Skip to main content

Posts

Showing posts from May, 2016

Post#3-267: เมาแล้วขับกับจิตสำนึก

Post#3-267: เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานี้ ผมไปเยี่ยมเพื่อนรุ่นน้องที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ น้อง B นะครับ)...เธอเคราะห์ร้ายขณะหลับอยู่บนรถ เรื่องของเรื่องก็เกิดจากพวกเมาแล้วขับ...ที่จู่ๆ ก็เลี้ยวรถออกมาชนรถของเธอ ที่กำลังจะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด จากทริปแห่งความสุข จึงกลายสภาพเป็นทริปที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย แม้บางครั้ง ผมจะไม่ค่อยชอบด่านที่ตรวจวัดแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่...แต่ก็ยอมรับว่า การสกัดเอาพวกที่เมาแล้วขับไว้ก่อน ก็เป็นประโยชน์กับคนที่เค้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย ได้แต่ภาวนาให้คนที่ผมรู้จักทั้งหลาย ไม่กลายเป็นทั้งพวกเมาแล้วขับ และเป็นเหยื่อของพวกเมาแล้วขับ ด้วยเช่นกัน ... เรื่องของพวกเมาแล้วครับ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมายจัดการไป...แต่ที่อยากจะนำมาแชร์มากกว่า ก็คือเรื่องโรงพยาบาล น้อง B เล่าว่า กว่าเธอจะได้รับการรักษา ก็เสียความรู้สึกไม่น้อย เพราะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลถามว่า มีเงินมั๊ย? หรือว่า ปัจจุบันนี้ พันธกิจแรกของโรงพยาบาล จะไม่ใช่เรื่อง การดูแลชีวิตของผู้ป่วย แต่เป็นเรื่องการสนใจผลกำไรของตัวเอง? ... ยังไม่หมดครับ...ประเด็นต่อไป ก็คือหลังจากเธอได้รับ...

Post#3-266: คนเชื่อมเกม

Post#3-266: ผมใช้เวลาเกือบทั้งบ่ายวันนี้ ประชุมกับ CEO บริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ พี่ P นะครับ) เกี่ยวกับ Business Portfolio ที่พี่ P ดูแลอยู่ หนึ่งในประเด็นสำคัญที่พี่ P และผู้บริหารระดับสูงทั่วไปมักจะเจอะเจอก็คือ "ช่องว่าง" ของความเข้าใจ ยิ่งผู้บริหารที่มี Dynamic สูงๆ ยิ่งจะเจอปัญหานี้มากเป็นพิเศษ...ทำให้บางครั้งอยากจะวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะติดที่ต้องรอลูกน้องที่วิ่งตามมาไม่ทัน ... ด้วยเหตุนี้ Middle Management จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมเกม ทำอย่างไรจึงจะแปลงนโยบายของเจ้านายให้เป็นแผนปฏิบัติงานสำหรับทีมงานหรือน้องๆ ได้? เพราะถ้าคนเชื่อมเกมที่ว่า ไม่เข้าใจนโยบายของเจ้านายได้ดีพอ และไม่รู้ศักยภาพของน้องอย่างถ่องแท้..."ช่องว่าง" ที่ว่า ก็จะถูกปิดไม่สนิท ดังนั้น Middle Management จึงต้องมีลักษณะเป็น "สองคนในร่างเดียว" คือเป็นทั้ง "คนรู้ใจ" และ "คนรู้งาน" ... การจะขึ้นเป็น Middle Management ได้นั้น จำเป็นจะต้องฝึกการเป็น "คนรู้งาน" ให้ได้ก่อน เมื่อแม่นในเนื้...

Post#3-265: ทำไมต้องทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา?

Post#3-265: ผมมาภูเก็ต Trip นี้ เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการมาเป็น Consultant ให้กับองค์กรแห่งหนึ่ง...เจ้าของเป็นนักธุรกิจไฟแรง (สมมติชื่อ พี่ M นะครับ) ที่มี passion ในการทำนั่น นู่น นี่ ตลอดเวลา จะว่าไป ผมเข้าใจพี่ M ดีมาก...เพราะผมก็เป็นพวกซนชอบคิดและทำนั่น นู่น นี่ อยู่ตลอดเวลา เช่นกัน ^^ คราวนี้มันต่างกันตรงที่ ผมคิดหลายเรื่องแต่ไม่ได้ทำทุกเรื่อง แต่พี่ M นั้น คิดหลายเรื่องและทำทุกเรื่องที่คิด -"- ... สมัยผมยังเป็นพนักงานตัวน้อยๆ ก็มักจะแอบงงอยู่บ่อยๆ ว่า เจ้านายจะคิดอะไรใหม่ๆ กันหนักกันหนา...แค่นี้ก็ทำงานไม่ทันแล้ว จนมาเป็นเจ้านายและเจ้าของกิจการ...จึงเข้าใจได้ถ่องแท้ล่ะครับ... ว่าการที่อยู่เฉยๆ ปล่อยอะไรเรื่อยเฉื่อยไปวันๆ พอใจกับวันนี้ โดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจในวันพรุ่งนี้ นั้น เป็นความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ ดังนั้นแล้ว เจ้านายหรือเจ้าของกิจการ จึงจำต้องมีทางหนีทีไล่ไว้เสมอ หรือที่เราเรียกกันว่า Contingency Plan นั่นไงครับ ... หากเราจำเป็นต้องตรวจสอบว่า ธุรกิจที่กำลังทำอยู่ อยู่ในสถานการณ์ใด และหนทางไปต่อยังดีอยู่หรือไม่...ก็เป็นการถูกต้อง ที่เราก...

Post#3-264: ไปดูมวย

Post#3-264: ค่ำคืนนี้ ผมมีโอกาสได้กับมาเยือนเวทีมวยอีกครั้ง หลังจากที่ได้ไปเยือนครั้งแรกเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน และเนื่องจากผมมาประชุมกับเจ้าของค่าย ผมจึงได้รับทราบข้อมูลเบื้องหลังของการชกมากกว่าแขกทั่วๆ ไป แม้จะเป็นการแข่งขันของมือสมัครเล่นชาวต่างชาติ แต่การได้รับรู้ถึงความตั้งใจของนักกีฬาแต่ละท่าน ก็ทำให้ผมนับถือพวกเค้าจากใจ ... การต้องอดทนฝึกซ้อม, ออกกำลังกายอย่างหนัก ต้องรักษาระเบียบ ต้องเคร่งครัดวินัย ก็เพียงเพื่อชั่วขณะไม่กี่นาทีบนเวที ที่น่าตื่นตาไม่แพ้ Spirit ของนักกีฬา ก็คือเรื่องความตั้งใจของนักกีฬาที่ผมมองเห็นได้ผ่าน "แววตา" ของแต่ละคน ถามว่าชกกันดุเดือดมั๊ย...ผมก็บอกได้เลยว่า "ไม่เท่าไหร่" แต่ให้คะแนนความตั้งใจเต็มร้อย ... บอกได้เลยว่า เค้าไม่ได้คิดจะขึ้นเวทีเพื่อ "พ่ายแพ้" และพวกเค้าตั้งใจทำทุกขั้นตอนเป็นอย่างดี...เริ่มตั้งแต่ตอน Warm up ไปจนถึงการชกจริง บางครั้งผล "แพ้-ชนะ" อาจเป็นเรื่องรองลงไป...เรื่องสำคัญกว่า กลับเป็นเรื่องที่เราได้ทำทุกอย่างเป็นอย่างดีที่สุดหรือไม่ ...หากชนะก็ดีไป...แต่ถ้าแพ้ ก็จงบอกตัวเองว่า จ...

