Skip to main content

Post#3-249: น้อยไปอีกหรือ...ที่ให้

Post#3-249:
เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมเข้าไปประชุมกับน้องสาวเกี่ยวกับแนวทางการทำงานและบริหารร้านของเธอ

เราคุยกันหลายเรื่องหลายประเด็น แต่หลักๆ ก็คือเรื่องที่จะผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นยังไงได้บ้าง?

ตอนหนึ่งของการสนทนา...น้องสาวผมก็ตัดพ้อว่า เค้าตั้งใจมากกับการทำร้านนี้ แต่ทำไมไม่มีลูกค้ามากเท่าที่ควร

...

ความจริงเรื่องที่น้องสาวของผมรู้สึก เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เคยเกิดขึ้นแน่นอนกับทุกๆ คน

แต่น่าเสียดาย ที่ "ความตั้งใจ" เป็นนามธรรมที่ไม่มีใครมองเห็น และไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกถึงความตั้งใจของใครบางคนได้

ดังนั้น เราจึงมักจะพบว่า เราจะน้อยใจกับการที่คนไม่เห็นคุณค่าความตั้งใจของเรา อยู่เสมอ

และอาจเพราะบางครั้ง คนที่เราตั้งใจจะทำอะไรให้เค้านั้น อาจจะไม่ได้รู้ด้วยซ้ำ ว่าเรากำลังทำเพื่อเค้าอยู่

...

ผมเองก็บอกไม่ได้ครับ...ว่าต้องตั้งใจมากเท่าไหร่ จึงจะทำให้ผู้รับได้รับรู้

ผมเพียงบอกได้แค่ว่า...

ถ้าเราตั้งใจทำอะไรเพื่อใคร โดยไม่ได้มองถึงความต้องการของผู้รับ...ก็ยากนักที่จะทำให้ผู้รับ มองเห็นหรือรับรู้ในความตั้งใจนั้นๆ ได้

แปลว่า ก่อนจะมัวน้อยอกน้อยใจ เราควรต้องวิเคราะห์อย่างไม่โกหกตัวเองก่อน...ว่าเรากำลังทำในสิ่งที่เค้าต้องการหรือไม่?

...

และแม้ว่า เราจะไม่สามารถกำหนดหรือกะเกณฑ์ให้ใครก็ตาม หันมามองเห็นหรือรับรู้ถึงความตั้งใจของเราได้

...แต่เราเลือกที่จะปฏิบัติต่อความน้อยใจที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองได้ครับ

หนึ่ง ก็คือ สงสารตัวเอง แล้วก็ถอดใจยอมแพ้ไปเสีย

สอง ก็คือ ต้องยอมรับและเข้าใจว่า บางทีความตั้งใจของเราที่ว่า "มาก" นั้น อาจจะ "น้อย" ในความรู้สึกของคนอื่น...หรือไม่ก็เพราะ เราตั้งใจทำในสิ่งที่ยังไม่ใช่ความต้องการของผู้รับ อย่างที่ว่า

...

ก็คงอยู่ที่เราเองว่า จะเลือกข้อหนึ่งหรือข้อสอง?

แต่ถ้าผลลัพธ์ไม่ได้อย่างที่เราตั้งใจ นั่นย่อมอาจตีความได้ว่า วิธีการ, ขั้นตอน หรือกระบวนการ คงยังไม่ถูกต้องนัก

...ซึ่งไหนๆ ก็ตั้งใจทำมาอย่างดีแล้ว จะมาเลือกข้อหนึ่ง เพื่อนั่งสมเพชตัวเอง ก็ดูจะไม่ใช่การจบที่สวยงาม...ว่ามั๊ยครับ?...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...