Post#3-312:
ขณะนี้ ผมยังอยู่ใน Hang out Party กับเพื่อนชาวสิงคโปร์ ที่ร้านชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านทองหล่อ
นับนิ้วกันดูให้ดี ผมไม่ได้มาร้านนี้นานกว่า 15 ปีได้แล้ว O_o"
บรรยากาศของการตระเวณราตรีย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ความสนุกและพรึงเพริดกับแสง, สี, เสียง และความไร้ระเบียบนั้น ยังคงเดิม
...
ย้อนหลังไปกว่า 16-17 ปีก่อน, สมัยผมยังเป็นหนุ่มฟ้อ (แต่แน่นอนว่าไม่ได้หล่อเฟี้ยว) ผมก็ใช้ชีวิตยามค่ำคืนอยู่ท่ามกลางแสงสี, กลิ่นควัน และน้ำเมา
ชีวิตชายโสดนั้น ไม่มีอะไรให้เร่งรีบ ไม่มีใครรอคอยให้เรากลับไป, ช่วงนั้น ผมจึงพบตัวเองอยู่กับ Night Life...อารมณ์ว่า 4 ทุ่ม check-in และราวๆ ตี 4 ค่อย check-out กลับบ้าน
เป็นอยู่แบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อคืน
...
มานั่งนึกดู...ผมก็เห็นเป็นความไร้สาระเอาการ ที่เสียทั้งเวลา, เสียทั้งเงิน และเสียทั้งสุขภาพ ไปกับสิ่งอันไร้ประโยชน์เหล่านี้
แต่นั่นเป็นมุมมองจากตัวผมในวันที่อายุอานามก็ใกล้ดอนเมืองเข้าไปทุกขณะ...แต่ในช่วงที่ผมยังหนุ่มฟ้อ...การใช้ชีวิตยามค่ำคืนช่างเป็นสิ่งทึ่น่าพิศมัยและเป็นแก่นสารของชีวิตเสียเหลือเกิน
มุมมองต่อเรื่องนี้สอนสัจธรรมให้ผมอย่างมากจริงๆ
...
เรื่องบางเรื่องในบางช่วงอายุ เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระและความหมาย...ต่อเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เรื่องที่เปี่ยมไปด้วยสาระและความหมายดังกล่าว มันกลับมีค่าแค่เศษธุลี เมื่อเรามองมันจากอีกช่วงอายุหนึ่ง
ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ตรงที่ความจริงในช่วงชีวิตหนึ่ง กลับดูคล้ายเรื่องราวในฝันหรือในจินตนาการ...ที่เราจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันคือ "เรื่องจริง" หรือไม่
นั่นจึงเป็นเหตุผลทึ่ว่า อดีตมีค่าเป็นเพียงเรื่องให้นึกถึง หรือเป็นบทเรียน...เป็นเพียงหินก้อนหนึ่งให้เราเหยียบข้ามไปยังอนาคตข้างหน้า
แน่นอนว่า เรามิอาจวัดความสำเร็จจากจำนวนหินที่เราเหยียบย่ำผ่านไป หากแต่เป็นประเด็นที่ว่า เราเรียนรู้อะไรขณะที่เหยียบหินแต่ละก้อน เพื่อส่งผ่านเราไปสู่อนาคต ต่างหาก
...ผมยืนยันว่า เราสามารถเติบโตทางความคิดและจิตวิญญาณได้ทุกขณะจิต...ไม่เว้นแม้แต่ ณ เวลาที่เราอยู่ท่ามกลางแสงสีและความมีสาระแห่งความไร้สาระของชีวิตก็ตาม...
ขณะนี้ ผมยังอยู่ใน Hang out Party กับเพื่อนชาวสิงคโปร์ ที่ร้านชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านทองหล่อ
นับนิ้วกันดูให้ดี ผมไม่ได้มาร้านนี้นานกว่า 15 ปีได้แล้ว O_o"
บรรยากาศของการตระเวณราตรีย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ความสนุกและพรึงเพริดกับแสง, สี, เสียง และความไร้ระเบียบนั้น ยังคงเดิม
...
ย้อนหลังไปกว่า 16-17 ปีก่อน, สมัยผมยังเป็นหนุ่มฟ้อ (แต่แน่นอนว่าไม่ได้หล่อเฟี้ยว) ผมก็ใช้ชีวิตยามค่ำคืนอยู่ท่ามกลางแสงสี, กลิ่นควัน และน้ำเมา
ชีวิตชายโสดนั้น ไม่มีอะไรให้เร่งรีบ ไม่มีใครรอคอยให้เรากลับไป, ช่วงนั้น ผมจึงพบตัวเองอยู่กับ Night Life...อารมณ์ว่า 4 ทุ่ม check-in และราวๆ ตี 4 ค่อย check-out กลับบ้าน
เป็นอยู่แบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อคืน
...
มานั่งนึกดู...ผมก็เห็นเป็นความไร้สาระเอาการ ที่เสียทั้งเวลา, เสียทั้งเงิน และเสียทั้งสุขภาพ ไปกับสิ่งอันไร้ประโยชน์เหล่านี้
แต่นั่นเป็นมุมมองจากตัวผมในวันที่อายุอานามก็ใกล้ดอนเมืองเข้าไปทุกขณะ...แต่ในช่วงที่ผมยังหนุ่มฟ้อ...การใช้ชีวิตยามค่ำคืนช่างเป็นสิ่งทึ่น่าพิศมัยและเป็นแก่นสารของชีวิตเสียเหลือเกิน
มุมมองต่อเรื่องนี้สอนสัจธรรมให้ผมอย่างมากจริงๆ
...
เรื่องบางเรื่องในบางช่วงอายุ เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระและความหมาย...ต่อเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เรื่องที่เปี่ยมไปด้วยสาระและความหมายดังกล่าว มันกลับมีค่าแค่เศษธุลี เมื่อเรามองมันจากอีกช่วงอายุหนึ่ง
ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ตรงที่ความจริงในช่วงชีวิตหนึ่ง กลับดูคล้ายเรื่องราวในฝันหรือในจินตนาการ...ที่เราจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันคือ "เรื่องจริง" หรือไม่
นั่นจึงเป็นเหตุผลทึ่ว่า อดีตมีค่าเป็นเพียงเรื่องให้นึกถึง หรือเป็นบทเรียน...เป็นเพียงหินก้อนหนึ่งให้เราเหยียบข้ามไปยังอนาคตข้างหน้า
แน่นอนว่า เรามิอาจวัดความสำเร็จจากจำนวนหินที่เราเหยียบย่ำผ่านไป หากแต่เป็นประเด็นที่ว่า เราเรียนรู้อะไรขณะที่เหยียบหินแต่ละก้อน เพื่อส่งผ่านเราไปสู่อนาคต ต่างหาก
...ผมยืนยันว่า เราสามารถเติบโตทางความคิดและจิตวิญญาณได้ทุกขณะจิต...ไม่เว้นแม้แต่ ณ เวลาที่เราอยู่ท่ามกลางแสงสีและความมีสาระแห่งความไร้สาระของชีวิตก็ตาม...
Comments
Post a Comment