Post#3-263: In search of "Happiness"

Post#3-263: เท่าที่ค้นในคลังข้อมูลดู ผมพบว่าเราคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง "ความสุข" บ่อยอยู่ไม่น้อยครับ โดยเฉพาะ Post#2-13 ที่คุยกันเรื่องดัชนีความสุข...ที่ทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่า "ความสุข" ไม่ใช่ Goal แต่เป็น Way of Living ต่างหาก แม้จะเข้าใจอย่างนั้น หลายครั้งมากหน ผมก็พบว่าบางที ผมและอีกหลายๆ คนบนโลกนี้ ก็หลงลืมไปบ้างเหมือนกัน ... ทันทีที่เราเริ่มพูดกับตัวเองว่า "ทำไม หมู่นี้ ชั้นไม่มีความสุขเลย" ก็แปลว่า เราเริ่มมีปัญหากับการใช้ชีวิตในช่วงนั้นแล้วล่ะครับ ถ้าคุณกำลังรู้สึกแย่กับชีวิตอยู่ล่ะก็...คุณมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือถ้าไม่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคุณ คุณก็ต้องเปลี่ยนมุมมองที่คุณมีต่อชีวิตของตัวเอง ... Eric Hoffer นักเขียนระดับปราชญ์ ชาวอเมริกัน ได้แสดงทรรศนะในเรื่องการตามหา "ความสุข" ไว้ได้น่าสนใจครับ "The search for Happiness is one of the chief sources of Unhappiness." ซึ่งแปลว่า "การแสวงหาความสุขนั่นเอง ที่เป็นเหตุใหญ่ของการทำให้เราไม่มีความสุข" ...ก็เพราะ "ความสุข" ไม่ใช่ "ปลายทา...

Post#3-262: Failure in your head, Success in your heart!

Post#3-262: เวลาทำอะไรสำเร็จหรือสมหวัง เราก็ดีใจ และเวลาทำอะไรล้มเหลวหรือผิดหวัง เราก็จะเศร้าใจ...ผมเองก็คิดว่า มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไป... จนกระทั่งผมมาเจอวาทะนี้ ผมจึงได้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง ว่าคนที่มีแนวโน้มจะเป็น "ผู้แพ้" กับ "ผู้ชนะ" นั้น ...แท้จริงแล้ว มันต่างกันตั้งแต่วิธีคิดจริงๆ ... ว่าแล้ว ก็ไปดูกันเลยครับ... "Never let success get to your head & never let failure get to your heart." แปลว่า "จงอย่าปล่อยให้ความสำเร็จเกาะกุมหัว และจงอย่าปล่อยให้ความล้มเหลวเกาะกินใจ" อ่านแล้ว วิเคราะห์ยังไงกันบ้างครับ? ... เคยได้ยินคำว่า "ดีใจจนเหลิง" และ "ตกอยู่ในห้วงทุกข์" มั๊ยล่ะครับ? นั่นล่ะครับ...คำอธิบายสั้นๆ ที่ผมนึกถึงเมื่ออ่านวาทะข้างต้นจบลง ส่วนใหญ่แล้ว คนเรามักจะหลงระเริงอยู่กับความสำเร็จ, คิดว่า เมื่อชนะครั้งที่หนึ่ง แล้วตัวเองก็จะต้องเป็นผู้ชนะไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่อีกเช่นกัน ที่มักมัวแต่โศกาอาดูร สงสารตัวเองอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความเศร้ากุมจิตใจ ยามเมื...

Post#3-261: เมื่อ "นก" ไม่ใช่ "ปลา"

Post#3-261: เช้านี้หลังกลับจากประชุม ผมใช้เวลาอยู่บนท้องถนนอย่างยาวนาน เพราะเกิดอุบัติเหตุใหญ่บนเส้นที่ผมสัญจร เพื่อแก้เบื่อและเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ผมจึงเข้าไปท่อง Facebook ของนักเขียนในดวงใจ...คุณวินทร์ เลียววาริณ และได้ไปเจอประเด็นน่าสนใจ ที่คุณวินทร์นำวาทะของหลวงพ่อชา สุภัทโท มาแชร์ว่า "ถึงปลาจะบอกว่าอยู่ในน้ำเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ตราบใดที่นกยังไม่เป็นปลา" ... ไม่ทราบว่า ใครจะตีความวาทะของหลวงพ่อฯ ว่ายังไง...แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่า หลวงพ่อฯ ท่านกำลังสอนเราเรื่อง "ปัจจัตตัง" และไม่รู้ว่า ผมคิดมากเกินไปมั๊ย ถ้าจะแอบตีความว่า ในเวลาเดียวกัน คุณวินทร์ก็กำลังเตือนให้เราฉุกคิดว่า "อย่าใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่น" หลวงพ่อฯ ท่านสอนว่า ไม่ทำไม่รู้ ใครทำใครรู้...และคุณวินทร์สะกิดเราว่า "เรารู้สึกแบบนั้น นู้น นี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะต้องรู้สึกแบบเดียวกับเรา หรือเข้าใจว่าเรากำลังรู้สึกยังไงอยู่" ... หลวงพ่อฯ ท่านสอนเป็นนัยๆ ว่า "ถ้าอยากเข้าใจในภาวะที่อีกฝ่ายกำลังเป็น ก็ไม่ต้องไปขอให้เค้ามาอธิบายให้เสียเวลา...

Post#3-260: Not fearing to be wrong!

Post#3-260: หัวค่ำนี้ ผมประชุมกับน้องสาวคนเล็กเรื่องร้านอาหารของเธอ...โชคดีที่น้องสาวอีกคนบินกลับมาทำธุระที่เมืองไทยพอดี เราจึงได้ผู้มีประสบการณ์ตัวจริงมาช่วยให้ Guideline และ Comment แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมช่วยน้องสาวทำงาน...แต่ผมค่อนข้างจะแน่ใจ ว่าผมประเมินหลายๆ อย่าง "ผิด" ... นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่บอกว่า ไม่ว่าเราจะมีประสบการณ์มากมายเพียงใด...ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องทำทุกอย่างถูกต้องและสำเร็จเสมอ ไม่ว่า เราจะวางแผนดีงามและเลิศเลอเพียงใด...หากผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาในทางที่ดี...ก็ต้องสรุปว่า เรายังทำไม่ถูกต้อง ... สิ่งแรกที่ผมทำ ก็คือ การยอมรับกับน้องสาวทั้ง 2 คน ว่า ผมวางแผนผิดพลาด และผมขอโทษ หากแต่ผมไม่ได้แค่ "ขอโทษ" แล้วจบ แต่ผมชวนพวกเธอหารือว่า เราจะต้องปรับปรุงแก้ไขยังไงดี? ถ้าการกล่าวโทษกันไปมา ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นได้ ผมคงทำ...แต่เมื่อไม่ใช่ ผมว่ามันป่วยการที่จะมานั่งโทษกันและฟูมฟายกับความผิดพลาด ตราบที่ยังมีวันพรุ่งนี้ให้สู้ต่อ...ผมว่าเราก็ไม่ควรวุ่นวายให้มากนักกับอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ... จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น.....

