Skip to main content

Posts

Showing posts from July, 2016

Post#3-327: สักวันหนึ่งเราจะหัวเราะให้กับเรื่องที่เราเคยร้องไห้

Post#3-327: หลายเดือนก่อน ผมไปอ่านเจอประโยคที่นำมาตั้งเป็นหัวข้อ Post เข้าให้ อ่านแล้วก็คิดตามต่อยอดตามประสาคนซนๆ อย่างผม... แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ข้อสรุปที่ถูกใจตัวเองสักที ว่าการที่จะแปลงความรู้สึกเศร้าให้กลายเป็นเฉยๆ และจากเฉยๆ กลายเป็นขำได้น่ะ มันต้องอาศัยปัจจัยอะไรและเกี่ยวข้องกับระยะเวลาหรือเปล่าหนอ? ... ผมจำได้ว่า ผมเองก็เคยมีช่วงเวลาที่อ่อนแอเมื่อครั้งที่ยังไม่เดียงสากับความรัก จำได้ว่าเคยเสียน้ำตาไปหลายปี๊บ เมื่อคราวที่อกหักครั้งแรก...จำได้ว่าตอนนั้นเหมือนจะเป็นจะตาย แย่ขนาดที่ไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้ยังไง แต่แล้วผมก็อยู่มาได้ถึงวันนี้แล้วนี่นา...นึกย้อนกลับไปถึงวันนั้นแล้ว ก็นึกไม่ออกว่า ทำไมตอนนั้นเสียใจหนักหนา ทั้งที่วันนี้ กลับรู้สึกว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมันช่างจิ๊บจ๊อยเสียเหลือเกิน...และแน่นอนว่าตอนนี้ผมก็ไม่หลงเหลืออาการเศร้าเสียใจอยู่อีกแล้ว แม้ไม่ถึงกับยิ้มและหัวเราะให้กับมันได้...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ผมต้องขอบคุณที่มันทำให้ผมเติบโตขึ้น นี่เป็นแค่ตัวอย่างของเรื่องเล็กๆ ของความรู้สึกของเราที่ผันแปรไปตามกาลเวลา...ก็อาจจะจริงที่ความหนักหนาของเรื่องยิ่งมาก ก็อาจ...

Post#3-326: รับน้อง

Post#3-326: วันก่อนผมเจอรุ่นพี่ท่านหนึ่ง (สมมติชื่อพี่ P นะครับ) โดยบังเอิญ...เนื่องจากผมต้องรีบไปประชุมต่อ เลยมีโอกาสแวะทักทายกันเดี๋ยวเดียวเท่านั้น สมัยทำงานอยู่ที่เดียวกัน พี่ P จะเป็นคนรวมแก๊งส์เด็กโรงเรียนเดียวกันไปทานข้าวกันเป็นที่ครึกครื้นและสนุกสนาน...ประมาณเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง เรียกว่า ทำให้คนที่เข้ามาทำงานใหม่ทุกคนรู้สึกอบอุ่นและไม่เดียวดาย เพราะมีเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ให้การต้อนรับอยู่ ผมนับถือพี่ P ที่คิดไอเดียนี้ขึ้นมาได้...และนับถือยิ่งกว่า ที่พี่ P ลงมือทำให้ไอเดียดีๆ นี้กลายเป็นความจริง และกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำอันมีค่าของผม ... ช่วงเวลาก่อนหน้าที่ผมจะมาเจอพี่ P และจนกระทั่งผ่านมากว่า 5 ปี ที่ผมไม่ได้ทำงานอยู่ที่เดียวกับพี่ P แล้ว...ผมก็ไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกเป็นกันเองแบบนั้นอีกเลย มันเป็นความรู้สึกของความเป็นทีมเดียวกัน และทำให้ทุกคนในแก๊งส์สนิทกันอย่างรวดเร็ว...ด้วยความเป็นคนสถาบันเดียวกันและมีโอกาสได้มาอยู่องค์กรเดียวกัน เป็นการสร้างความอบอุ่นและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุดครั้งหนึ่ง...อย่างน้อยก็สำหรับผม ... สำ...

Post#3-325: Roadmap สู่วัยเกษียณ

Post#3-325: บ่ายวันนี้ ผมนั่งประชุมอยู่กับเพื่อน 2 คน, คนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ (สมมติว่าชื่อ K นะครับ) ส่วนอีกคนก็เป็นพี่ S (ที่เคยเล่าถึงไว้ใน Post#283) ถึงเรื่อง project ที่เรากำลังร่วมกันทำ พอหมดเรื่องธุรกิจ...เราก็เลยคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่างๆ มากมายหลายเรื่อง ทั้งเรื่องคุยกันขำๆ ทั้งเรื่องปรัชญาชีวิต หนึ่งในเรื่องที่ผมฟังแล้วก็ยิ้ม ก็คือ K บอกว่า เค้ารู้จักคนไม่น้อยกว่า 7 คน ที่บ้างานเหมือนผม...และทั้งหมดไม่มีใครอยู่เกินอายุ 55 เลยสักคน ... ที่ผมฟังแล้วยิ้ม เพราะรู้ดีว่า K เป็นห่วงผมจริงๆ จึงพูดให้ผมได้คิด...พี่ S เองก็ฟังแบบยิ้มๆ เพราะรู้จักผมดีกว่า K จะว่าผมทำงานหนักมั๊ย...สำหรับผมคิดว่า ผมทำงานมาก แต่ไม่ได้ทำงานหนัก นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกว่า ยังไม่ถึง limit ขนาดว่า รับงานอีกไม่ไหว เพราะแม้จะทำงานหลากหลายและมากมาย...ก็ใช่ว่าผมจะบ้างานจนไม่ได้พักผ่อนเสียเมื่อไหร่ ผมยังมีเวลาอยู่กับลูกและภรรยา, ผมยังมีเวลาไปทานข้าวกับพ่อ แล้วแถมยังมีเวลาอยู่กับตัวเองอีกด้วย ... ยังไงก็ตาม...ผมก็ไม่ปฏิเสธว่า ผมทำงานเยอะกว่าคนส่วนใหญ่โดยค่าเฉลี่ย หากแต่มันเป็นความสุขใจที่ได้ทำ...ไม...

Post#3-324: สมการความสำเร็จ

Post#3-324: หนึ่งในคำถามที่ผมถามตัวเองบ่อยๆ และผมเชื่อว่าอีกหลายร้อยล้านคนก็คงถามตัวเองอยู่เช่นกัน...ก็คือคำถามที่ว่า "อะไรคือตัวชี้วัดว่า เราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?" แน่นอนว่า ผู้คนส่วนใหญ่ผูกเอาความสำเร็จกับเรื่องความมั่งคั่งเข้าไว้ด้วยกัน...ก็เลยเกิดเป็นสมการที่ว่า "ความร่ำรวย = ความสำเร็จ" ผมไม่ทราบว่าใครเห็นด้วยกับสมการข้างต้นบ้าง...ว่าแล้วก็ขอชวนคิดเลยครับ ว่า "อะไรคือตัวชี้วัด ว่าเราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?" เนื่องจากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากหน่อย งั้นผมให้เวลา 10 นาที พอมั๊ยครับ? ... ถ้าความร่ำรวยไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จ ผมคิดว่า ตัวชี้วัดก็น่าจะเป็น เราบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วหรือไม่ (ไม่ว่าจะในเรื่องไหน จะเป้าหมายใหญ่หรือเล็ก ก็ตาม) แปลว่า ถ้าทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็หมายความว่า เราประสบความสำเร็จ ส่วนเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้น จะยากเกินไปหรือง่ายเกินไป, สมศักดิ์ศรีและเหมาะกับศักยภาพของเราหรือไม่...ตัวเราเองนั้นล่ะครับ ที่ต้องรู้ตัวเองดีที่สุด โกหกคนอื่นนั้นไม่ยาก...แต่โกหกตัวเองนั้น นอกจากจะยากมากๆ แล้ว (เพราะเรารู้ดี...

