Post#3-305:
บ่ายวันนี้ ผมมีอันต้องนับหนึ่งถึงร้อยอยู่หลายเที่ยวเอาการ เมื่อรู้ว่าหุ้นส่วนของผม (สมมติว่าชื่อพี่ K นะครับ) จงใจปิดบังข้อมูลสำคัญ
ปกติเวลาเราโดนใครทำเหมือนเราเป็นคนโง่ เราก็ย่อมเสียใจและเจ็บใจพอแรงอยู่แล้ว แต่เวลาที่โดนคนที่เราไว้ใจทำกับเราแบบนี้...
คิดว่าหลายๆ คนคงนึกออก ว่าผมน่าจะรู้สึกยังไง?
...
ตอนที่ผมรู้ว่าโดนพี่ K "เจตนา" ซ่อนข้อมูลนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่า โดนใครเอาค้อนปอนด์มาทุบที่หัวแรงๆ
ต่อจากนั้นความเสียใจ, ความน้อยใจ และความเจ็บใจ ก็แย่งกันท่วมมาในหัวอก...และกลายเป็นความโกรธที่ไม่เล็ก
...แล้วผมก็นั่งทบทวนว่า ที่ผ่านมาผมทำอะไรเพื่อพี่ K และพี่ K ทำอะไรให้ผมบ้าง?
เพราะตั้งแต่เป็นหุ้นส่วนกันมา...ผมจำไม่ได้เลย ว่าเคยไปเอาเปรียบพี่ K ตอนไหน...ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าในใจ เพราะผมมั่นใจว่า ผมไม่ได้ติดค้างอะไรพี่ K แน่ๆ
...
ผมรอจนใจเย็นลงบ้าง...แล้วก็ใช้วิธี Line ไปคุยกับพี่ K...
ผมอธิบายว่า ทำไมผมจึงโกรธ และสิ่งที่พี่ K ทำนั้น ไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง, ส่งผลเสียอะไรบ้าง และสุดท้ายผมขอให้พี่ K เห็นใจผมบ้าง
ตามบทบาทที่วางไว้ในบริษัทฯ ผมอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับบัญชา, ดังนั้น ไม่ว่าจะในฐานะหุ้นส่วน, เจ้านาย หรือน้อง...พี่ K ก็ทำผิดต่อผมในทุกแง่มุม
สรุปว่า ผมเจ็บเป็น 3 เท่า ก็แล้วกันครับ
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมต้องเจ็บในหัวใจที่ไว้ใจพี่ K...แต่ครั้งสุดท้ายมาถึงเมื่อบ่ายนี้นั่นเองครับ
...
ทุกครั้งที่ผมรู้ตัวว่าโกรธมากๆ ผมมักจะเลือกใช้วิธีคุยกับอีกฝ่ายด้วยตัวหนังสือ...
เพราะบ่อยครั้งที่เราห้ามปากตัวเองไม่ทัน...แต่เรามักจะยั้งนิ้วได้บ้าง เพราะกว่าจะสะกดคำออกมาเป็นประโยคให้ได้ใจความนั้น เราต้องใช้สมองซีกเหตุผลมากกว่าอารมณ์
และอีกฝ่ายยังได้มีโอกาสอ่านข้อความของผมซ้ำมาซ้ำไป เพื่อที่จะได้ทบทวนเหตุและผล ที่มาและที่ไป ได้โดยไม่หลงประเด็น
...
ผมหวังว่า เรื่องที่ผมแชร์วันนี้ จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับคนอื่นๆ บ้าง...
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความจริงใจในการทำงานร่วมกับใคร หรือเรื่องการเลือกวิธีสื่อสารในยามอารมณ์ไม่ปกติ
...และสุดท้าย ก็คือ การให้อภัย "แต่ไม่มีวันลืม" ครับ...
บ่ายวันนี้ ผมมีอันต้องนับหนึ่งถึงร้อยอยู่หลายเที่ยวเอาการ เมื่อรู้ว่าหุ้นส่วนของผม (สมมติว่าชื่อพี่ K นะครับ) จงใจปิดบังข้อมูลสำคัญ
ปกติเวลาเราโดนใครทำเหมือนเราเป็นคนโง่ เราก็ย่อมเสียใจและเจ็บใจพอแรงอยู่แล้ว แต่เวลาที่โดนคนที่เราไว้ใจทำกับเราแบบนี้...
คิดว่าหลายๆ คนคงนึกออก ว่าผมน่าจะรู้สึกยังไง?
...
ตอนที่ผมรู้ว่าโดนพี่ K "เจตนา" ซ่อนข้อมูลนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่า โดนใครเอาค้อนปอนด์มาทุบที่หัวแรงๆ
ต่อจากนั้นความเสียใจ, ความน้อยใจ และความเจ็บใจ ก็แย่งกันท่วมมาในหัวอก...และกลายเป็นความโกรธที่ไม่เล็ก
...แล้วผมก็นั่งทบทวนว่า ที่ผ่านมาผมทำอะไรเพื่อพี่ K และพี่ K ทำอะไรให้ผมบ้าง?
เพราะตั้งแต่เป็นหุ้นส่วนกันมา...ผมจำไม่ได้เลย ว่าเคยไปเอาเปรียบพี่ K ตอนไหน...ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าในใจ เพราะผมมั่นใจว่า ผมไม่ได้ติดค้างอะไรพี่ K แน่ๆ
...
ผมรอจนใจเย็นลงบ้าง...แล้วก็ใช้วิธี Line ไปคุยกับพี่ K...
ผมอธิบายว่า ทำไมผมจึงโกรธ และสิ่งที่พี่ K ทำนั้น ไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง, ส่งผลเสียอะไรบ้าง และสุดท้ายผมขอให้พี่ K เห็นใจผมบ้าง
ตามบทบาทที่วางไว้ในบริษัทฯ ผมอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับบัญชา, ดังนั้น ไม่ว่าจะในฐานะหุ้นส่วน, เจ้านาย หรือน้อง...พี่ K ก็ทำผิดต่อผมในทุกแง่มุม
สรุปว่า ผมเจ็บเป็น 3 เท่า ก็แล้วกันครับ
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมต้องเจ็บในหัวใจที่ไว้ใจพี่ K...แต่ครั้งสุดท้ายมาถึงเมื่อบ่ายนี้นั่นเองครับ
...
ทุกครั้งที่ผมรู้ตัวว่าโกรธมากๆ ผมมักจะเลือกใช้วิธีคุยกับอีกฝ่ายด้วยตัวหนังสือ...
เพราะบ่อยครั้งที่เราห้ามปากตัวเองไม่ทัน...แต่เรามักจะยั้งนิ้วได้บ้าง เพราะกว่าจะสะกดคำออกมาเป็นประโยคให้ได้ใจความนั้น เราต้องใช้สมองซีกเหตุผลมากกว่าอารมณ์
และอีกฝ่ายยังได้มีโอกาสอ่านข้อความของผมซ้ำมาซ้ำไป เพื่อที่จะได้ทบทวนเหตุและผล ที่มาและที่ไป ได้โดยไม่หลงประเด็น
...
ผมหวังว่า เรื่องที่ผมแชร์วันนี้ จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับคนอื่นๆ บ้าง...
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความจริงใจในการทำงานร่วมกับใคร หรือเรื่องการเลือกวิธีสื่อสารในยามอารมณ์ไม่ปกติ
...และสุดท้าย ก็คือ การให้อภัย "แต่ไม่มีวันลืม" ครับ...
Comments
Post a Comment