสู่สมรภูมิชีวิตตอนอายุประมาณ 22 ปี...ก็แปลว่า เรามีเวลาประมาณ 38 ปีในการทำงาน
ถ้า 22 ปีแรกของชีวิต เราต้องแบมือขอเงินจากคนอื่น...
อีก 10 ปีต่อมา ก็เป็นเวลาที่เราอาจจะลั้ลลาสำมะเลเทเมา ไม่ต้องดูแลใครมากไปกว่าดูแลตัวเอง
ถ้าเป็นไปตามค่าเฉลี่ย แต่งงานประมาณอายุ 30 ก็แปลว่าต้องใช้เวลาอีก 20 ปีในการดูแลครอบครัวและลูก
จากนั้นก็เหลือเวลาอีก 15 ปี หลังเกษียณ...
...
หลังเกษียณแล้ว...ชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เตรียมตัวไว้อย่างไร?
จะเป็นคนแก่ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน...จะเป็นคนแก่ที่แค่พึ่งพาตัวเองได้...หรือจะเป็นคนแก่ที่ต้องพึ่งพาลูกหลาน
อยู่ที่เราเป็นคนเลือกทั้งสิ้นครับ...และถ้าเริ่มต้นคิดได้เร็ว ก็มีเวลาเตรียมตัวนานขึ้น
...
วันที่เราอายุ 20 ต้นๆ...เราคงไม่ยี่หระกับอนาคตสักเท่าไหร่
วันที่เราก้าวขึ้นสู่เลข 3 นำหน้า...อนาคตจะมาเคาะประตูเรียกเราบ่อยขึ้น
วันที่เราเลยหลักสี่ไปแล้ว...นั่นแปลว่าเวลาที่เหลืออยู่น้อยกว่าเวลาที่ใช้ไปแล้ว
เราจะใช้ "วันแรกของวันที่เหลือ" อย่างไร?...เราคงต้องถามตัวเองให้ดีแล้วล่ะครับ
...
ถึงตรงนี้...ผมฝากเตือนไว้ว่า ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด...การเตรียมตัวไปสู่วันที่เหลือ...หาใช่แค่การเตรียมฐานะให้ถึงพร้อมเท่านั้น
หากแต่ต้องเตรียมตัวเราให้ถึงพร้อมทั้งประสบการณ์, คุณธรรม และบารมี
ไม่งั้นผมก็นึกไม่ออก...ว่าถึงวันท้ายๆ ของชีวิตขึ้นมาจริงๆ...หากแม้วันนั้นจะมีเงินทองมากพอที่จะจุนเจือพวกเค้า...
แต่แล้ว เราจะเอาอะไรมาสั่งสอนลูกหลาน?
Cr: วันแรกของวันที่เหลือ โดยคุณวินทร์ เลียววาริณ - กวีซีไรท์และนักเขียนในดวงใจของใครหลายๆ คน (แน่นอนว่า รวมถึงผมด้วยครับ)
#เตือนตัวเองในวันที่อายุครบสี่สิบ
#ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่จนวันนี้มาถึง
Comments
Post a Comment