Post#3-323: The beliefs of successful person

Post#3-323: ต้องออกตัวก่อนครับว่า แม้วาทะต่อไปนี้จะไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวของผู้ที่ประสบความสำเร็จ แต่ผมก็ออกจะเห็นด้วยไม่น้อย เค้าว่าไว้ว่า... "Almost every successful person begins with two beliefs: the future can be better than the present, and I have the power to make it so." แปลว่า "ผู้ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนมักจะเริ่มต้นด้วยความเชื่อ 2 ข้อ: อนาคตจะดีกว่าปัจจุบัน, และข้าพเจ้ามีพลังที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้" ... ถ้าแค่เชื่ออย่างเดียวว่าอนาคตต้องดีกว่าปัจจุบัน มันจะมีค่าเพียงแค่ความคาดหวัง แต่ทันทีที่เราเติมความเชื่อที่ว่า "เราสามารถทำให้อนาคตดีกว่าปัจจุบันได้" ลงไป มันกลับทำให้ "ความคาดหวัง" ที่ว่า ขยับสถานะขึ้นเป็น "ความมุ่งหวัง" ต่างกันยังไงน่ะหรือครับ? ก็ต่างกันตรงที่ว่า ความมุ่งหวังนั้น ก็คือ "ความคาดหวังที่มีแผนงาน" อยู่ด้วยนั่นเอง ... เมื่อมีแผนคร่าวๆ ในหัว จึงทำให้มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า ทำไมอนาคตจึงจะดีกว่าปัจจุบันได้ แม้ว่าเส้นทางที่เราคิดไว้คร่าวๆ อาจจะไม่เส้นทางที่ถูกต้องที่สุด...แต่อย่าง...

Post#3-322: มาทำงานด้วยกันเถอะ

Post#3-322: วันนี้เกือบทั้งวัน ผมใช้เวลาหมดไปกับการสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน...เริ่มตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงเย็นย่ำที่ผ่านมา หนึ่งในคำถามที่ผมมักจะถามผู้สมัครงาน ไม่ว่าจะตำแหน่งงานสูงขนาดไหนก็ตาม ก็คือ "เรื่องอะไรที่คุณคิดว่าเป็นเรื่องที่หนักที่สุดในชีวิต?" แน่นอนว่า คำตอบนั้นไม่มีผิดหรือถูก แต่เป็นแค่มาตรวัดถึงเรื่องทัศนคติและมุมมองต่อเรื่องปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของผู้สมัคร ... จริงอยู่ที่ว่า...คนเราต่างมีความอดทนต่อสิ่งที่มากระทบไม่เท่ากัน...เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับเรา แต่กลับกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับอีกคนหนึ่ง แต่ความอดทนต่อเรื่องใดๆ นั้น ยังต้องถูกวิเคราะห์ต่อไปว่า เราตัดสินว่าจะไม่ทนต่อเรื่องนั้นๆ ด้วยอารมณ์หรือเหตุผลมากกว่ากัน? จากประสบการณ์ของผมแล้ว...คนมี IQ ดี ไม่จำเป็นต้องมี EQ ดี แต่คนมี EQ ดี มักจะมี IQ ที่ไม่แย่ เรียกว่า พวกฉลาดแต่เจ้าอารมณ์น่ะ มีเยอะ ในขณะที่พวกสุขุมแต่ไม่ฉลาดน่ะ ไม่ค่อยจะมี...ประมาณนั้นครับ ... การวิเคราะห์ให้รู้ระดับหนึ่งว่า คนที่จะมาทำงานกับเรา และคนที่เราจะไปทำงานด้วยนี่ มีมุมมองและทัศนคติยังไงนั้น เป็นเรื่องสำคั...

Post#3-321: เราเข้าใกล้เป้าหมายไปแล้วเท่าไหร่?

Post#3-321: เมื่อเช้านี้ ผมตื่นแต่เช้าเพื่อไปวิ่งออกกำลัง พร้อมกับภรรยา หลังจากที่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่หลายนาน ผมไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเองอายุมากแล้ว จนกระทั่งผมพาตัวเองข้ามผ่าน "หลักสี่" มาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และผมก็ไม่เคยรู้สึกว่า "การออกกำลังกาย" เป็นเรื่องจำเป็นมากขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน ... ความจริงก็ถูกที่ว่า ไม่ว่าเราอายุขนาดไหน เราก็ควรจะออกกำลังกาย...แต่เมื่ออายุเรามากขึ้นๆ การออกกำลังกายนั้น น่าจะเป็นเรื่องจำเป็นพอๆ กับที่เราต้องทานอาหาร ยิ่งโดยเฉพาะสมัยหนุ่มๆ ผมใช้ชีวิตแบบ extreme และหย่อนยานการออกกำลังกายมานาน จึงทำให้การเริ่มต้นออกกำลังกายในตอนนี้ ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย แต่ผมก็เชื่อว่า ไม่มีอะไรยากเกินไป หากว่าเราตั้งใจจะทำมันจริงๆ จังๆ ... เมื่อเช้านี้ ผมเลือกออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เพราะมันเป็นการออกกำลังที่ไม่ต้องเตรียมการล่วงหน้ามากมาย ช่วงที่กำลังวิ่ง เป็นอีกช่วงที่ผมรู้สึกว่า ใจเราจดจ่ออยู่กับแต่ละก้าวที่อยู่ตรงหน้า...ไม่ได้คิดอะไรไกลไปกว่านั้นเลย ก่อนออกวิ่ง ผมมีเป้าหมายในใจไว้แล้ว ว่าการกลับมาจริงจังกับการออกกำลังในวันแรกนี้ ผมจะ...