Post#3-259: ประชุมนำเสนองาน/สินค้า

Post#3-259: ตลอดทั้งวันนี้ ผมมีโอกาสได้ประชุมนำเสนอธุรกิจ ให้กับบุคคลและคณะบุคคล รวมแล้วกว่า 7 กลุ่ม กับ 5 ธุรกิจ ลองนึกดู...ผมยังไม่เคยแชร์ให้ฟังเลย ว่าการประชุมแบบนี้น่ะ เค้าทำกันยังไง? ว่าแล้ว ก็ขอแชร์เท่าที่ผมรู้และทึ่ผมทำก็แล้วกันนะครับ ... สำหรับการประชุมเพื่อนำเสนอ project ใหม่ๆ หรือ Business Opportunity ต่างๆ นั้น...ผมจะมี pattern ในการนำเสนอที่ไม่ต่างกัน คือเริ่มจากการอธิบาย Business Concept, ตามด้วย Expectation ของธุรกิจ, เหตุผลที่อีกฝ่ายควรต้องรับข้อเสนอ และปิดท้ายด้วย Next Step โครงหลักๆ มีเท่านี้ แต่ที่สำคัญ ต้องมีตัวเลขประกอบ...เพราะตัวเลขไม่โกหก ... ใครก็ตามที่ผ่านสนามธุรกิจมานาน มีโอกาสได้นำเสนอ project ให้กับนักลงทุน, ธนาคาร หรือสถาบันทางการเงิน ก็ย่อมจะพอรู้ดีว่า project ที่เรานำเสนอนั้น อีกฝ่ายให้ความสนใจมากหรือน้อยเพียงใด หลายๆ ครั้ง ที่ผมจบการนำเสนอ พร้อมกับแววตาของอีกฝ่ายประมาณว่า "ขอบใจที่มาเล่าให้ฟังนะ แต่ไม่ล่ะ" (Case A) และอีกหลายๆ ครั้ง ที่ผมแทบไม่ต้องรอให้จบประชุม ก็รู้ได้ทันทีว่า อีกฝ่ายอยากจะร่วมทำงานกับเราหรือไม่ ที่ยากก็ค...

Post#3-258: Lunch with the British ^^

Post#3-258: เที่ยงนี้ ผมนีนัดทานข้าวกลางวันกับเพื่อนเก่าชาวอังกฤษ (สมมติว่า เค้าชื่อ Mr.R ก็แล้วกันนะครับ) ที่ไม่ได้เจอกันนานกว่า 15 ปีมาแล้ว ต้องบอกว่า ตามธรรมเนียมชาวอังกฤษ เค้ามักจะไม่เปิดบ้านให้ใครมาเยี่ยม หากไม่สนิทกันมากพอ ที่สำคัญ Mr.R ถึงกับเข้าครัวลงมือทำอาหารให้ผมและครอบครัวทานด้วยตัวเองเลยทีเดียว ... คนอังกฤษมีความเป็นแบบแผนในตัวพอสมควร, ซึ่งแม้ Mr.R จะมาอยู่เมืองไทยนานมากแล้ว แถมมีภรรยาคนไทย ก็ไม่ทำให้ Mr.R สูญเสียแบบแผนของชาวอังกฤษไป ทั้งอาหารที่ Mr.R ทำและการจัดโต๊ะอาหาร ล้วนเตือนให้ผมนึกถึงสมัยที่ต้องเดินทางไปอังกฤษบ่อยๆ แทบจะทุกเดือน มานั่งนึกดู นอกจากชาวเอเชียด้วยกันแล้ว ผมจะค่อนข้างสนิทชิดเชื้อกับคนอังกฤษมากกว่าชาวยุโรปชาติอื่น ... ว่าแล้วผมก็ขอแชร์ประสบการณ์ Lunch with the British เสียหน่อย...ถือเสียว่าเล่าสู่กันฟังนะครับ เมื่อไปเยือนบ้านชาวอังกฤษ, เราจำเป็นจะต้องแจ้งให้เค้าทราบล่วงหน้าก่อน ไม่ใช่จู่ๆ อยากจะแวะเข้าไปก็ได้ (ต่อให้สนิทกันยังไงก็ตาม) อย่างครั้งนี้ เรานัดกันล่วงหน้าเป็นแรมเดือน, เราจะไปกี่โมง, ไปกี่คน, ทานอะไรได้หรือไม่ได้นี่ ผมโดน M...

Post#3-257: "ผู้ชนะ" ที่ยั่งยืน

Post#3-257: หนึ่งในกิจกรรมที่ลูกสาวของผมชอบ ก็คือ การเรียนว่ายน้ำ...เริ่มจากไม่เป็นเลย จนพอจะเอาดีได้บ้าง...ล่าสุด เธอก็ได้รับคัดเลือกให้ติดทีมโรงเรียน... เปล่าครับ เธอไม่ได้เก่งเลิศเลออะไรเลย แต่เพราะเธอเรียนในโรงเรียนที่ไม่ใหญ่โต จำนวนนักกีฬาว่ายน้ำจึงมีไม่มากเท่าไหร่ กระนั้น เธอก็ภูมิใจไม่น้อย กับการได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่ง TISAC (Thailand International School Activities Conference) เมื่อไม่นานมานี้ ... ผลการแข่งขันน่ะหรือครับ? เธอแพ้แบบไม่เป็นท่าเลย...แต่ทว่า ผมกลับดีใจที่เธอแพ้ เปล่าครับ ผมไม่ได้แกล้งดีใจ แต่ผมคิดว่า มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่เธอจะได้เรียนรู้ว่า ยังมีคนเก่งกว่าเธออีกเยอะ...ฉะนั้น จงอย่าถือตนว่าเก่งที่สุดในโลก ... แม้คนเราจะไม่ชอบความพ่ายแพ้...หากแต่คงต้องยอมรับว่า ความพ่ายแพ้สอนอะไรให้เราได้มากกว่าชัยชนะ ผมไม่ได้บอกว่า แปลว่า เราก็ควรจะพ่ายแพ้ไปเรื่อยๆ งั้นสิ? จริงๆ แล้ว การที่เราเคยได้รู้จักความพ่ายแพ้ก่อนที่จะชนะนั้น จะทำให้เราดื่มด่ำกับชัยชนะได้อย่างเป็นสุขมากกว่า และที่สำคัญที่สุด มันทำให้เราเข้าใจ "ผู้แพ้" เพราะเราก็เคยเป็น...

Post#3-256: Dignity&Pride vs Ego&Honor

Post#3-256: ลองพิจารณาวาทะต่อไปนี้ดูครับ... "You may hold on to your dignity, not ego. You may live up to your pride not honor" แปลว่า "เจ้าจงรักษาเกียรติศักดิ์ของเจ้า หาใช่ความเป็นปัจเจกแห่งเจ้า. เจ้าจงใช้ชีวิตด้วยเกียรติภูมิแห่งตน หาใช่ใช้ชีวิตเพื่อใฝ่หาเกียรติยศที่ถูกอุปโลกน์" ... วาทะข้างต้น ไม่ต้องไปหาที่มาจากไหนเลยครับ เพราะผมบัญญัติขึ้นเอง... ผมตีความว่า Dignity และ Pride เป็น "จิตวิญญาณ" ของตัวเรา ที่ไม่ว่าปัจจัยภายนอกจะมากระทบอย่างไร ถ้าเราไม่หวั่นไหวไกวแกว่งไปกับมัน, ตราบนั้น "จิตวิญญาณ" ที่ว่า ก็ไม่มีวันจะแปดเปื้อน เช่น เราภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกคนจน, ใครดูหมิ่นเหยียดหยามว่าเรา "จน" เราก็ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์...เรายอมรับ และใช้ความดูหมิ่นเหล่านั้น เป็นแรงผลักดัน ส่วน Ego กับ Honor นั้น เป็นตัวที่ทำให้เรารู้สึกว่า หากว่ามีใครมาทำให้สิ่งสมมติทั้งสองนี้สั่นคลอน อาจจะทำให้เรา "เสียหน้า" ในสังคม, เราจึงโกรธทุกครั้งที่มีใครมาแตะมัน ... ที่เราพบข่าวฆ่ากันตายด้วยเรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่อง แค่มองหน้ากันในผับ...

