Skip to main content

Posts

Showing posts from March, 2017

Post#4-206: สัมภาษณ์ หรือสัมพลาด?

Post#4-206: เคยสงสัยมั๊ยครับ ว่าทำไมเวลาไปสัมภาษณ์งาน...เรามักถูกถามเรื่องส่วนตัว? ซึ่งบางครั้งเราก็นึกไม่ออกเอาจริงๆ ว่าเจตนาของผู้สัมภาษณ์น่ะ คืออะไรกันแน่? แล้วเวลาที่ถูกผู้สัมภาษณ์ถามว่า "มีอะไรจะถามมั๊ย เราควรจะถามว่าอะไรดีหนอ? ... ถ้าเคยอ่านนิยายกำลังภายในหรือดูหนังกำลังภายในมาบ้าง ก็คงพอได้ยินวาทะประมาณว่า "จริงคือเท็จ" และ "เท็จคือจริง" เวลาผู้สัมภาษณ์ถามเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับงานเลย แต่อันที่จริงคำตอบที่เราตอบออกไปจะถูกนำมาตีความให้เกี่ยวกับเรื่องงาน แท้จริงผู้ถูกสัมภาษณ์มักเตรียมคำตอบที่สวยหรูดูดีมาจากบ้าน แต่มักจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงยามที่คุยเรื่องส่วนตัว ยิ่งผู้สัมภาษณ์เป็นกันเองมาก ยิ่งต้องระวัง...โดยเฉพาะเราไม่อาจรู้ได้เลย ว่าคำตอบที่ตอบออกไป จะถูกนำไปตีความในลักษณะใด และกับคำถามข้อไหน? ... ช่วงท้ายๆ ของการสัมภาษณ์...บ่อยครั้งที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ จะโดนถามว่า "มีอะไรจะถามบ้างมั๊ย?" และบ่อยครั้งมาก ที่ผู้ถูกสัมภาษณ์จะมา "ตกม้าตาย" ด้วยคำถามนี้...นี่เอง คำถามที่เปิดช่องเหมือนจะให้เราถามนั้น แท้ที่จริงเป...

Post#4-205: ดุลยภาพบำบัด

Post#4-205: ระหว่างเดินทางไปสนามบิน ผมก็ฆ่าเวลาด้วยการคุยกับเพื่อนที่เป็นคุณหมอ แรกๆ ก็คุยสัพเพเหระล่ะครับ...แต่แล้วก็วกมาถึงเรื่องสุขภาพเข้าจนได้ หมอเล่าว่า แนวทางการรักษาของหมอ ถือเป็นศาสตร์แผนประยุกต์ ที่รวมเอาศาสตร์แพทย์ตะวันตกมาผสานกับตะวันออก หนึ่งในทัศนะที่ผมทึ่งมาก และไม่เคยได้ฟังจากหมอท่านอื่นๆ (อาจจะเพราะไม่ค่อยได้คุยกับหมอบ่อยๆ) ก็คือหมอบอกว่า ร่างกายของคนเรานั้น ระบบต่างๆ เชื่อมต่อกันหมด ดังนั้น เวลาทำการรักษาแบบ "ดุลยภาพบำบัด" จึงต้องดูภาพเล็กกับภาพใหญ่ไปพร้อมๆ กัน หากว่าดูแต่จุดใดจุดหนึ่ง เน้นการรักษาเฉพาะจุดที่มีปัญหา คนไข้ก็อาจไม่สามารถจะหายขาดได้ เพราะอาจจะมีจุดอื่นที่เจ็บป่วยอยู่ และส่งผลให้อาการป่วยหลักไม่อาจหายขาดอย่างที่ว่า ... ความจริงการมองภาพใหญ่ไปพร้อมๆ กับการมองภาพเล็กนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่การประยุกต์แนวคิดนี้มาใช้กับการแพทย์นั้น ผมมองว่าเป็น "Paradigm Shift" เพราะทำให้หมอมองคนไข้เป็น "คนเต็มคน" เป็นการรักษาแบบ Corrective Action กับ Preventive Action ควบคู่ไปด้วยกัน...โดยมีเป้าหมายคือ เมื่อรักษาอากา...