Post#3-320: "วันพิเศษ" และ "โอกาสพิเศษ"

Post#3-320: เที่ยงวันนี้ผมมีนัดทานข้าวกับเพื่อนที่เคยทำงานอยู่ด้วยกัน...แม้จะเจอกันไม่บ่อย แต่เราก็นัดทานข้าวด้วยกันอยู่บ้าง ถ้าไม่ติดเดินทางต่างประเทศหรือต้องประชุมสำคัญ...ผมมักไม่ค่อยจะพลาด หากเพื่อนนัดมา การได้เม้าท์มอยส์แบบไม่มีหัวข้อแบบตายตัว...คุยเรื่องนั้น กระโดดมาเรื่องนี้, แซวกันบ้าง, อำกันบ้าง...สำหรับผม ที่ทำอะไรมักจะชอบคิดและวางแผน ถือเป็นการออกจากพื้นที่คุ้นชินแบบหนึ่งครับ ... ประเด็นหนึ่งที่คุยกันวันนี้ เราว่ากันถึงเรื่อง "วันพิเศษ" และ "โอกาสพิเศษ" เพื่อนผมคุยถึงเรื่องที่บ้าน ที่แม่ๆ ของเรามักจะเก็บข้าวของเครื่องใช้ โดยเฉพาะพวกถ้วยชามรามไห และเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งหลาย เอาไว้...บอกว่า จะเอามาใช้ก็ต่อเมื่อเป็น "วันพิเศษ" หรือ "โอกาสพิเศษ" เท่านั้น แต่ละคนตีความเรื่อง "วันพิเศษ" และ "โอกาสพิเศษ" ไม่เหมือนกัน...และที่สำคัญ บางคนนั้น "วันพิเศษ" และ "โอกาสพิเศษ" ก็ไม่เคยมาถึง ... พวกผมคุยกันว่า จริงๆ แล้ว ทุกวันนั่นล่ะครับ คือวันพิเศษ การที่เราเข้านอนในยามค่ำคืนนั้น...ไม่มีอะไรรับปร...

Post#3-319: นั่งนิ่งๆ

Post#3-319: ช่วงระหว่างรอประชุม ผมมีเวลาว่างอยู่ครู่หนึ่ง, เลยพักสมองและใจด้วยการนั่งนิ่งๆ เฉยๆ...ไม่แม้กระทั่งคิดอะไรเลยด้วยซ้ำครับ แม้เป็นเวลาสั้นๆ แต่เหมือนผมหลุดออกไปจากความสับสนและวุ่นวายต่างๆ นาๆ... เสียงที่ผ่านเข้ามาในหู ผมก็ได้ยินว่ามีเสียง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร สายตามองไปข้างหน้า เห็นคนเดินผ่านไปมา...แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร, ผู้หญิงหรือผู้ชาย, หนุ่มหรือแก่ เมื่อไม่ได้เอาใจไปจับ...อะไรที่ผ่านหูผ่านตา ก็ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป ... น่าเสียดายที่เราไม่อาจนั่งนิ่งๆ เฉยๆ ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปได้แบบนี้ได้บ่อยๆ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะ "ปล่อยวาง" บางสิ่งบางอย่าง ให้ถูกต้องเหมาะสมกับช่วงเวลาและโอกาส หากเราถือทุกอย่าง แบกทุกเรื่อง ไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา ก็รังแต่จะทำให้เราหนักอกหนักใจ และหนักสมอง...จนบางครั้ง ก็ทำให้เราเสียศักยภาพในการวิเคราะห์ชีวิตของเราไป ... เมื่อเรานั่งนิ่งๆ ให้ใจนิ่ง ให้สมองนิ่ง...ก็เป็นโอกาสให้โลกหมุนผ่านเราไป เราไม่ได้หมุนตามโลกและไม่ได้หมุนทวนกระแสโลก...เราแค่ปล่อยให้โลกหมุน และเราก็เพียงแต่ปล่อยให้จิตเราลอยล่อง เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ...

Post#3-318: Are you confident?

Post#3-318: เคยลองสังเกตมั๊ยครับ ว่าตัวเรามีความมั่นใจในตัวเอง (Self-Confident) มากหรือน้อยเพียงใด? ไม่ว่าคำตอบจะเป็น "มาก" หรือ "น้อย", ผมก็จะถามต่อว่า อะไรคือสาเหตุที่เราตอบตัวเองว่า เรามั่นใจมากหรือน้อย? ลองคิดตามดูครับ...ผมให้เวลา 5 นาที ... Richard Kline (นักแสดงชาวอเมริกัน) แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องความมั่นใจไว้ได้อย่างน่าคิดตามมากครับ...โดย Kline ว่าไว้ว่า "Confidence is preparation. Everything else is beyond your control." แปลได้ว่า "ความมั่นใจ ก็คือ การเตรียมพร้อม. สิ่งอื่นนอกจากนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุมของคุณ" ... ผมเห็นด้วยกับ Kline เป็นอย่างยิ่งครับ...หากเรามีความพร้อมมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะมีความมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น ความพร้อมนั้น ต้องมาจากการถามตัวเองและตอบตัวเองอย่างซื่อสัตย์ว่า เรื่องที่เราควบคุมได้ เราได้ลงมือทำอย่างดีที่สุดแล้วใช่หรือไม่? ถ้าเราเตรียมทุกอย่างเป็นอย่างดีที่สุดแล้วจริงๆ เราก็จะเหลือเรื่องที่ทำให้ไม่มั่นใจน้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งถ้าเราสามารถบอกได้ว่า ปัจจัยหรือเรื่องที่จะทำให้ความมั่นใ...

Post#3-317: Professional Foul

Post#3-317: เคยได้ยินคำว่า "Professional Foul" กันบ้างมั๊ยครับ? โดยมาก เรามักจะได้ยินคำนี้ จากการแข่งขันกีฬาต่างๆ โดยเฉพาะกีฬาที่มีการปะทะกันของผู้เล่นแต่ละฝ่าย การที่ผู้เล่นทำผิดกติกาที่มีบทบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า หากทำผิดกฎข้อนี้ ผู้ตัดสินจะต้องลงโทษสถานหนักทันที ไม่ว่าผู้เล่นจะจงใจหรือไม่ก็ตาม...แบบนี้ล่ะครับ ที่เราเรียกว่า Professional Foul ... ในชีวิตจริง...กติกาของ Professional Foul ก็ถูกนำมาใช้อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับชีวิตการทำงาน บ่อยครั้ง ที่ Professional Foul กลายเป็นประเด็นถกเถียงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอยู่เสมอ...ถึงขั้นเป็นคดีความก็บ่อยไป ส่วนหนึ่งของความเห็นที่ไม่ตรงกัน ก็เกิดจากมุมมองที่อยู่กันคนละด้าน ทำให้การตีความต่อเรื่องเดียวกันนั้น ต่างกันแบบ "หนังคนละม้วน" ... เมื่อมี Professional Foul เกิดขึ้นในองค์กร, บางครั้งผู้บริหารก็จำใจต้องลงโทษ ทั้งที่ใจไม่อยากทำ เนื่องเพราะการปกครองคน ผู้บริหารมิอาจเลือกไม่ลงโทษ โดยอาศัยเพียงความรักหรือความเอ็นดูส่วนตัวได้ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่เราคนไทยรู้จักและเห็นภาพของ Professional Fo...

