Skip to main content

Post#3-321: เราเข้าใกล้เป้าหมายไปแล้วเท่าไหร่?

Post#3-321:
เมื่อเช้านี้ ผมตื่นแต่เช้าเพื่อไปวิ่งออกกำลัง พร้อมกับภรรยา หลังจากที่ผัดวันประกันพรุ่งอยู่หลายนาน

ผมไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเองอายุมากแล้ว จนกระทั่งผมพาตัวเองข้ามผ่าน "หลักสี่" มาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

และผมก็ไม่เคยรู้สึกว่า "การออกกำลังกาย" เป็นเรื่องจำเป็นมากขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน

...

ความจริงก็ถูกที่ว่า ไม่ว่าเราอายุขนาดไหน เราก็ควรจะออกกำลังกาย...แต่เมื่ออายุเรามากขึ้นๆ การออกกำลังกายนั้น น่าจะเป็นเรื่องจำเป็นพอๆ กับที่เราต้องทานอาหาร

ยิ่งโดยเฉพาะสมัยหนุ่มๆ ผมใช้ชีวิตแบบ extreme และหย่อนยานการออกกำลังกายมานาน จึงทำให้การเริ่มต้นออกกำลังกายในตอนนี้ ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

แต่ผมก็เชื่อว่า ไม่มีอะไรยากเกินไป หากว่าเราตั้งใจจะทำมันจริงๆ จังๆ

...

เมื่อเช้านี้ ผมเลือกออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เพราะมันเป็นการออกกำลังที่ไม่ต้องเตรียมการล่วงหน้ามากมาย

ช่วงที่กำลังวิ่ง เป็นอีกช่วงที่ผมรู้สึกว่า ใจเราจดจ่ออยู่กับแต่ละก้าวที่อยู่ตรงหน้า...ไม่ได้คิดอะไรไกลไปกว่านั้นเลย

ก่อนออกวิ่ง ผมมีเป้าหมายในใจไว้แล้ว ว่าการกลับมาจริงจังกับการออกกำลังในวันแรกนี้ ผมจะวิ่งกี่รอบและต้องวิ่งได้ภายในเวลาเท่าไหร่

...

แรกๆ ผมก็จริงจังขึงขังดี...แต่ทันทีที่ผมเริ่มนึกว่า วิ่งมากี่นานแล้วนะ...มันกลับทำให้แรงผลักดันให้วิ่งต่อลดลง...

นั่นเพราะผมมัวแต่นึกถึงสิ่งที่มีอยู่ มากกว่าสิ่งที่กำลังจะมีต่อไป

...เทียบกับชีวิตจริงแล้ว ก็ไม่ต่างจากความรู้สึกเมื่อเราอยู่ใน Comfort Zone เลย

...

เมื่อเราพอใจกับสิ่งที่เราเป็นมา...เราจะหมดแรงกระหายที่จะมุ่งไปข้างหน้า และเมื่อนั้น เราก็จะเดินทางมาถึงจุดเสื่อมถอย

ขาที่กำลังพาเราวิ่งไปข้างหน้า จะเริ่มหนักขึ้นและหนักขึ้น จนในที่สุด จากที่วิ่งอยู่ดีๆ ก็จะกลายเป็นเดิน

ดังนั้น เวลาวิ่งหรือใช้ชีวิต เราจึงควรตั้งเป้าให้ชัด...และ focus ไปที่เราเข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้มากเท่าไหร่ ไม่ใช่ออกจากจุดเริ่มต้นมาแล้วเท่าไหร่?

...บทสรุปที่ผมได้ในเช้านี้ ก็คือ การวิ่งที่มีจุดหมายและการใช้ชีวิตที่มีเป้าหมายเท่านั้น จึงจะทำให้การวิ่งนั้นมีค่า และการใช้ชีวิตนั้นมีความหมาย...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...