Post#3-255: ปรัชญา Snooker

Post#3-255: ค่ำคืนนี้ ผมใช้เวลาเดินวนรอบโต๊ะ Snooker อยู่กับน้องชาย...เพราะต่างคนต่างเครียด เลยหาเรื่องเจอกันแก้กลุ้ม ^^ จะว่าไป Snooker ถือเป็นกีฬาที่ผมเล่นเองได้ และชอบเป็นอันดับต้นๆ รองจาก Golf ที่ผมชอบ Golf และ Snooker เป็นเพราะกีฬาทั้งสองประเภทนี้ ต่างต้องวางแผนการเล่นล่วงหน้าเสมอ ... ความท้าทายของ Snooker นั้น ต่างจาก Golf อยู่บ้าง ตรงที่ Golf เน้นแข่งกับตัวเอง, คนอื่นจะเป็นยังไง ไม่ต้องไปใส่ใจจนเกินงาม หากแต่ Snooker นั้น นอกจากจะต้องทำคะแนนตัวเองให้ดีแล้ว ยังต้องหาทางสกัดคู่แข่งด้วย เปรียบไปแล้ว Snooker จึงมีรังสีฆ่าฟันมากกว่า Golf ด้วยปรัชญา "ถ้าฉันไม่ได้...เธอก็ต้องไม่ได้" Golf จึงเหมาะจะเป็นปรัชญาของ SME ทั้งหลาย ในขณะที่ Snooker มักจะเป็นกลยุทธ์ที่ Brand ใหญ่ๆ ใช้รบราฆ่าฟันกัน ... Snooker สอนให้รู้จักผนวก Short-term Goal และ Middle-term Goal เข้าไว้ด้วยกัน...แปลว่า ถ้าหวังแค่ shot เดียว ก็ชนะ Frame ได้ยาก ดังนั้น กว่าจะแทง Que Ball (ลูกขาว) ได้แต่ละที จึงต้องคำนวณว่า เมื่อลูกขาวปะทะลูกเป้าหมายแล้ว ลูกขาวจะไปหยุดในตำแหน่งที่ดีพอให้เล่น shot ต่อ...

Post#3-254: ศัตรูที่คุ้นเคย

Post#3-254: ไม่กี่วันมานี้ มีน้องคนหนึ่งมาปรึกษาผมเรื่องอยากเปลี่ยนงาน...สาเหตุหลักๆ ก็คือ "เบื่อคน"... เราเคยคุยกันเรื่องการเปลี่ยนถ่ายย้ายงานกันหลายหน ล่าสุดก็ไม่นานมานี้เอง (Post#3-206) ซึ่งผมมักจะเตือนลูกน้องเสมอว่า ถ้าคุณย้ายงานเพราะเบื่อคน มีหวังว่า คุณอาจจะต้องย้ายหนีคนที่คุณไม่ชอบ ไปตลอดชีวิต ... หากว่าคุณกำลังเซ็งว่า ไม่เห็นมีใครทำอะไรถูกใจคุณสักอย่าง...เชื่อได้ว่า บางคนก็อาจจะกำลังนึกว่า คุณทำอะไรไม่เคยถูกใจเค้าเอาเสียเลย เช่นกัน ในขณะที่คุณคิดจะย้ายงานเพื่อหนีคนที่คุณไม่ถูกใจ...แต่มีอีกหลายคนที่เข้าใจสัจธรรมที่ว่า วันนี้อาจรัก พรุ่งนี้อาจชัง หรือวันนี้เกลียดแทบตาย พรุ่งนี้อาจรักกันปานจะกลืน แปลว่า ปัญหาไม่ใช่เรื่องคน...แต่ปัญหาอยู่ที่ความรู้สึกที่คุณมีต่อคน ต่างหาก ... ถ้าเข้าใจได้ว่า บางครั้งบางหน เราเองยังไม่พอใจตัวเราเองเลย ดังนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะพอใจคนอื่นได้ตลอดเวลา หากชังน้ำหน้าอีกฝ่าย ก็อย่าไปสุงสิง, หากเกลียดจนไม่อยากยุ่งเกี่ยว ก็ดีลกันเฉพาะเรื่องงาน...น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับตัวเรามากกว่ามั๊ยครับ? ลองคิดดูสิครับ ว่ามันคงจะเป็น...

Post#3-253: บ้านเก่า, พายุ และคนผู้ไม่ไยดี

Post#3-253: ผมยังจำวันแรกๆ ที่เริ่มเป็นเจ้าของกิจการมือใหม่ได้ดี... ยังจำวันที่ให้โอกาสน้องๆ ได้งานทำ, ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ และได้ปกป้องพวกเค้า ด้วยกำลังกายและกำลังใจทั้งหมดที่มี ยังจำวันที่ผมต้องอด...เพื่อให้พวกเค้าได้เงินเดือนครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์ เพื่อไปจุนเจือครอบครัว ... ไม่ใช่เฉพาะผม แต่สถานการณ์แบบนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็น Pattern ของเจ้าของกิจการทั้งหลาย ก็ว่าได้ ในความสาหัสของเรื่องต่างๆ ที่เจ้าของกิจการต้องเผชิญ...ลึกๆ แล้ว พวกเค้า (และผมเอง) จึงต่างภูมิใจที่มีโอกาสเป็น "บ้านที่สอง" ของน้องๆ ทุกคน เป็น "บ้าน" ที่เจ้าบ้านและลูกบ้าน ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน และช่วยกันทำให้บ้านน่าอยู่ ... เจ้าบ้านต่างยินดีที่มีลูกบ้านมาอาศัย และเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ลูกบ้านอยู่อย่างมีความสุข และอิ่มท้อง ส่วนลูกบ้านที่มาขออาศัย...ในเมื่อเราได้ที่พักแล้ว...เราเองก็ควรดูแลบ้านด้วยเช่นกัน ไม่ใช่อยู่ในบ้าน...แต่ปล่อยให้คนมาพ่นสีกำแพงบ้านเรื่อยเปื่อย หรือปล่อยให้สุนัขมาทำธุระอันไม่งาม ... หากเรามาอาศัยในบ้านของเค้า...แต่ไม่ไยดียามที่เจ้าของบ้านกำลังจะมีภัย ก...