Post#3-316: แสงสว่างที่สุดของคนๆ หนึ่ง

Post#3-316: ผมเข้าใจมาตลอดว่า ความมืดเป็นสิ่งตรงข้ามกับแสงสว่าง...จนกระทั่งมาเจอกับวาทะที่ Rishika Jain (นักกวีชาวอินเดีย) ว่าไว้ "Dark is not opposite of Light. It is just the absence of Light. Similarly, a problem is the absence of an idea. Not absence of a solution." แปลว่า "ความมืดมิใช่สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับแสงสว่าง มันเป็นเพียงการขาดหายไปของแสงสว่าง ก็เท่านั้น. เช่นเดียวกันกับที่ ปัญหาก็เป็นแค่การขาดหายไปของไอเดีย หาใช่การไร้ซึ่งหนทางแก้ปัญหาไม่" Jain กำลังบอกอะไรเรากันนะ? ลองคิดตามดูมั๊ยครับ...ผมให้เวลา 5 นาที ... ผมตีความว่า Jain กำลังบอกให้เราอย่ายอมแพ้ง่ายๆ ความมืดที่เรากำลังเห็นว่ามันครอบคลุมไปทั่วบริเวณนั้นน่ะ ที่จริงมันก็เป็นแค่การขาดแสงสว่างไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น แล้วก็...เราไม่ต้องไปมัวมองหาแสงสว่างภายนอกให้เสียเวลา...เพราะทันทีที่เกิดไอเดียดีๆ ขึ้น เราก็จะพอเห็นหนทางแก้ปัญหา แม้ว่า เราอาจมองเส้นทางที่ว่าไม่เห็นด้วย "ตาเนื้อ"...แต่เมื่อใจเปิดขึ้น เส้นทางที่มองไม่เห็นที่ว่า ก็อาจถูกสัมผัสได้ด้วยใจ ... หากว่าเราไม่คิดจะยอ...

Post#3-315: Humbly pride vs Proudly humble

Post#3-315: หนึ่งในประเด็นที่ทำให้คน 2 กลุ่ม (หรือมากกว่า) มีอันต้องทะเลาะเบาะแว้งกันไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็คือประเด็นที่ว่าด้วย "ใครคือคนถูก" ที่น่าเศร้าก็คือ ส่วนใหญ่มัวแต่เถียงกันว่า ใครเป็นคนถูก และใครเป็นคนผิด ก่อนที่จะลงมือแก้ปัญหาให้ลุล่วงเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงมักเห็นผู้คนถกเถียงกันหน้าห้องแถวที่ไฟไหม้ มากกว่าที่จะเห็นผู้คนร่วมใจกันดับไฟที่กำลังโหมลุกไหม้ห้องแถวเหล่านั้น ... เมื่อใดก็ตามที่เราตั้งประเด็นถกเถียงหรืออภิปรายว่า "ใครเป็นคนถูก"...เมิ่อนั้น เรากำลังเริ่มถกกันถึง "เขตแดน" ของตัวเราเอง เราจะมองว่า "เหตุผล" ของอีกฝ่ายก็คือ "ข้ออ้าง" ในขณะเดียวกับที่อีกฝ่ายก็จะมองว่า "เหตุผล" ของเรา มันก็เป็นแค่ "ข้ออ้าง" ในมุมมองของเค้า เช่นกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างยึด "ความจริงจากด้านที่ตัวเองมอง" เป็นสำคัญ...มันจึงเป็นการประกาศว่า เราจะยืนอยู่บนคนละข้างของข้อเท็จจริง และเมื่อมองจากคนละด้าน, คนละมุม และคนละข้อมูล...เมื่อไหร่หนอ ที่แต่ละข้างจะคุยกันเข้าใจ? ... ดังนั้น ก่อนที่จะสรุปให้ได้ว่า ...

Post#3-314: คนรู้ความ vs คนรู้คิด

Post#3-314: ผมชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และผมมั่นใจว่ามีอีกหลายล้านคนบนโลกที่ชอบเหมือนๆ กับผม ทุกครั้งที่เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ มันเหมือนเป็นการ reset ตัวเองให้กลายเป็น "น้ำไม่เต็มแก้ว" เมื่อแก้วของเราไม่เต็ม...ก็แปลว่าเรามีพื้นที่ว่างที่พร้อมที่จะรับการเติมเต็มครั้งใหม่ๆ อยู่เสมอ ... ยังไงก็ตามความรู้ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ก็ยังไม่อาจทำให้เรากลายเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องได้...เราเป็นแค่คนที่รู้เพิ่มขึ้น...ก็เท่านั้น ลองอ่านวาทะต่อไปนี้ดู แล้วก็น่าจะเข้าใจย่อหน้าข้างต้นดีขึ้นครับ "Knowledge is learning something new every day. Wisdom is letting go of something every day." แปลว่า "หากความรู้ คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในทุกๆ วัน. ความฉลาด ก็คือการปล่อยวางบางสิ่ง ในทุกๆ วัน นั่นเอง" ... เราอาจจะรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน ด้วยการเก็บสะสมความรู้...แต่เราจะกลายเป็นคนฉลาด เมื่อเรารู้ว่า เราควรเก็บอะไรไว้ในหัว แล้วทิ้งอะไรออกจากใจ สิ่งที่เป็นองค์ความรู้เหนืออื่นใด...จึงกลายเป็น "ความรู้คิด"...คือการรู้จักคิดทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในสมอง และกรอ...

Post#3-313: แรงจูงใจ vs แรงจำใจ

Post#3-313: ค่ำนี้ ผมมีนัด Dinner กับเพื่อนต่างชาติที่กำลังทำ project ร่วมกันอยู่ มันเป็นเรื่องง่ายที่คิดจะเริ่มทำ project อะไรสักอย่าง...แต่มันเป็นเรื่องยากสุดๆ ที่จะทำให้ project ที่ว่า กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงๆ พูดให้ง่ายเข้าก็ต้องว่า...แค่ฝันนั้นน่ะง่าย แต่จะเริ่มต้นลงมือทำน่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย ... การเริ่มต้น project ใหม่ๆ นั้น...ความจริงก็ไม่ค่อยต่างจากการบังคับให้เราลุกจากที่นอนในตอนเช้า จำอารมณ์ตอนลืมตาตื่นตอนเช้า แล้วยังงัวเงียๆ...อยากจะนอนแช่อยู่อย่างนั้น ไม่อยากลุกไปทำงาน ได้มั๊ยครับ? อารมณ์แบบนี้นั่นแหละครับ คืออารมณ์เดียวกับตอนที่จะเริ่มต้น project อะไรสักอย่างที่ว่า ... เมื่อบังคับตัวเองให้ลุกจากที่นอนได้...ก็คือการเริ่มต้น project...และเมื่อลุกขึ้นจากที่นอนได้ ก็แปลว่า เราผ่านช่วงที่ยากที่สุดช่วงหนึ่งมาได้แล้ว ได้สังเกตตัวเองบ้างมั๊ยครับ...ว่าเราจะพร้อมสำหรับวันใหม่จริงๆ ก็ต่อเมื่อน้ำซู่แรกจากฝักบัวเริ่มรดหัวเรานั่นเอง... ทำ project ก็คล้ายแบบนี้ คือเมื่อผ่านจุดๆ หนึ่งไปได้ ก็แทบไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะ project มันจะคืบหน้าไปได้แน่ๆ สำ...

