Post#3-316:
ผมเข้าใจมาตลอดว่า ความมืดเป็นสิ่งตรงข้ามกับแสงสว่าง...จนกระทั่งมาเจอกับวาทะที่ Rishika Jain (นักกวีชาวอินเดีย) ว่าไว้
"Dark is not opposite of Light. It is just the absence of Light. Similarly, a problem is the absence of an idea. Not absence of a solution."
แปลว่า "ความมืดมิใช่สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับแสงสว่าง มันเป็นเพียงการขาดหายไปของแสงสว่าง ก็เท่านั้น. เช่นเดียวกันกับที่ ปัญหาก็เป็นแค่การขาดหายไปของไอเดีย หาใช่การไร้ซึ่งหนทางแก้ปัญหาไม่"
Jain กำลังบอกอะไรเรากันนะ?
ลองคิดตามดูมั๊ยครับ...ผมให้เวลา 5 นาที
...
ผมตีความว่า Jain กำลังบอกให้เราอย่ายอมแพ้ง่ายๆ
ความมืดที่เรากำลังเห็นว่ามันครอบคลุมไปทั่วบริเวณนั้นน่ะ ที่จริงมันก็เป็นแค่การขาดแสงสว่างไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น
แล้วก็...เราไม่ต้องไปมัวมองหาแสงสว่างภายนอกให้เสียเวลา...เพราะทันทีที่เกิดไอเดียดีๆ ขึ้น เราก็จะพอเห็นหนทางแก้ปัญหา
แม้ว่า เราอาจมองเส้นทางที่ว่าไม่เห็นด้วย "ตาเนื้อ"...แต่เมื่อใจเปิดขึ้น เส้นทางที่มองไม่เห็นที่ว่า ก็อาจถูกสัมผัสได้ด้วยใจ
...
หากว่าเราไม่คิดจะยอมแพ้...แม้หนทางที่มิดมิดที่สุด ก็ไม่อาจสยบให้เรากลัวได้ เพราะแสงสว่างในใจเราไม่เคยดับลง
วันนี้...แม้เราจะยังอับจนไอเดีย...ยังมองไม่เห็นหนทางไป...แต่หากว่าไม่ยอมแพ้ วันหนึ่งเราย่อมจะพอเห็นลู่ทาง ว่าจะต้องคลำทางไปสู่ทางเดินที่มีแสงสว่างได้ยังไง
แต่หากใจเรามืดบอด ต่อให้หนทางพอมีแสงสว่างบ้าง เราก็อาจจะมองข้ามไปเสียได้...ก็เป็นเพราะเรามีแต่ใจที่ยอมแพ้ จึงทำให้เราตกอยู่ในหลุมดำแห่งความสิ้นหวัง
...แสงสว่างที่สุดของคนๆ หนึ่ง จึงเป็น "แสงแห่งความหวัง" ที่เราเป็นคนจุดขึ้นเองเท่านั้นครับ...
ผมเข้าใจมาตลอดว่า ความมืดเป็นสิ่งตรงข้ามกับแสงสว่าง...จนกระทั่งมาเจอกับวาทะที่ Rishika Jain (นักกวีชาวอินเดีย) ว่าไว้
"Dark is not opposite of Light. It is just the absence of Light. Similarly, a problem is the absence of an idea. Not absence of a solution."
แปลว่า "ความมืดมิใช่สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับแสงสว่าง มันเป็นเพียงการขาดหายไปของแสงสว่าง ก็เท่านั้น. เช่นเดียวกันกับที่ ปัญหาก็เป็นแค่การขาดหายไปของไอเดีย หาใช่การไร้ซึ่งหนทางแก้ปัญหาไม่"
Jain กำลังบอกอะไรเรากันนะ?
ลองคิดตามดูมั๊ยครับ...ผมให้เวลา 5 นาที
...
ผมตีความว่า Jain กำลังบอกให้เราอย่ายอมแพ้ง่ายๆ
ความมืดที่เรากำลังเห็นว่ามันครอบคลุมไปทั่วบริเวณนั้นน่ะ ที่จริงมันก็เป็นแค่การขาดแสงสว่างไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น
แล้วก็...เราไม่ต้องไปมัวมองหาแสงสว่างภายนอกให้เสียเวลา...เพราะทันทีที่เกิดไอเดียดีๆ ขึ้น เราก็จะพอเห็นหนทางแก้ปัญหา
แม้ว่า เราอาจมองเส้นทางที่ว่าไม่เห็นด้วย "ตาเนื้อ"...แต่เมื่อใจเปิดขึ้น เส้นทางที่มองไม่เห็นที่ว่า ก็อาจถูกสัมผัสได้ด้วยใจ
...
หากว่าเราไม่คิดจะยอมแพ้...แม้หนทางที่มิดมิดที่สุด ก็ไม่อาจสยบให้เรากลัวได้ เพราะแสงสว่างในใจเราไม่เคยดับลง
วันนี้...แม้เราจะยังอับจนไอเดีย...ยังมองไม่เห็นหนทางไป...แต่หากว่าไม่ยอมแพ้ วันหนึ่งเราย่อมจะพอเห็นลู่ทาง ว่าจะต้องคลำทางไปสู่ทางเดินที่มีแสงสว่างได้ยังไง
แต่หากใจเรามืดบอด ต่อให้หนทางพอมีแสงสว่างบ้าง เราก็อาจจะมองข้ามไปเสียได้...ก็เป็นเพราะเรามีแต่ใจที่ยอมแพ้ จึงทำให้เราตกอยู่ในหลุมดำแห่งความสิ้นหวัง
...แสงสว่างที่สุดของคนๆ หนึ่ง จึงเป็น "แสงแห่งความหวัง" ที่เราเป็นคนจุดขึ้นเองเท่านั้นครับ...
Comments
Post a Comment