Post#3-252: ไม่เก่งน่ะไม่ผิด...แต่ผิดที่ไม่คิดจะเก่ง

Post#3-252: ให้บังเอิญที่เช้านี้ ผมดันได้ไปอ่านกระทู้หนึ่งใน Pantip แล้วก็ได้ข้อคิดสะกิดใจมาบางประการ ก็เลยขออนุญาตมาเล่าสู่กันฟังนะครับ จขกท ตั้งกระทู้ไว้แบบนี้ครับ... "ถ้าได้เกรด 2.1- 2.3 จากราชภัฎ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร ไปสมัครงาน จะมีโอกาสได้งานไหมครับ" ระหว่างอ่าน Post นี้ ก็ลองคิดตามไปเรื่อยๆ นะครับ ... แน่นอนว่า ก็ต้องมีความเห็นจากชาว Pantip กันอย่างล้นหลาม...คงไม่ต้องบอกใช่มั๊ยครับ ว่าส่วนมาก จขกท จะได้รับ feedback เชิงบวกหรือลบ มากกว่ากัน? เท่าที่นึกได้ ผมอ่านกระทู้ใน Pantip ไม่บ่อย, แต่ทุกครั้งที่ได้อ่าน คำถามหนึ่งที่มักแว่บเข้ามาในหัวผมก็คือ จขกท ตั้งกระทู้แบบนี้ (คือกระทู้ประมาณ น่าจะรู้ว่า ไม่ควรนำมาถามกับ public) ไปเพื่ออะไร? ผมวิเคราะห์เล่นๆ ว่า เหตุผลก็น่าจะเป็น หนึ่ง. โดดเดี่ยว ไม่รู้จะถามใครจริงๆ / แถมท้ายว่า ไม่รู้จะใช้ keyword อะไรถาม Google สอง. เป็นพวก Masochism เลยมาตั้งกระทู้ล่อเป้า และสาม. ไม่รู้จริงๆ ว่าไม่ควรถาม ... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็คงไม่สำคัญนักหรอกครับ...ผมก็แค่วิเคราะห์ไปตามประสา คนที่ไม่เข้าใจ จขกท บางคน .....

Post#3-251: Challenge your limit!

Post#3-251: เคยสงสัยมั๊ยครับ...ว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้า ชีวิตของเราจะเป็นยังไง? บางคนเห็นภาพชัดเจน...ว่าอยากมี, อยากเป็น และอยากอยู่แบบไหน แต่น่าเสียดายที่ยังมีคนอีกมากมาย ที่ยังมองภาพนั้นไม่ออก ... ที่เป็นแบบนี้ เพราะ "ความฝัน" กับ "เป้าหมาย" นั้น คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ความฝันนั้น สวยงามเสมอ เพราะมันเป็นแต่สิ่งที่อยู่ในห้วงคิด...แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มใส่แผนงานต่างๆ ลงไปในความฝัน...มันก็จะเริ่มกลายเป็นความจริง และเมื่อมันเริ่มจะกลายเป็นความจริง, ความสวยงามนั้น จะเริ่มหายไป และกลายเป็นความท้าทายต่างๆ ที่จะเข้ามาแทน ยิ่งเป้าหมายของคุณยิ่งใหญ่เท่าใด...ความท้าทายที่คุณจะต้องพบเจอ ก็จะยิ่งมากและหนักหนาขึ้นเท่านั้น ... ยังไงก็ตาม...จงอย่าพึ่งไปกะเกณฑ์ว่า เราทำนั่น นู่น นี่ ไม่ได้...ตราบใดที่ยังไม่ได้ลองทำ แม้ว่า มันอาจจะกลายเป็นเส้นทางวิบากที่สุด เท่าที่คุณเคยเดินมา และไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่า ปลายทางของคุณจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว...ยังไงซะ คุณก็น่าจะเก่งขึ้นและแกร่งขึ้นแน่นอน ... ก่อนนอนคืนนี้...ผมฝ...

Post#3-250: กล้าทั้งๆ ที่กลัว

Post#3-250: หลายๆ คนอาจจะนึกว่า "คนกล้า" คือบุคคลผู้ไร้ซึ่งความกลัวในหัวใจ แต่ลองพิจารณาวาทะต่อไปนี้ดูครับ "Be brave. Remember that bravery is not the lack of fear, but the ability to move forward in spite of fear." แปลว่า "จงมีความกล้า. จำไว้ว่า ความกล้า หาใช่ การปราศจากความกลัว, หากแต่เป็นความสามารถในการเดินหน้าต่อไปทั้งๆ ที่กลัว ต่างหาก" ... เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ผมเองก็ออกจะเห็นด้วยกับวาทะนี้ไม่น้อยเลยครับ เพราะหากเราเดินหน้าทำอะไรก็ตามโดยปราศจากความกลัวเอาเสียเลย...ความกล้า ก็อาจจะมีสภาวะคล้ายจะเป็น "ความบ้าบิ่น" และเมื่อสติโดนครองด้วยความบ้าบิ่น เราก็อาจจะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ... ลองมาคิดดูแล้ว การแฝงความกลัวไว้ในความกล้า...จึงอาจเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้เราก็เป็นได้ นอกจากนั้น ผมว่าความกลัวเองก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าความกล้า...ก็เพราะความกลัวนี่แหละครับ ที่ผลักดันให้มนุษย์ลุกขึ้นมาทำนั่น นู่น นี่ เพื่อเอาชนะความกลัวให้ได้ กลัวความมืด...มนุษย์จึงมีหลอดไฟ, กลัวต้องลำบากล่าสัตว์...มนุษย์จึงรู้จักการทำปศุสัตว์,...

Post#3-249: น้อยไปอีกหรือ...ที่ให้

Post#3-249: เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมเข้าไปประชุมกับน้องสาวเกี่ยวกับแนวทางการทำงานและบริหารร้านของเธอ เราคุยกันหลายเรื่องหลายประเด็น แต่หลักๆ ก็คือเรื่องที่จะผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นยังไงได้บ้าง? ตอนหนึ่งของการสนทนา...น้องสาวผมก็ตัดพ้อว่า เค้าตั้งใจมากกับการทำร้านนี้ แต่ทำไมไม่มีลูกค้ามากเท่าที่ควร ... ความจริงเรื่องที่น้องสาวของผมรู้สึก เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เคยเกิดขึ้นแน่นอนกับทุกๆ คน แต่น่าเสียดาย ที่ "ความตั้งใจ" เป็นนามธรรมที่ไม่มีใครมองเห็น และไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกถึงความตั้งใจของใครบางคนได้ ดังนั้น เราจึงมักจะพบว่า เราจะน้อยใจกับการที่คนไม่เห็นคุณค่าความตั้งใจของเรา อยู่เสมอ และอาจเพราะบางครั้ง คนที่เราตั้งใจจะทำอะไรให้เค้านั้น อาจจะไม่ได้รู้ด้วยซ้ำ ว่าเรากำลังทำเพื่อเค้าอยู่ ... ผมเองก็บอกไม่ได้ครับ...ว่าต้องตั้งใจมากเท่าไหร่ จึงจะทำให้ผู้รับได้รับรู้ ผมเพียงบอกได้แค่ว่า... ถ้าเราตั้งใจทำอะไรเพื่อใคร โดยไม่ได้มองถึงความต้องการของผู้รับ...ก็ยากนักที่จะทำให้ผู้รับ มองเห็นหรือรับรู้ในความตั้งใจนั้นๆ ได้ แปลว่า ก่อนจะมัวน้อยอกน้อยใจ เราควรต้องวิเคร...