Post#3-312: Hang out

Post#3-312: ขณะนี้ ผมยังอยู่ใน Hang out Party กับเพื่อนชาวสิงคโปร์ ที่ร้านชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านทองหล่อ นับนิ้วกันดูให้ดี ผมไม่ได้มาร้านนี้นานกว่า 15 ปีได้แล้ว O_o" บรรยากาศของการตระเวณราตรีย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ความสนุกและพรึงเพริดกับแสง, สี, เสียง และความไร้ระเบียบนั้น ยังคงเดิม ... ย้อนหลังไปกว่า 16-17 ปีก่อน, สมัยผมยังเป็นหนุ่มฟ้อ (แต่แน่นอนว่าไม่ได้หล่อเฟี้ยว) ผมก็ใช้ชีวิตยามค่ำคืนอยู่ท่ามกลางแสงสี, กลิ่นควัน และน้ำเมา ชีวิตชายโสดนั้น ไม่มีอะไรให้เร่งรีบ ไม่มีใครรอคอยให้เรากลับไป, ช่วงนั้น ผมจึงพบตัวเองอยู่กับ Night Life...อารมณ์ว่า 4 ทุ่ม check-in และราวๆ ตี 4 ค่อย check-out กลับบ้าน เป็นอยู่แบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อคืน ... มานั่งนึกดู...ผมก็เห็นเป็นความไร้สาระเอาการ ที่เสียทั้งเวลา, เสียทั้งเงิน และเสียทั้งสุขภาพ ไปกับสิ่งอันไร้ประโยชน์เหล่านี้ แต่นั่นเป็นมุมมองจากตัวผมในวันที่อายุอานามก็ใกล้ดอนเมืองเข้าไปทุกขณะ...แต่ในช่วงที่ผมยังหนุ่มฟ้อ...การใช้ชีวิตยามค่ำคืนช่างเป็นสิ่งทึ่น่าพิศมัยและเป็นแก่นสารของชีวิตเสียเหลือเกิน มุมมองต่อเรื่องนี้สอนสัจธรรมให...

Post#3-311: อึกๆ อักๆ / อ้ำๆ อึ้งๆ / แหยๆ แหยงๆ

Post#3-311: ใครที่มีลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา...เคยเจอเหตุการณ์ที่พวกเค้าออกอาการแหยๆ ไม่กล้าคุยกับลูกค้าหรือคู่ค้าบ้างมั๊ยครับ? เป็นต้นว่า เวลาที่เราบอกหรือแนะให้คุยกับลูกค้าแบบนั้นหรืออย่างนี้ หรือให้ต่อรองกับคู่ค้าแบบนี้นะหรือแบบนั้นสิ แล้วลูกน้องก็จะอึกๆ อักๆ ซึ่งดูอาการก็รู้เลยว่า ไม่เต็มใจจะทำอย่างที่เราสั่ง เคยตั้งข้อสงสัยมั๊ยครับ...ว่าทำไม ลูกน้องจึงมีปฏิกิริยาแบบนั้น? ... ไม่ทราบว่าที่ผมคิด จะตรงกับคนอื่นหรือไม่...แต่ผมพอจะประมวลจากประสบการณ์ที่เจอมากับตัว ได้เป็น 4 ประเด็น ประเด็นแรก...อาจเพราะคำสั่งของเราขัดกับความเชื่อของลูกน้อง, ไม่ก็ลูกน้องอาจจะรู้สึกว่าคำสั่งของเราขัดต่อความถูกต้อง ประเด็นที่สอง...อาจเพราะลูกน้องรู้สึกละอายหรือกลัวที่จะคุย ด้วยเกรงจะถูกหัวเราะเยาะ/ดูถูก/ต่อว่า ประเด็นที่สาม...อาจเพราะมีประเด็นซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง เช่น ไปรับปากกับลูกค้าหรือคู่ค้าอื่นไว้ก่อนแล้ว, หรือก่อนหน้านี้ทะเลาะกับลูกค้าหรือคู่ค้าจนยากจะเสียหน้าไปคุยใหม่, ฯลฯ ประเด็นที่สี่...อาจเพราะลูกน้องไม่เข้าใจคำสั่งของเราดีพอ, จับต้นชนปลายไม่ถูก และโดยมากไม่กล้าพอที่จะถามเรา...

Post#3-310: ตราบที่เรายังมีแรงหายใจ...

Post#3-310: ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์แล้ว เราคงไม่อาจหลุดพ้นไปจากการต้องต่อสู้และดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ให้ได้ ทั้งนี้และทั้งนั้น ความหนักหนาสาหัสของการต้องต่อสู้และดิ้นรนที่ว่า ก็คงต้องไปดูถึงความจำเป็นส่วนตน หรือไม่ก็กิเลสและตัณหาของแต่ละปัจเจกบุคคล นั่นล่ะครับ หากเรายังไม่เลือกตัดขาดทางโลกไปเสียก่อน ยังไงเสียเราก็ต้องต่อสู้เพื่อตอบสนองความจำเป็นและกิเลสของเราต่อไปเรื่อยๆครับ...จะมากบ้าง น้อยบ้าง ก็ว่ากันไป ... และเมื่อพูดถึงการต่อสู้และดิ้นรน...ยังไงเสีย เราก็ต้องใช้พลังสารพัดรูปแบบ ทั้งภายในและภายนอก...เพื่อก้าวข้ามวันนี้ไปให้ได้ ไม่ใช้พลังกาย เราก็ต้องทุ่มพลังใจ...ไม่ใช้พลังสมอง ก็อาจต้องใช้กำลังทรัพย์...ไม่ถูกดึงด้วยพลังศรัทธา ก็อาจต้องโดนผลักดันด้วยพลังอื่นๆ รวมความแล้ว...ไม่ว่าจะด้วยพลังอะไรก็แล้วแต่...ก็ล้วนเป็นสาเหตุและเหตุผลที่ทำให้เราไม่อาจหยุดการต่อสู้และดิ้นรนได้ ... ก็ในเมื่อต้องใช้พลังมากมายและหนักหนาแบบนี้...เคยรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากลืมตาตื่นในวันรุ่งขึ้นบ้างมั๊ยครับ? บ่อยครั้งและบางหน...แม้จะรวมพลัง...ไม่ว่าจะภายในและภายนอกแล้วก็ตาม...เราก็ยั...

Post#3-309: รวมกันเราอยู่

Post#3-309: เช้านี้ผมเริ่มต้นวันด้วย Seminar กับ Vendor รายหนึ่งที่ Hong Kong เกี่ยวกับทิศทางและแผนการตลาดของพวกเค้า ต้องบอกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า Vendor ของเรากำลังคิดอะไร และกำลังจะทำอะไรบ้าง? เพราะเมื่อเราเข้าใจ Vendor...ก็จะทำให้เราสามารถวางแผนงานให้สอดคล้องกับเค้าได้ และนั่นหมายถึง Work Efficency ที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกัน (หรือที่เราเรียกว่า Synergy นั่นเองครับ) ... Vendor เอง ก็ทราบครับ ว่าเรื่องความสอดคล้องและความร่วมมือในการทำงานกับ Buyer นั้น สำคัญขนาดไหน...ไม่งั้นคงไม่ใช้งบประมาณก้อนไม่เล็ก เพื่อจัด Seminar ในลักษณะนี้ขึ้นมา กว่า 5 ชั่วโมง ที่ผมนั่งฟังทีม Vendor เล่าให้ฟังถึงวิธีคิดและแนวทางที่จะไปต่อ...สมองผมก็คิดตามไปด้วย ว่าจะปรับแผนของตัวเองยังไง ถ้าเรารู้จักใช้พลังของพันธมิตรให้เป็นประโยชน์...ก็จะเหมือนฝูงนกที่บินเป็นฝูง ที่ทำให้บินได้ดีขึ้น พร้อมๆ กับใช้พลังน้อยลง ... ในชีวิตจริง เราก็สามารถสร้าง Synergy ได้กับหลายๆ เรื่องครับ ขี่จักรยานเกาะๆ กันไปก็ใช่, ยิ่งขี่ Big Bike เป็นกลุ่มก็ยิ่งชัดเจน, หรื...

