Skip to main content

Post#3-60: ทำงานแบบ รปภ.

Post#3-60:
บ่อยครั้ง ที่ผมจะพูดถึงผู้คนส่วนหนึ่ง (ซึ่งบังเอิญว่าเป็นส่วนใหญ่) ที่มักจะทำงานแบบมุ่งเน้นกระบวนการแต่ไม่ใส่ใจผลลัพธ์...หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกทำงานแบบ "มักง่าย" นั่นล่ะครับ

พวกเค้าเหล่านั้น จะไม่ได้สนใจเลย ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น จะทำให้ผลลัพธ์เบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน

แน่นอนว่า ถ้าผมพบว่าลูกน้องทำงานแบบขอไปทีครั้งใด เป็นที่รู้กันว่า ต้องโดนผมเรียกเข้า "ห้องเย็น" เป็นแน่

แม้กระทั่ง ถ้าผมพบว่า ตัวเองหลงลืมหรือไม่ได้ใส่ใจเพียงพอต่อผลลัพธ์ ผมก็จะโกรธตัวเองมากเช่นกัน

...

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการทำงานแบบไม่ใส่ใจผลลัพธ์ ก็คือการทำงานแบบ "รปภ." ตามจุดตรวจทั้งหลาย

น่าเสียดายที่ผมต้องบอกว่า เกือบจะร้อยละร้อยของ รปภ. ตามจุดตรวจ ทำงานแบบนี้จริงๆ และต้องขออภัยที่ผมจะต้องบอกว่า ผมชิงชังการทำงานแบบนี้ เป็นอย่างมาก

เหตุเพราะผลพวงจากการทำงานแบบนี้ นอกจากไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุอีกด้วย

ลองยกตัวอย่างดูมั๊ยครับ...

1.ตาม BTS และ MRT: ขอตรวจกระเป๋า แต่กระเป๋ามีเป็น 10 ช่อง, พี่เอาไฟฉายความสว่างเท่าหิ่งห้อยส่องเพียงช่องเดียว...เพื่อ?

2.ตามทางเข้าออกห้างสรรพสินค้า: เอาไม้ติดกระจกส่องดูใต้ท้องรถ ก็มันมืดออกอย่างนั้น พี่ส่องเห็นส้นตึกอะไรครับ?

3.ตามทางเข้า-ออก หมู่บ้าน: ก่อนเข้าพี่ไม่เคยตรวจท้ายรถ แต่พอรถออก พี่ตรวจท้ายรถ...แล้วพี่จะรู้มั๊ยครับ...ว่าของท้ายรถมาอยู่ตั้งแต่ตอนไหน?

ฯลฯ

...

ในเมื่อการตรวจรักษาความปลอดภัย เป็นการตรวจไปงั้นๆ จึงส่งผลในทางตรงกันข้ามกับเจตนาของการจัดให้มีจุดตรวจ

ผมมั่นใจว่า รปภ. ย่อมาจาก "รักษาความปลอดภัย" ไม่ใช่ "เราปลอดภัย (คนอื่นช่างมัน)"

ดังนั้น ถ้าใครทำงานแบบขอไปทีแบบ รปภ. (ส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอมานี้)...ผมบอกตรงๆ ครับ ว่าชีวิตการทำงานของคุณไม่มีวันเจริญก้าวหน้าเป็นแน่...

และที่สำคัญ...คุณกำลังดูถูกเกียรติยศของตัวเองอย่างเลวร้ายที่สุดด้วย

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...