Post#3-248: Opportunity vs Obstacle

Post#3-248: ไม่ทราบว่า จะมีใครเห็นตรงกันกับผมมั๊ยครับว่า เรื่องของ "ความเชื่อ" นั้น ถือเป็นเข็มทิศที่จะคอยกำหนดทิศทางต่างๆ ทั้งหมดของเรา ด้วยเพราะ "ความเชื่อ" จะเป็นตัวกำหนด "ความคิด" จากนั้น "ความคิด" ก็จะเป็นตัวกำหนด "การกระทำ"... ดังนั้น เมื่อคุณเชื่อแบบไหน ความเชื่อจึงเป็นตัวผลักดันให้คุณมุ่งไปแบบนั้นหรือทางนั้น นั่นเอง ... Wayne Dyer เอง ก็เชื่อเช่นนั้นครับ...โดย Wayne ได้แสดงทัศนะไว้ว่า "If you believe it'll work out, you'll see opportunities. If you believe it won't, you'll see obstacles." แปลว่า "ถ้าคุณเชื่อว่า มันจะเป็นไปได้, คุณก็จะเห็นโอกาส หากถ้าคุณเชื่อว่า มันเป็นไปไม่ได้, คุณก็จะเห็นอุปสรรค" ... Wayne กำลังบอกเราว่า หากเราเชื่อว่ามันเป็นไปได้ เราก็จะพยายามหาเหตุผลต่างๆ ร้อยแปด มาสนับสนุนว่า ทำไมมันจึงเป็นไปได้ เช่นกัน หากเราไม่เชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ เราก็จะมีเหตุผลพันประการ มาอธิบายว่า ทำไมมันจึงไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้คนทั้งร้อยบอกว่า เป็นไปไม่ได้ แต่หากเราเชื่อว่า...

Post#3-247: Show life that you have thousand reasons to smile!

Post#3-247: หลายวันก่อน มีลูกน้องที่ผมรักมากคนหนึ่ง มาปรึกษาปัญหาชีวิตส่วนตัว... สารภาพว่า พอผมรู้ปัญหาของเธอ...ผมก็ตกใจอยู่บ้าง เพราะไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้ จะมาเกิดกับเธอได้ สำหรับอายุของเธอ...ผมก็ยอมรับว่า ปัญหาที่เธอเผชิญอยู่นั้น เป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย และผมเข้าใจได้เลยว่า เธอกำลังอยู่ในสภาวะกลัดกลุ้มและสับสนอย่างมาก ... หลังจากปล่อยให้เธอระบายความกลัดกลุ้มอยู่พักใหญ่ๆ...ผมก็เริ่มต้นปลอบใจเธอให้คลายความเศร้าลงบ้าง เพราะหากสติของเธอยังถูกเคลือบด้วยความเศร้าเพียงอย่างเดียว...ผมก็ไม่อาจจะปลุกสติเธอให้กลับมาคิดอย่างมีเหตุผลได้ เวลาเราอยู่ในมิจฉาอารมณ์ทั้งหลาย...สติเราจะทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพมากๆ...จนเป็นที่มาของการตัดสินใจทำอะไร "โง่ๆ" นั่นแหละครับ โชคดีที่โดยพื้นฐาน เธอเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูงอยู่แล้ว...ดังนั้น การมาระบายให้ผมฟัง ก็เหมือนการบรรเทาความอัดอั้นในใจเสียมากกว่า ... ยังไงก็ตาม เมื่อเวลาที่ร่างกายและจิตใจเกิดล้า...อารมณ์มิจฉาก็จะเข้าครองสติได้โดยง่าย ผมจึงได้เตือนสติเธอ ด้วยการส่งข้อความต่อไปนี้ไปให้... "When life gives yo...

Post#3-246: It was nice talking to you…

Post#3-246: เมื่อค่ำที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ใช้บริการ Uber ในประเทศสิงคโปร์ ... แต่จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้บริการ Uber เสียด้วยซ้ำ ระหว่างทางกลับมาโรงแรม ผมก็สนทนากับผู้ให้บริการ ซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ ( สมมติว่าชื่อ Mr.A ก็แล้วกันนะครับ )... ด้วยระยะทางสั้นๆ ทำให้ไม่อาจสนทนากันยาวนานได้ แต่ผมต้องขอบอกว่า ผมกลับได้ข้อคิดต่างๆ จาก Mr.A ค่อนข้างมาก หลักๆ เราคุยกันเรื่อง Cost of Living ในประเทศสิงคโปร์นี่เองครับ … เปรียบเทียบให้เข้าใจได้ชัดขึ้น ราคา Coke Zero แบบขวด Pet ขนาด 500 ml. ใน 7-Eleven จะขายอยู่ที่ SG$ 2.7 ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 69.42 บาท ส่วนบ้านเรา ก็น่าจะอยู่ประมาณ 17 บาท ราคาข้าวราดแกง กับข้าว 2 อย่าง ก็อยู่ประมาณ SG$ 2.8 ( ประมาณ 72 บาท ), ส่วนซูชิกล่อง ราคาอยู่ที่ SG$ 10.2 ก็ตกประมาณ 262 บาท ถ้าไปทาน Dinner ในร้านหรูๆ หน่อย เป็น 3-Course Meal สำหรับ 2 คน ก็ตกประมาณคนละ SG$ 120-150 หรือประมาณ 3,085.40 - 3,856.75 บาท , ซึ่งราคานี้ ได้ Dinner มื้อหรูในโรงแรมใหญ่ๆ  ในเมืองไทย  ได้สบายๆ   ส่...

Post#3-245: ทำไม่ได้ vs ไม่ได้ทำ

Post#3-245: เมื่อวานนี้ น้องสาวของผมพึ่งจะเล่าให้ฟังว่า คุณแม่ผมใช้ Line เป็นแล้วนะ ^^ ผมฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมอุทานว่า "เฮ้ย จริงดิ" ...แล้วเช้านี้...แม่ก็เจิมผมแต่เช้าด้วยการ Line มาหาจริงๆ ^^ ... ไล่เรียงดู ก็พบว่า ผมเคยเล่าถึงคุณแม่อยู่หลายหน (สาบานว่า ไม่ใช่นินทา)...ท่านอายุไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยหยุดที่จะทำอะไรใหม่ๆ เลย (Post#2-320) ครั้งนั้น หัดร้องเพลง...ครั้งนี้ หัดเล่น Line...และไม่แน่ใจว่า ครั้งหน้า แม่จะหัดทำอะไรใหม่ๆ อีก? ผมมั่นใจว่า ยังมีอีกหลายเรื่องและหลายอย่าง ที่ผมไม่รู้ว่าแม่ทำได้...และผมก็มั่นใจว่า แม่เองก็ยังไม่รู้เช่นกันครับ ว่าแม่ทำได้ ... น่าแปลกที่แม่พึ่งคิดจะมาเริ่มร้องเพลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ใครคะยั้นคะยอยังไงแม่ก็ไม่ร้อง แล้วจู่ๆ พอแม่คิดจะร้อง ก็จับไมค์แล้วก็ร้องเลย ก่อนหน้านี้ แม่ไม่เคยสนใจในเทคโนโลยี, ไอฟง ไอโฟน อะไร...ไม่สน, กาแล็คซ่ง กาแล็คซี อะไร...ไม่ใช้, แม่ทำเป็นแค่กดปุ่มเขียว, แดง...กระทั่ง SMS ก็ใช้ไม่เป็น, Memory เบอร์ฯ ก็ไม่เป็น ใช้จำเอา O_o" นั่นไงครับ...จนกว่าแม่จะตั้งใจและลงมือทำ...แม่ก็ไม่เคยรู้และไม่เคยค...