Post#3-308: กะเหรี่ยงหลงทาง

Post#3-308: ผมพบตัวเองเป็นกะเหรี่ยงหลงทางอีกครั้ง อยู่ในฝั่งเกาลูน, มะงุมมะงาหลากับการหาทางไปประชุม แม้จะมาประเทศที่สองของชาวไทยบ่อยอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากเป็นการมาเที่ยวเสียมากกว่า...และก็มีเส้นทางสายไหมของตัวเอง ก็เลยไม่เดือดร้อน แต่คราวนี้ ต้องออกนอกเส้นทางหลัก ก็เลยทำให้เดินหลงทางอย่างที่ว่าล่ะครับ ... หลังจากงงกับ MTR (รถไฟฟ้าใต้ดินของที่นี่ครับ) ผมก็พยายามหา Taxi เพราะไม่อยากหลง...มั่นใจว่ามาใกล้แล้วแน่ๆ ที่นี่เรียก Taxi ซี้ซั้วไม่ได้นะครับ ต้องไปเรียกที่ Taxi Stand และผมก็รอ Taxi นานมาก...โดนแซงคิวด้วย -"- แต่ปรากฏว่า ที่ประชุมกับจุดเรียก Taxi นั้น ไม่ห่างกันมาก พอบอกจุดหมาย คุณพี่ Taxi เกิดมีคุณธรรม...ไล่ผมลง พร้อมชี้มือชี้ไม้ให้เดินไปเอง T_T ... หมดท่าเข้า...ผมก็พึ่ง Google Map ในการคลำทาง...แต่อนิจจา มาคราวนี้ ดันลืมติด SIM Card ของฮ่องกงมาด้วย ผมจึงต้องใช้สัญญาณ Internet แบบ Data Roaming ซึ่งก็ติดๆ ดับๆ...เดี๋ยวอยู่ Net Work นั้น เดี๋ยวข้ามมา Network นี้ ซึ่งนับว่าเสี่ยงต่อการต้องจ่ายค่าบริการระดับหลายพันแน่ๆ T_T หลังลองอยู่พักใหญ่ก็ยอมแพ้ครับ...และเ...

Post#3-307: Leap forward of Myanmar

Post#3-307: เมื่อคืนนี้ ผมอยู่ช่วยงานเพื่อนอยู่ที่กรุงย่างกุ้ง...เมืองที่ผมไปมาหาสู่บ่อยเสียจนขี้เกียจจะนับครั้งแล้ว ^^ ไม่รู้สิครับ...ผมมีความรู้สึกว่า ชาวย่างกุ้ง กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการเมือง, เศรษฐกิจ และวิถีการใช้ชีวิต ที่เริ่มจะแตกต่างไปจากเดิม จากสภาพที่ล้าหลังกว่าไทยประมาณ 20-30 ปี เมื่อไม่กี่ปีมานี้...เมียนมาร์ โดยเฉพาะกรุงย่างกุ้ง น่าจะพร้อมสำหรับการจะเติบโตแบบ Leap Forward หรือที่เรียกว่า เติบโตแบบก้าวกระโดด ได้ไม่ยาก แต่ทว่า... พักไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ, ขอวกไปคุยเรื่องความพร้อมบางส่วนของชาวย่างกุ้งต่อ Leap Forward สักหน่อย ... ผลพวงของ Leap Forward นั้น ส่วนใหญ่มาจาก Globalization แทบทั้งสิ้น โลกเราเล็กลง...ใช้ชีวิตตามติดกันได้มากขึ้น ก็เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (เราน่าจะคุ้นกับคำว่า Information Technology มากกว่าครับ) นั่นเอง ตามการคาดคะเนของผมแล้ว...กลุ่ม Middle-to-High ชาวย่างกุ้ง นั้น มี Profile และ Life Style ที่เหนือกว่าระดับค่าเฉลี่ยของชาวกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำไป ทั้งในด้านภาษา, รสนิยม และวิธีคิด ของกลุ่มที่จะเป็นกำลัง...

Post#3-306: ด้วยสมองและสองมือ

Post#3-306: ช่วงนี้ผมกำลังทำ Organization Restructuring จึงทำให้ชีวิตวุ่นวายกว่าเดิมมากพอดู เรียกว่า ต้องดูแลให้งานประจำในแต่ละวันเดินไปได้ พร้อมๆ กับต้องวางแนวทางใหม่ไปด้วยพร้อมๆ กัน ถ้านึกไม่ออกว่าวุ่นวายยังไง ก็ลองนึกภาพของการที่เราต้องอยู่ในบ้านที่มีการซ่อมแซมขนานใหญ่ดูเถอะครับ นอกจากทำการ restructure บริษัทหนึ่งแล้ว...ผมยังต้อง set up อีกบริษัทหนึ่งไปพร้อมๆ กันอีกด้วย ทั้ง 2 งาน ต่างก็รอไม่ได้, ผมจึงต้องเหนื่อยหนักหน่อย...ว่าแล้ว ผมก็อยากจะแปลงร่างเป็นทศกัณฑ์เสียเหลือเกิน...จะได้มี 10 หน้า 20 แขน มาทำงานให้เสร็จไวๆ ... แต่ไม่ว่าจะเป็นการรื้อบ้านเพื่อทำใหม่ หรือไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านใหม่...ทั้ง 2 แบบ ต่างจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นด้วยการร่างแบบให้ชัดเจนเสียก่อน ปราศจากแบบร่างแล้ว...ถามว่า จะรื้อตรงไหน แล้วจัดตรงไหน? หรือจะสร้างบ้านขึ้นใหม่ให้เป็นแบบไหนกัน? ลองถามช่างดูก็ได้ครับ...ว่าการรื้อบ้านไปเขียนแบบไป หรือสร้างบ้านไปเขียนแบบไปน่ะ มันเป็นผลงานที่ทุลักทุเลและเละเทะยังไงบ้าง? ... ดังนั้น ไม่ว่าผมจะเริ่มทำงานไหน หรือทำงานให้ใครก็แล้วแต่...ผมจะเริ่มต้นด้วยการสร้...

