Post#3-246:
เมื่อค่ำที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ใช้บริการ Uber ในประเทศสิงคโปร์...แต่จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้บริการ Uber เสียด้วยซ้ำ
ระหว่างทางกลับมาโรงแรม ผมก็สนทนากับผู้ให้บริการ ซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ (สมมติว่าชื่อ Mr.A ก็แล้วกันนะครับ)...ด้วยระยะทางสั้นๆ ทำให้ไม่อาจสนทนากันยาวนานได้ แต่ผมต้องขอบอกว่า ผมกลับได้ข้อคิดต่างๆ จาก Mr.A ค่อนข้างมาก
หลักๆ เราคุยกันเรื่อง Cost of Living ในประเทศสิงคโปร์นี่เองครับ
…
เปรียบเทียบให้เข้าใจได้ชัดขึ้น ราคา Coke Zero แบบขวด Pet ขนาด 500 ml. ใน 7-Eleven จะขายอยู่ที่ SG$ 2.7 ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 69.42 บาท ส่วนบ้านเรา ก็น่าจะอยู่ประมาณ 17 บาท
ราคาข้าวราดแกง กับข้าว 2 อย่าง ก็อยู่ประมาณ SG$ 2.8 (ประมาณ 72 บาท), ส่วนซูชิกล่อง ราคาอยู่ที่ SG$ 10.2 ก็ตกประมาณ 262 บาท
ถ้าไปทาน Dinner ในร้านหรูๆ หน่อย เป็น 3-Course Meal สำหรับ 2 คน ก็ตกประมาณคนละ SG$ 120-150 หรือประมาณ 3,085.40 - 3,856.75 บาท, ซึ่งราคานี้ ได้ Dinner มื้อหรูในโรงแรมใหญ่ๆ ในเมืองไทย ได้สบายๆ
ส่วนค่าแท็กซี่ ก็แพงดับจิตมากครับ, ระยะทางสั้นๆ ประมาณ 10 กิโลฯ นั่งกัน 2 คน ก็ตกประมาณ SG$ 12 หรือประมาณ 308.54 บาท
ยกตัวอย่างประมาณนี้ละกันนะครับ...เรียกว่า แรกๆ ที่ผมมาประเทศนี้ ถึงกับไม่ค่อยอยากกินหรือดื่มอะไรเลย เพราะพอคำนวณออกมาเป็นเงินบาท แล้วทำใจไม่ค่อยจะได้
ส่วนรายได้สำหรับพนักงาน Office ทั่วๆ ไป ก็ตกอยู่ประมาณเดือนละ SG$1,800 - 2,500 (ก็ตกประมาณ 46,280 - 64,279 บาท แล้วแต่ว่าทำตำแหน่งอะไร)
…
ก็ในเมื่อ Cost of Living สูงขนาดนี้, ผมเลยถาม Mr.A ด้วยความสงสัยว่า คนที่นี่เค้าอยู่กันได้ยังไง?
ถามเสร็จ...ผมก็นึกว่า Mr.A ก็คงบ่นนั่นบ่นนี่ไปตามเรื่อง แต่เปล่าเลยครับ เพราะ Mr.A ตอบแบบให้ผมนำไปคิดต่อว่า ถ้าคนในประเทศเราคิดได้แบบนี้บ้าง รับรองว่าเราคงเจริญก้าวหน้ากว่านี้เยอะ
Mr.A ตอบผมว่า...มันก็แล้วแต่ว่า คุณมี Life Style ยังไงมากกว่า?
ต่อให้คุณหาได้มาก แต่คุณใช้มากกว่าหา...ยังไงคุณก็ไม่มีทางมีเงินพอใช้ แต่ถ้าคุณรู้จักปรับ Life Style ให้เหมาะกับ Disposable Income ที่คุณมี ยังไงคุณก็มีเหลือเก็บ
ฟังคำตอบของ Mr.A แล้ว เหมือนจะง่าย...แต่การที่คุณจะเอาชนะความอยาก แล้วใช้ชีวิตอย่างพอเพียงนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ ครับ
Mr.A เล่าต่อว่า ชาวมาเลฯ ที่มาทำงานที่นี่ ต่างก็ทำงานใช้แรงงาน มีลูกถึง 4-5 คน ทำไมพวกเค้ายังมีชีวิตที่มีความสุขได้ ทำไมยังอยู่ได้ล่ะ...คำตอบนั้นแสนง่าย ก็เพราะพวกเค้าไม่ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ กลางวันห่อข้าวไปกิน วันหยุดไปปิคนิคริมหาด ในขณะที่ครอบครัวชาวจีน ต้องอาศัยคอนโดฯ หรู, กินอาหารในร้านดีๆ และต้องมีรถดีๆ ขับ
และ Mr.A จบการสนทนาที่กินใจผมด้วย...
“คนเราไม่สำคัญว่าจะต้องกินอะไรแพงๆ, อยู่คอนโดฯ หรูๆ, ต้องขับรถราคาสูงๆ หรือต้องไปเที่ยวต่างประเทศ...
แค่คุณกินให้คุ้มค่าเงิน, อยู่บ้านเล็กๆ ที่อบอุ่น, ไม่มีรถ ก็นั่งรถสาธารณะพาครอบครัวไปเที่ยวริมหาด แค่นี้ก็มีความสุขได้แล้ว
…อย่าคิดว่าให้เงินลูก แล้วจะทำให้เค้ามีความสุขเสมอไป, ถ้าคุณเอาแต่ทำงานหาเงิน จนไม่มีเวลาให้ลูก...เมื่อเค้าเติบโตขึ้นไป เค้าจะมีเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับครอบครัวไว้ให้จดจำ”
…
รถมาถึงหน้าโรงแรมแล้ว...
Mr.A หันมาบอกว่า “Ok, we are here at your hotel, it was nice talking to you…”
…ผมต่างหากครับ ที่อยากบอก Mr.A ว่า “It was nice learning from you.”…
Comments
Post a Comment