Post#3-244: Lost some, Learned some

Post#3-244: คงเป็นอย่างที่เราเคยคุยกันไว้หลายครั้งต่อหลายหน...ว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบทำอะไรใหม่ๆ ก็คือ...กลัวจะผิดพลาด เริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น จะสั่งอาหาร ก็สั่ง Menu ยอดฮิต, จะซื้อหนังสือ ก็เลือก Best Seller, จะฟังเพลง ก็ฟังแต่เพลงติด Chart, ฯลฯ รวมความว่า ใครทำอะไร ก็ทำตามๆ เค้าไป...อารมณ์ประมาณ ขอฉัน "ปลอดภัยไว้ก่อน" ...เพราะถ้าพลาดขึ้นมา ก็จะไม่รู้สึกแย่หรือเปิ่น...เนื่องจากอยู่ในหมู่คนส่วนใหญ่นั่นเอง ... นั่นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ ชอบที่จะเป็นผู้ตาม...เพราะมันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า และนั่นก็เป็นเหตุผลที่อธิบายว่า ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จ จึงมีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเดียวในโลก เหล่าผู้ประสบความสำเร็จ...ใช่ว่าพวกเค้าจะไม่ผิดพลาด...เค้าก็มีโอกาสผิดพลาดเหมือนคนอื่นๆ แต่ต่างกันแค่ว่า พวกเค้า "ไม่กลัว" ที่จะผิดพลาด แค่นั้นเองจริงๆ...แต่เป็น "แค่นั้น" ที่แบ่งแยก "ผู้ประสบความสำเร็จ" ออกจาก "ผู้คนทั่วไป" ... เวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ผิดพลาด...พวกเค้ามักจะคร่ำครวญถึงสิ่งที่เสียไป หากแต่มีข้อมูลบางอย่างที่บ่...

Post#3-243: พรหมลิขิต

Post#3-243: หากว่าคุณเป็นชาวพุทธ...คุณคงเคยได้ยินมามากครั้งว่า ชีวิตของเราล้วนเป็นไปตามโชคชะตากำหนด เรียกว่า "พรหมลิขิต" ชีวิตของคนเราทุกคนไว้แล้ว...ว่าอย่างนั้น คุณคิดอย่างนั้นรึเปล่าครับ?...ผมให้เวลาตอบคำถามนี้กับตัวเองสัก 5 นาที พอมั๊ยครับ? ... ผมเองไม่อาจจะรู้ได้ว่า ชีวิตเราถูกกำหนดโดยพรหมลิขิตหรือชะตากรรม จริงหรือไม่... แต่ผมเชื่อในเรื่องกรรมบันดาล...ผมเชื่อในเรื่องชาติ-ภพ, เชื่อว่า เราคิด-พูด หรือทำสิ่งใดลงไป...เราก็ย่อมจะได้ผลสะท้อนจากสิ่งนั้นๆ อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า "Action and Re-action" นั่นเองครับ ... Dennis P. Kimbro (อาจารย์และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ) กล่าวไว้ว่า "Life is 10% what happens to us and 90% how we react to it." แปลว่า "ประมาณ 10% ของชีวิต เป็นเรื่องที่บางอย่างเกิดขึ้นกับเรา และอีก 90% เป็นเรื่องที่เราตอบสนองต่อเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น" ... อ่านข้อคิดของ Dr.Kimbro แล้วสะดุดใจอะไรบ้างมั๊ยครับ? ถ้าพรหมลิขิตมีอยู่จริง...นั่นก็คือเรื่อง 10% ของชีวิตนี่เองครับ... เราอาจจะเลือกไม่ได้ ว่าชีวิตจะโดนลิขิตให้...

Post#3-242: ผลลัพธ์ดีแต่แผนแย่?

Post#3-242: เช้านี้ผมมีประชุมกับ Vendor รายหนึ่งที่บินมาจากต่างประเทศ...ประเด็นหลักๆ ที่คุยกัน ก็คือ Growth Strategy ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป ผมทำงานกับฝรั่งมานานมาก...จึงพูดได้เต็มปากว่าในการทำงานกับฝรั่ง (หมายถึง Europe และ USA)...คุณไม่อาจละเลยเรื่องแผนงานได้เลย ว่ากันที่จริง...ผมใช้คำว่า คุณ "มั่ว" ไม่ได้ น่าจะถูกต้องตรงประเด็นมากกว่า ... ถ้าคุณคุยกับเค้า ว่าแผนเป็นแบบนั้น แบบนี้ ทำแล้วจะส่งผลแบบนั้น แบบนี้...แต่เมื่อถึงเวลาที่ผลลัพธ์ออกมาแล้ว ไม่เป็นไปตามแผน เค้าก็ยังจะเข้าใจและรับฟัง...หากว่าคุณสามารถอธิบาย (ไม่ใช่แก้ตัว) ได้ ว่า สาเหตุมาจากอะไร แล้วจะแก้ไขได้ยังไง ไม่ใช่ว่าเค้าจะสนใจแต่การขอให้ผลลัพธ์ดี แต่เราอธิบายให้เค้าฟังไม่ได้...แบบนี้ เค้าก็ไม่พอใจและไม่ยินดี เพราะมันเป็นเรื่องของความฟลุ๊ค ไม่ใช่ฝีมือ ที่ฝรั่งสนใจในเรื่องของแผนมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะเค้าเรื่องมาก...หากแต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นไปได้ ... หากเราทำแผนได้ดีจนฝรั่งเข้าใจและยอมรับ...แปลว่า ตรรกะในการคิดของเรา "ใช้ได้" และ "เป็นไปได้" เพราะถ้าแผนนั้น "ใ...

Post#3-241: อยากประสบความสำเร็จ?

Post#3-241: ผมเชื่อว่า คงไม่มีใครเกิดมาอยากเจอความล้มเหลว...ทุกคนต่างก็ต้องการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ความจริงก็คือว่า ไม่เคยมีใครทำอะไรก็สำเร็จไปเสียทุกครั้ง...นั่นแปลว่า ไม่เคยมีใครที่ไม่ล้มเหลวหรือผิดพลาด ต่างกันแต่ที่ว่า เมื่อใครคนนั้นล้มลงแล้ว เลือกที่จะนอนอยู่อย่างนั้น หรือลุกขึ้นมาสู้ใหม่ต่างหาก ดังนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จได้ จึงต้องเป็นคนที่ลุกขึ้นสู้ใหม่ในทุกๆ ครั้งที่ล้มลง และต้องไม่ลืมเรียนรู้ให้ได้ว่า ครั้งที่แล้วที่ล้มลงไปน่ะ เกิดจากอะไรกันแน่ ... สรุปสั้นๆ คงเป็นไปตามที่ Colin Powell (รัฐบุรุษ, อดีตรัฐมนตรี และอดีตนายพล ของ USA) เคยกล่าวไว้... "There is no secret of success. It is the result of preparation, hard work, and learning from failure." แปลว่า "ไม่ได้มีเคล็ดลับใดสำหรับความสำเร็จ. มันเป็นเพียงผลมาจากการเตรียมตัวเป็นอย่างดี, การทำงานหนัก และการเรียนรู้จากความผิดพลาด" ... ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่อาจประสบความสำเร็จ อาจเป็นเพราะยังมีไม่ครบ 3 สิ่งตามที่ Powell กล่าวไว้ บางคนทำงานหนัก แต่ไม่เคยเตรียมตัว และไม่เคยคิดจะเรียนร...