Post#3-305: จุดอ่อนคือการที่ไว้ใจ

Post#3-305: บ่ายวันนี้ ผมมีอันต้องนับหนึ่งถึงร้อยอยู่หลายเที่ยวเอาการ เมื่อรู้ว่าหุ้นส่วนของผม (สมมติว่าชื่อพี่ K นะครับ) จงใจปิดบังข้อมูลสำคัญ ปกติเวลาเราโดนใครทำเหมือนเราเป็นคนโง่ เราก็ย่อมเสียใจและเจ็บใจพอแรงอยู่แล้ว แต่เวลาที่โดนคนที่เราไว้ใจทำกับเราแบบนี้... คิดว่าหลายๆ คนคงนึกออก ว่าผมน่าจะรู้สึกยังไง? ... ตอนที่ผมรู้ว่าโดนพี่ K "เจตนา" ซ่อนข้อมูลนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่า โดนใครเอาค้อนปอนด์มาทุบที่หัวแรงๆ ต่อจากนั้นความเสียใจ, ความน้อยใจ และความเจ็บใจ ก็แย่งกันท่วมมาในหัวอก...และกลายเป็นความโกรธที่ไม่เล็ก ...แล้วผมก็นั่งทบทวนว่า ที่ผ่านมาผมทำอะไรเพื่อพี่ K และพี่ K ทำอะไรให้ผมบ้าง? เพราะตั้งแต่เป็นหุ้นส่วนกันมา...ผมจำไม่ได้เลย ว่าเคยไปเอาเปรียบพี่ K ตอนไหน...ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าในใจ เพราะผมมั่นใจว่า ผมไม่ได้ติดค้างอะไรพี่ K แน่ๆ ... ผมรอจนใจเย็นลงบ้าง...แล้วก็ใช้วิธี Line ไปคุยกับพี่ K... ผมอธิบายว่า ทำไมผมจึงโกรธ และสิ่งที่พี่ K ทำนั้น ไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง, ส่งผลเสียอะไรบ้าง และสุดท้ายผมขอให้พี่ K เห็นใจผมบ้าง ตามบทบาทที่วางไว้ในบริษัทฯ ผมอยู่ในตำ...

Post#3-304: จุดประสงค์ของการถกเถียง

Post#3-304: ผมใช้เวลาทั้งวันของวันนี้ไปกับการประชุม, ประชุม และประชุม เหมือนที่เป็นมาทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ประชุมช่วงบ่ายน่ะ หนักเป็นพิเศษครับ เพราะเป็นเรื่องที่ว่าด้วยการวางเป้าหมายการขาย เรื่องสำคัญแบบนี้ ก็จะมีหลายฝักหลายฝ่ายเข้าร่วมประชุม ต่างคนต่างก็มีมุมมองที่ผิดแผกแตกต่างกัน ดังนั้น ระหว่างการประชุมก็จะมีการถกความคิด แลกความเห็น และถกเถียงหรืออภิปรายกันเล็กๆ ... มาลองคิดดูแล้ว...ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องปิดท้ายการถกเถียงหรือการอภิปราย ด้วยการทะเลาะกัน เสมอไป เพราะแม้จะเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธกัน ด้วยเหตุที่หัวข้อที่ถกเถียงหรืออภิปรายกันนั้น เป็นการทำเพื่อหาหนทางร่วมกันไปสู่เป้าหมายขององค์กร แปลว่า ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายเดียวกัน แต่จะเลือกเส้นทางเดินแบบไหนที่ต่างฝ่ายต่างก็พอรับได้ ... ฝรั่งว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ได้ดีทีเดียวครับ... "The purpose of an argument, should not be victory, but progress." ...แปลว่า "จุดประสงค์ของการถกเถียงกันนั้น ไม่ควรเป็นเรื่องใครชนะ หากแต่เป็น จะทำให้คืบหน้าได้อย่างไร ต่างหาก"... Cr: livelifehappy.co...

Post#3-303: ความลับที่ไม่ลับ

Post#3-303: ผมเชื่อว่า คนเราทุกคนต่างก็มีเรื่องราวอะไรบางอย่างที่เราอยากเก็บไว้คนเดียวโดยไม่บอกให้ใครรู้ เรามักเรียกเรื่องราวที่ว่านี้ว่า "ความลับ" และคิดไปคิดมาก็น่าแปลก ที่พอเรารู้สึกว่าใครเก็บเรื่องไหนไว้เป็นเรื่องลับ...เราก็มักจะอยากล้วงแคะแกะเกาให้กระจ่าง แต่พอเป็นเรื่องความลับของเราบ้าง...เรามักจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทุกที หากมีใครพยายามจะมาขุดคุ้ย ... ทีนี้ถ้ามันเป็นความลับจริง...เคยสงสัยกันมั๊ยครับ ว่ามันรั่วไหลออกมาได้ยังไงกันนะ? คำตอบนั้นแสนง่าย...ก็เจ้าของความลับนั่นแหละครับที่มักจะเผลอเรอหรือไม่ก็อึดอัดจนเก็บความลับนั้นไว้ไม่ได้... ที่สุดแล้วจึงทำให้เรื่องลับกลายเป็นไม่ลับอีกต่อไป ... แล้วก็ตลกมั๊ยล่ะครับ ที่เวลาเราจะเล่าความลับให้ใครคนอื่นฟัง...เราก็มักจะบอกว่า "อย่าไปบอกใครนะ" คิดว่าใครคนอื่นที่ว่าน่ะ...เค้าจะเชื่อเรา เก็บเรื่องราวนั้นไว้เป็นความลับ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ? ฝรั่งพูดถึงเรื่องความลับไว้น่าสนใจและเราน่าจะเก็บไว้เตือนใจตัวเราเองครับ, เค้าว่าไว้ว่า "Never give your secret to anyone because if you can't keep it t...

Post#3-302: Six Degree of Separation

Post#3-302: เคยได้ยิน "Six Degree of Separation Theory" บ้างมั๊ยครับ? มันเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วย การที่เราอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับใครคนใดก็ตามบนโลกใบนี้ ผ่านการติดต่อผ่านคนเพียงไม่เกิน 6 ทอด เท่านั้น มีคนแปลชื่อทฤษฎีนี้ว่า "ทฤษฎีโลกใบเล็ก" บ้าง ไม่ก็เรียกว่า "ทฤษฎีหกช่วงคน" ซึ่งผมชอบแบบหลัง เพราะมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า ใครอยู่ว่างๆ ลองนึกดูก็ได้ครับ ว่าการจะรู้จักใครสักคนที่เราคิดว่า คงเป็นไปไม่ได้หรอก ที่เราจะไปรู้จักเค้าได้น่ะ? นั่นสิครับ...จะเป็นไปได้จริงหรือ กับแค่การติดต่อผ่านคนแค่ 6 คน เท่านั้น? ... อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนลองนึกตามดู แล้วก็พบว่า มันเป็นไปได้จริงๆ เสียด้วย! และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ใครบางคนเรียกทฤษฎีนี้ว่า "ทฤษฎีโลกใบเล็ก" ก็จะไม่เล็กยังไงไหวครับ แค่ติดต่อใครสักคนแล้วเชื่อมไปเรื่อยๆ แค่ 6 ครั้ง...เราก็เชื่อมต่อได้แล้ว ยิ่งปัจจุบัน เรามี Social Network เรายอ่งพบว่า เครือข่ายการเชื่อมโยงของคนเรา ม้นช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง บางครั้ง ผมก็แปลกใจไม่น้อย ว่าเพื่อนคนนี้รู้จักกับคนนี้ด้วยหรือเนี่ย...ซึ่งสำนวนไท...

