Post#3-301:
เมื่อครู่นี้เองครับ ผมได้พบกับ CEO ขององค์กรระดับแสนล้าน (ที่ผมเคยมีโอกาสได้ไปทำงานอยู่ด้วย) โดยบังเอิญ...และน่ายินดีที่ท่านยังจำผมได้
แต่เรื่องที่ทำให้ผมยินดียิ่งไปกว่าที่ท่านกรุณาจำผมได้ก็คือ...ท่านไม่ได้มีความถือตัวว่าเป็นคนใหญ่คนโตเลย...
เมื่อก่อนท่านเคยคุยกับผมยังไง, ผ่านไปกว่า 4 ปี จนมาถึงวันนี้, ท่านก็ยังยิ้มแย้มทักทายและพูดคุยกับผมเหมือนเดิม
...
เท่าที่ผมประสบด้วยตัวเอง ผมพบว่า...คนที่เป็นผู้บริหารองค์กรระดับสูง มักเป็นผู้มีจรรยางาม, สมถะ, ติดดิน และมีความอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่เป็นนิจ
จรรยาของท่านผู้ใหญ่เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่เราควรนำมาเป็นต้นแบบ
หากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ได้ยั่งยืนด้วยรากแก้วอันมั่นคงฉันใด...จรรยาที่งดงามก็จะเป็นดั่งฐานอันแข็งแกร่ง ให้คนเรายืนหยัดอย่างสง่าอยู่ได้ฉันนั้น
...
อันว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น นอกจากจะต้องมีความเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีในตัวแล้ว ยังต้องเลือกองค์กรที่จะเป็นที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้ผลิดอกออกผลอีกด้วย
ซึ่งแต่ละองค์กร ต่างก็มีวิถีในการบ่มเพาะคน ที่แตกต่างกันไป...
องค์กรใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะผู้คน...ก็อย่าได้หวังว่าจะอยู่ยั้งยืนยงเป็นองค์กรที่ยืนยาวได้
...
ข้าน้อยได้ตรึกตรองดูแล้ว...มาดว่า หากเปรียบสังคมนี้ คือยุทธภพ...สิ่งใดคือสิ่งที่แยกผู้มีวรยุทธ์ทั่วไป ออกจากจอมยุทธ์ผู้เรืองนาม?
อย่ากระนั้นเลย, ข้าน้อยขอเชิญสหายร่วมยุทธภพได้ลองตรึกตรองดู
ข้าน้อยขอให้เวลาท่านเพียงชั่วป้านชาเดือดเถิด ^^
...
ขอบังอาจเสนอความเห็นให้สหายทั้งหลายได้โปรดชี้แนะ...
ผู้คนทั่วไป ล้วนฝึกวรยุทธ์ได้...แต่มิใช่ผู้มีวรยุทธ์กล้าแกร่ง จะได้รับการคารวะเป็นจอมยุทธ์ทุกคนไป...
ดังนั้นแล้ว ก็แปลว่า เหล่าผู้กล้าเลื่องชื่อทั้งหลาย ต่างก็มิได้มีแค่วรยุทธ์อันแกร่งกล้าเพียงเท่านั้น...
...หากแต่เหล่าจอมยุทธ์เหล่านั้น ยังต้องถึงพร้อมด้วยมารยาทอันงดงาม อันเป็นรัศมีที่ดึงดูดให้ผู้คนรายรอบชมชอบและยอมคารวะอย่างจริงแท้
ข้าน้อยขอสรุปว่า...
มาดว่า "วรยุทธ์" ฝึกด้วย "กาย" แล้วไซร้..."มารยาท" ก็ต้องฝึกด้วย "ใจ"
เมื่อถึงพร้อมทั้งกายและใจ...ก็หมายถึงการถึงพร้อมทั้งวรยุทธ์และมารยาท รวมเป็น "มรรคาแห่งจอมยุทธ์"
...เมื่อนั้น ผู้คนต่างพร้อมคารวะท่านเป็น "จอมยุทธ์" อย่างมิต้องสงสัย
...