Post#3-240: ปล่อยผ่าน

Post#3-240: ผมมีเพื่อนชาวต่างชาติอยู่ท่านหนึ่ง เป็นคนที่ทำงานด้วยความละเอียดจนบางครั้งก็ทำให้ผมถึงกับอึ้ง ค่าที่ถ้าไม่เข้าใจเรื่องอะไรก็ตาม...เค้าจะไม่มีทางยอมให้มันผ่านไป...เค้าจะต้องเข้าใจทุกอย่างให้ถ่องแท้ก่อนเท่านั้น ต่างจากหลายๆ คนที่ผมรู้จัก...ที่แม้ไม่เข้าใจก็ปล่อยให้ผ่าน เออออห่อหมกไปตามเรื่องตามราว ... จริงอยู่ที่ว่า การซักถามรายละเอียดและมาประชุมกันเพื่อให้อธิบาย มันอาจจะใช้เวลาอยู่บ้าง...แต่ผมก็ว่า เพื่อนผมทำถูกต้อง เพื่อที่ว่า จะได้ไม่ต้องมีประเด็นที่ต่างฝ่ายต่างตีความ หรือต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันเองไปคนละทาง เพราะส่วนใหญ่แล้ว เรื่องยุ่งเหยิงในโลก มักจะเกิดจากการตีความที่ไม่ตรงกันนั่นแหละครับ ... ใครที่คิดว่าการทำความเข้าใจหรือซักถามเป็นการทำให้เสียเวลาหรือเสมือนเป็นการแสดงความไม่ฉลาดนั้น...ก็ขอให้ลองทบทวนดูครับ วันนี้ยังดีๆ กันอยู่ ก็เหมือนไม่มีประเด็นอะไร ต่อเมื่อเกิดปัญหาขึ้น...อะไรๆ ที่เราปล่อยผ่านไปตอนต้นนั้นเอง ที่มักจะกลับมาทิ่มแทงเราภายหลัง ดังนั้น การให้เวลากับการเสียเวลา...จึงคล้ายกัน...แต่ต่างกัน ...และการเข้าใจไปเองกับการเข้าใจได้เอง ก็คล้ายก...

Post#3-239: Foxes never quit!

Post#3-239: ชั่วโมงนี้ ข่าวใหญ่มากๆ ของคนไทยและชาวโลก กลายเป็นเรื่องที่ทีมฟุตบอลเล็กๆ ที่ชื่อ Leicester City ของเจ้าของชาวไทย ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษ ได้เมื่อคืนที่ผ่านมา ใครที่ไม่ค่อยรู้เรื่องฟุตบอล...อาจไม่ "ทึ่ง" เท่าไหร่...แต่ใครที่รู้จักฟุตบอล อาจรู้สึกว่า ตัวเองกำลังนั่งฟังนิทานอยู่ ก็เป็นได้ ที่สำคัญ เป็นการคว้าแชมป์ในขณะที่ยังเหลือเกมการแข่งขันอีก 2 นัด เสียด้วยซ้ำ ... ปลายฤดูกาลที่แล้ว ทีมจิ้งจอกสยาม ต้องดิ้นรนหนีตายตกชั้น...ใครเลยจะเชื่อว่า ฤดูกาลนี้ Leicester City จะสร้าง Fairy Tales ที่น่ามหัศจรรย์ ด้วยการเป็นแชมเปี้ยนของลีกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อตอนต้นฤดูกาล...ถ้ามีใครมาบอกว่า ปีนี้ Leicester จะเป็นแชมป์ คงต้องมีแต่คนหัวเราะก๊ากใหญ่ๆ และพูดใส่หน้าแบบไม่เกรงใจว่า คนพูดคงเสียสติ อย่าว่าแต่เราๆ ท่านๆ เลยครับ, แม้กระทั่งเจ้าของสโมสร, นักเตะ รวมถึงทุกคนบนโลก ก็ไม่มีใครคิดเช่นนั้น... ก็แน่นอนอยู่แล้ว...ทีมที่เพิ่งจะรอดตกชั้นมาหวุดหวิด แล้วปีนี้กลับมาคว้าแชมป์ได้นี่...นอกจากปาฏิหาริย์แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ...แต่...

Post#3-238: Vaccine สกัดทุกข์?

Post#3-238: มีใครทราบกรรมวิธีผลิต Vaccine ที่ไว้ใช้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายกันบ้างมั๊ยครับ? ทราบหรือไม่ครับ...ว่าส่วนผสมที่สำคัญที่สุดที่ใช้ทำ Vaccine นั้น ก็คือตัวเชื้อโรคสำหรับวัคซีนประเภทนั้นๆ นั่นแหละครับ ถ้าเป็นสำนวนจีนกำลังภายใน ก็ต้องว่า "ใช้พิษต้านพิษ" นั่นเอง ... เมื่อได้รับ Vaccine ร่างกายเราก็จะทำปฏิกิริยากับ Vaccine นั้น และในที่สุดก็จะสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมา เมื่อมีภูมิคุ้มกันโรคแล้ว เราจึงไม่เป็นโรคนั้นอีก หรือมีโอกาสเป็นโรคนั้นๆ ได้น้อยลง แน่นอนว่า แม้จะได้รับ Vaccine ไปแล้ว แต่ไม่รู้จักดูแลตัวเองให้แข็งแรง...โรคภัยต่างๆ ก็ยังอาจมาเยี่ยมเยือนได้ ... เอาล่ะ เมื่อเราทราบแล้วว่า Vaccine ก็คือการใช้เชื้อโรคมาป้องกันเชื้อโรค... ผมคิดซนๆ ว่า...ถ้างั้น เราเองก็น่าจะผลิต Vaccine สำหรับต้านทุกข์ได้เช่นกัน? งั้นใครที่กำลังเป็นโรคทุกข์...ก็คิดเสียว่า เรากำลังสร้างภูมิคุ้มกันทุกข์ให้กับตัวเอง...ดีมั๊ยครับ? เมื่อคลายจากทุกข์...คราวหน้าถ้าเจอทุกข์อีก ก็จะทำใจได้เร็วขึ้น หรือไม่ก็คลายทุกข์ได้เร็วขึ้นอีก ... ทุกข์เกิดจากใจ...ดังนั้น ออกกำลังกา...

Post#3-237: สามสิ่งสำคัญสู่ความสุข

Post#3-237: เค้าว่ากันมา ว่าถ้าอยากรู้ความหมายของชีวิต ให้ไปถามนักปรัชญา หรือไม่ก็กวี... ด้วยเหตุที่นักปรัชญาเป็นนักตั้งคำถามชั้นยอด และกวีก็เป็นผู้ที่มองโลกได้อย่างลุ่มลึก ผมก็ไม่ทราบว่า ที่เค้าว่ากันมานั้นจะเป็นจริงเพียงใด แต่ที่พูดถึงมุมมองที่มีต่อนักปรัชญาและกวีนั้น...ผมเชื่อว่าจริง ... การจะเป็นนักปรัชญาหรือกวีได้...ต้องประกอบไปด้วยประสบการณ์ชีวิตที่สูง, มีองค์ความรู้ที่มาก และที่สำคัญต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์เป็นเยี่ยม ต่างกันที่ นักปรัชญาถ่ายทอดสิ่งที่พบ...ผ่านมุมมองของเหตุผล ส่วนกวีถ่ายทอดสิ่งที่พบ...ผ่านมุมมองของอารมณ์ คนที่มองโลกและแยกแยะได้ด้วยเหตุผลพร้อมๆ กับเติมสุนทรียภาพลงไปได้ด้วย...จึงควรค่าแก่การเป็น "ปราชญ์" ... เช่นเดียวกับ Joseph Addison (กวีชาวอังกฤษ) ที่แสดงวาทะแห่งปราชญ์ ไว้ให้เราคิดตามและชื่นชม...ว่า "Three grand essentials to happiness in this life are something to do, something to love, and something to hope for." แปลว่า "สามสิ่งสำคัญซึ่งนำไปสู่ความสุขในชีวิตนั้น ก็คือ มีบางเรื่องให้ทำ, มีบางอย่างให้รัก และมีบ...