Post#3-301: มรรคาแห่งจอมยุทธ์

Post#3-301: เมื่อครู่นี้เองครับ ผมได้พบกับ CEO ขององค์กรระดับแสนล้าน (ที่ผมเคยมีโอกาสได้ไปทำงานอยู่ด้วย) โดยบังเอิญ...และน่ายินดีที่ท่านยังจำผมได้ แต่เรื่องที่ทำให้ผมยินดียิ่งไปกว่าที่ท่านกรุณาจำผมได้ก็คือ...ท่านไม่ได้มีความถือตัวว่าเป็นคนใหญ่คนโตเลย... เมื่อก่อนท่านเคยคุยกับผมยังไง, ผ่านไปกว่า 4 ปี จนมาถึงวันนี้, ท่านก็ยังยิ้มแย้มทักทายและพูดคุยกับผมเหมือนเดิม ... เท่าที่ผมประสบด้วยตัวเอง ผมพบว่า...คนที่เป็นผู้บริหารองค์กรระดับสูง มักเป็นผู้มีจรรยางาม, สมถะ, ติดดิน และมีความอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่เป็นนิจ จรรยาของท่านผู้ใหญ่เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่เราควรนำมาเป็นต้นแบบ หากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ได้ยั่งยืนด้วยรากแก้วอันมั่นคงฉันใด...จรรยาที่งดงามก็จะเป็นดั่งฐานอันแข็งแกร่ง ให้คนเรายืนหยัดอย่างสง่าอยู่ได้ฉันนั้น ... อันว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น นอกจากจะต้องมีความเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีในตัวแล้ว ยังต้องเลือกองค์กรที่จะเป็นที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้ผลิดอกออกผลอีกด้วย ซึ่งแต่ละองค์กร ต่างก็มีวิถีในการบ่มเพาะคน ที่แตกต่างกันไป... องค์กรใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะผู้...

Post#3-300: ความเอ๋ยความรัก

Post#3-300: ไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง...อดีตลูกน้องคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อน้อง C นะครับ) โทรมาปรับทุกข์ด้วยเสียงสั่นเครือ...เพราะพึ่งถูกแฟนบอกเลิก ผมไม่ได้ปลอบอะไรเลย...ฟังอย่างเดียวเท่านั้น เพราะประเมินแล้ว ว่าน้อง C ยังไม่พร้อมจะเลิกเศร้า ผมไม่ได้ใจดำ...แต่ไม่ถนัดจะปลอบให้ใครหนีความจริง อีกทั้งผมก็ไม่ใช่ Love Guru ที่เชี่ยวชาญแบบศิราณี หรือดีเจคลื่นวิทยุ ... หลายๆ ครั้ง ผมมักได้ยินหลายๆ คน ปลอบใจคนโดนทิ้ง ว่าให้ออกจากที่เดิมๆ ไปอยู่ที่ใหม่ๆ ไปเจอคนใหม่ๆ จะได้คลายเศร้าลงได้บ้าง แม้ผมจะไม่เห็นด้วยเสียทีเดียว...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับ ว่ามันก็ช่วยได้บ้างเล็กน้อย ที่บอกว่าไม่เห็นด้วยเสียทีเดียว...เพราะผมมีความรู้สึกว่า มันออกจะเป็นการวิ่งหนีปัญหาไปสักหน่อย ...เพราะตราบใดที่ไม่แก้ที่หัวใจและสมองของเราเสียก่อน...ต่อให้หนีไปสุดหล้า ก็ไม่อาจจะคลายความเศร้าได้ ยังไงก็ตาม...การหลบไปจากที่เดิมๆ และคนเดิมๆ ก็อาจพอช่วยได้...หากว่าการหลบที่ว่านั้น เป็นการหลบไปทบทวนสติ ไม่ใช่หลบไปฟูมฟาย ... ตราบเท่าที่เราอยู่บนโลกนี้ เราก็ไม่อาจหลบลี้หนีหน้าไปจากปัญหาที่ว่าด้วยเรื่องของความรักแล...

Post#3-299: In search of Excellence...

Post#3-299: สำหรับใครหลายๆ คนที่ไม่ได้เกิดมาเก่งเลิศเลอ (ซึ่งผมเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) ก็มักจะมีความทะยานอยาก...อยากที่จะทำให้ตัวเราดีขึ้น หรือเก่งขึ้น แต่ทว่าความทะยานอยากเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะทำให้ใครคนนั้นเก่งขึ้นหรือดีขึ้นได้...หากปราศจากการลงมือทำ กระนั้น เราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า ความทะยานอยากนั้น เป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้ใครคนใดก็ตาม ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างให้โลกตกตะลึงมานักต่อนักแล้ว ... ปราศจากความทะยานอยาก...เราย่อมเฉยชาเนือยหน่วง... ปราศจากการลงมือทำ...เราอาจเป็นได้แค่นักฝันกลางวัน เราจึงจำต้องแปลงความทะยานอยากให้เป็นเชื้อเพลิงให้ตัวเราลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างจริงๆ จังๆ...ไม่ใช่เหยาะแหยะไปวันๆ ... เมื่อเราสามารถฝึกตัวเราให้แปลงความทะยานอยากให้เป็นการลงมือทำได้บ่อยๆ...ก็จะทำให้เรามีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างต่อเนื่อง แรกๆ เราอาจจะล้มเหลว หรือแม้สำเร็จ แต่ผลงานของเราก็อาจยังไม่เข้าขั้น...หากแต่อย่างน้อย เราก็จะได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ให้มากขึ้นและมากขึ้น แล้ววันหนึ่ง...เราจะเกิดการตกผลึกทางความคิด, ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ซึ่งมันย่อมจะกล...

Post#3-298: Hope for it, then work for it!

Post#3-298: ไม่แน่ใจว่า คนอื่นๆ จะเห็นด้วยกับผมรึเปล่า ที่ว่า ปัจจุบันนี้ ผู้คนส่วนหนึ่งมักอยากจะสบายมากจนเกินไป อารมณ์ประมาณ ไม่อยากเหนื่อย แต่อยากจะรวย...อยากทำงานน้อยๆ เท่ๆ แต่ได้ค่าตอบแทนสูงๆ เท่าแล้วเท่ารอด...ผมก็ยังนึกไม่ออกเลยครับ ว่างานอะไรหนอ ที่จะให้ค่าตอบแทนสูงๆ โดยที่เราไม่ต้องทุ่มเทอย่างสูงเพื่อให้ได้มา ... ถ้านึกไม่ออก ว่าพฤติกรรมอย่างที่ว่าเป็นแบบไหน ก็นึกภาพตอนเราสวดมนต์ไหว้พระดูก็ได้ครับ สังเกตตัวเองมั๊ยครับ ว่าขอพรอะไรจากพระท่านบ้าง? ถ้าเรายังขอพรให้ตัวเราร่ำรวย, ขอให้สวย, ขอให้เก่ง...แบบนี้ ก็เข้าข่าย อยากได้โดยไม่ต้องออกแรง...ใช่มั๊ยครับ? ... ความอยากมี, อยากได้ หรืออยากเป็น โดยไม่ต้องลงมือ...จึงเป็นหนึ่งในกิเลสที่เลวร้าย ที่รังแต่จะทำให้ตัวเราถอยหลังลงคลอง ดังนั้น เราจึงควรกำกับสติตัวเองให้ดีครับ...อย่าปล่อยให้ความอยากสบายมาครอบงำตัวเรา จนทำให้เรากลายเป็นพวกไม่รู้จักพึ่งพาตนเอง ฝากวาทะเตือนใจไว้ครับ... "Never hope for it more than you work for it." ...แปลว่า "จงอย่าคาดหวังสิ่งใดให้เกินไปกว่าการลงแรงในสิ่งที่คาดหวังนั้น"....