สำนักฯ ที่ข้าน้อยจากมา ได้บัญญัติกฎสำนักไว้เป็นข้อเตือนใจข้าน้อยและเหล่าเพื่อนร่วมสำนัก...นั่นคือกฎ "อู่-ชี-สืออี้"
อู่ คือ 5, ชี คือ 7 และสืออี้ คือ 11...
อู่ คือ รักงาน, รักลูกค้า, รักคุณธรรม, รักองค์กร และรักเพื่อนร่วมงาน
ชี คือ แกร่ง, กล้า, สัจจะวาจา, สามัคคี, มีน้ำใจ, ให้ความเคารพผู้อื่น และชื่นชมความงามของชีวิต
สืออี้ คือ มีความจริงใจ, ไม่ศักดินา, ใช้ปิยะวาจา, อย่าหลงอำนาจ, เป็นแบบอย่างที่ดี, มีความยุติธรรม, ให้ความเมตตา, กล้าตัดสินใจ, อาทรสังคม, บ่มเพาะคนดี และมีใจเปิดกว้าง
...แม้ข้าน้อยด้อยวาสนา ร่ำลาสำนักฯ ออกมาท่องยุทธภพอยู่นานโข แต่แปลกที่ว่า "กฎอู่-ชี-สืออี้" ยังตราตรึงอยู่ในใจข้าน้อย อย่างมิเคยจางหาย
นั่นแปลว่า กฎอู่-ชี-สืออี้ ต้องมีความงดงามทั้งแง่คิดและแนวทาง ที่ควรค่าแก่การยึดถือ
...ขอคารวะ 3 จอก แด่สำนักฯ ผู้ปลูกฝังและขัดเกลาให้ข้าน้อยสามารถท่องยุทธภพได้อย่างแข็งแรงขอรับ...
เมื่อครู่นี้เองครับ ผมได้พบกับ CEO ขององค์กรระดับแสนล้าน (ที่ผมเคยมีโอกาสได้ไปทำงานอยู่ด้วย) โดยบังเอิญ...และน่ายินดีที่ท่านยังจำผมได้
แต่เรื่องที่ทำให้ผมยินดียิ่งไปกว่าที่ท่านกรุณาจำผมได้ก็คือ...ท่านไม่ได้มีความถือตัวว่าเป็นคนใหญ่คนโตเลย...
เมื่อก่อนท่านเคยคุยกับผมยังไง, ผ่านไปกว่า 4 ปี จนมาถึงวันนี้, ท่านก็ยังยิ้มแย้มทักทายและพูดคุยกับผมเหมือนเดิม
...
เท่าที่ผมประสบด้วยตัวเอง ผมพบว่า...คนที่เป็นผู้บริหารองค์กรระดับสูง มักเป็นผู้มีจรรยางาม, สมถะ, ติดดิน และมีความอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่เป็นนิจ
จรรยาของท่านผู้ใหญ่เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่เราควรนำมาเป็นต้นแบบ
หากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ได้ยั่งยืนด้วยรากแก้วอันมั่นคงฉันใด...จรรยาที่งดงามก็จะเป็นดั่งฐานอันแข็งแกร่ง ให้คนเรายืนหยัดอย่างสง่าอยู่ได้ฉันนั้น
...
อันว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น นอกจากจะต้องมีความเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีในตัวแล้ว ยังต้องเลือกองค์กรที่จะเป็นที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้ผลิดอกออกผลอีกด้วย
ซึ่งแต่ละองค์กร ต่างก็มีวิถีในการบ่มเพาะคน ที่แตกต่างกันไป...
องค์กรใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะผู้คน...ก็อย่าได้หวังว่าจะอยู่ยั้งยืนยงเป็นองค์กรที่ยืนยาวได้
...
ข้าน้อยได้ตรึกตรองดูแล้ว...มาดว่า หากเปรียบสังคมนี้ คือยุทธภพ...สิ่งใดคือสิ่งที่แยกผู้มีวรยุทธ์ทั่วไป ออกจากจอมยุทธ์ผู้เรืองนาม?
อย่ากระนั้นเลย, ข้าน้อยขอเชิญสหายร่วมยุทธภพได้ลองตรึกตรองดู
ข้าน้อยขอให้เวลาท่านเพียงชั่วป้านชาเดือดเถิด ^^
...
ขอบังอาจเสนอความเห็นให้สหายทั้งหลายได้โปรดชี้แนะ...
ผู้คนทั่วไป ล้วนฝึกวรยุทธ์ได้...แต่มิใช่ผู้มีวรยุทธ์กล้าแกร่ง จะได้รับการคารวะเป็นจอมยุทธ์ทุกคนไป...
ดังนั้นแล้ว ก็แปลว่า เหล่าผู้กล้าเลื่องชื่อทั้งหลาย ต่างก็มิได้มีแค่วรยุทธ์อันแกร่งกล้าเพียงเท่านั้น...
...หากแต่เหล่าจอมยุทธ์เหล่านั้น ยังต้องถึงพร้อมด้วยมารยาทอันงดงาม อันเป็นรัศมีที่ดึงดูดให้ผู้คนรายรอบชมชอบและยอมคารวะอย่างจริงแท้
ข้าน้อยขอสรุปว่า...
มาดว่า "วรยุทธ์" ฝึกด้วย "กาย" แล้วไซร้..."มารยาท" ก็ต้องฝึกด้วย "ใจ"
เมื่อถึงพร้อมทั้งกายและใจ...ก็หมายถึงการถึงพร้อมทั้งวรยุทธ์และมารยาท รวมเป็น "มรรคาแห่งจอมยุทธ์"
...เมื่อนั้น ผู้คนต่างพร้อมคารวะท่านเป็น "จอมยุทธ์" อย่างมิต้องสงสัย
...
สำนักฯ ที่ข้าน้อยจากมา ได้บัญญัติกฎสำนักไว้เป็นข้อเตือนใจข้าน้อยและเหล่าเพื่อนร่วมสำนัก...นั่นคือกฎ "อู่-ชี-สืออี้"
อู่ คือ 5, ชี คือ 7 และสืออี้ คือ 11...
อู่ คือ รักงาน, รักลูกค้า, รักคุณธรรม, รักองค์กร และรักเพื่อนร่วมงาน
ชี คือ แกร่ง, กล้า, สัจจะวาจา, สามัคคี, มีน้ำใจ, ให้ความเคารพผู้อื่น และชื่นชมความงามของชีวิต
สืออี้ คือ มีความจริงใจ, ไม่ศักดินา, ใช้ปิยะวาจา, อย่าหลงอำนาจ, เป็นแบบอย่างที่ดี, มีความยุติธรรม, ให้ความเมตตา, กล้าตัดสินใจ, อาทรสังคม, บ่มเพาะคนดี และมีใจเปิดกว้าง
...แม้ข้าน้อยด้อยวาสนา ร่ำลาสำนักฯ ออกมาท่องยุทธภพอยู่นานโข แต่แปลกที่ว่า "กฎอู่-ชี-สืออี้" ยังตราตรึงอยู่ในใจข้าน้อย อย่างมิเคยจางหาย
นั่นแปลว่า กฎอู่-ชี-สืออี้ ต้องมีความงดงามทั้งแง่คิดและแนวทาง ที่ควรค่าแก่การยึดถือ
...ขอคารวะ 3 จอก แด่สำนักฯ ผู้ปลูกฝังและขัดเกลาให้ข้าน้อยสามารถท่องยุทธภพได้อย่างแข็งแรงขอรับ...
Comments
Post a Comment