Post#4-204: คนธรรมดาที่พิเศษ

Post#4-204: วันนี้ผมมีโอกาสอันดีที่ได้ไปเยี่ยมบริษัทผลิต Beauty Product อันดับต้นๆ ของประเทศเกาหลี ระหว่างนั่งฟัง Company Profile ของเค้า...ผมฟังไปก็อ้าปากหวอไป ว่าปีๆ นึงน่ะ เค้าขายสินค้าได้มากขนาดนี้เชียวหรือ? และมีเรื่องให้ตื่นเต้นขึ้นไปอีก ที่ CEO ของบริษัทระดับนี้ ให้เกียรติลงมาพบปะทักทายผมด้วยตัวเอง ... เท่าที่สังเกตมานานหลายปี...คนใหญ่คนโตที่ฉลาด มักจะทำตนให้เล็กลง หมายความว่ายิ่งอยู่บนหอคอยสูงมากเท่าไหร่ เค้าก็จะพยายามทำตัวให้ติดดินมากเท่านั้น ไปไหนมาไหนก็มักไม่ชอบเป็นจุดเด่น, แต่งตัวธรรมดา, ทานอาหารธรรมดา และใช้ชีวิตอย่างธรรมดา อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า คนที่น่ายกย่องเหล่านี้ ไม่เคยอยากจะเป็นคนพิเศษ...แต่ก็เพราะด้วยความธรรมดาของพวกเค้านั่นเอง...ที่ทำให้พวกเค้าเป็น "คนธรรมดาที่พิเศษ" ... ผมว่า มันเป็นเรื่องจำเป็นเหลือเกินที่คนที่ลอยขึ้นฟ้า จะต้องหาทางเกาะเกี่ยวกับพื้นดินไว้ให้แน่นหนา หากปล่อยให้ตัวเองลอยเท้งเต้งอยู่บนฟ้า โดยไม่เห็นหัวชาวบ้าน...วันหนึ่งเมื่อลมหนุนนั้นหมดไป ก็คงเป็นวันนั้นนั่นเอง ที่ตัวเองมีอันจะต้องหมุนควงสว่านลงจากชั้นฟ้า มาจุกแอ้กอยู่บ...

Post#4-203: Mini Science Camp in Korea

Post#4-203: หลังมื้อค่ำที่ผ่านมา เพื่อนใหม่ชาวเกาหลีของผม เชิญผมไปเยือน Science Museum ที่เค้าบริหารงานอยู่ หนึ่งในผลงานที่เค้าภูมิใจ ก็คือ Mini Science Camp ที่มีเด็กจากทุกมุมโลกมาเข้ารับการอบรม เป็น Camp ที่มีระยะเวลาสั้นๆ ที่ให้เด็กๆ ได้ไปเยี่ยมชม Science Museum ที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในกรุงโซล ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกันก็ได้สนุกสนานกับวัฒนธรรมของชาวเกาหลีไปด้วย ... ในประเทศที่พัฒนาแล้ว...การเรียนกับการเล่นนั้น แทบจะถูกผนวกเป็นเรื่องเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เมื่อเรียนผสมเป็นเนื้อเดียวกับเล่น...ความสนุกก็จึงบังเกิด และทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น ไม่น่าเบื่อ เมื่อหัวใจเปิดกว้าง สมองก็เปิดรับ...การเรียนรู้อย่างเต็มใจจึงเป็นผลลัพธ์ที่ Science Camp นี้ มุ่งหวัง การเรียนรู้แบบนี้ น่าจะทำให้ความรู้ติดอยู่ในหัวใจได้อย่างตราตรึง และฝังอยู่ในคลังสมองได้อย่างยาวนาน ... ถามว่า แล้วผมเรียนรู้อะไรจากการได้ยินเรื่อง Mini Science Camp นี้บ้างล่ะ? ผมว่า มันต่อยอดให้ได้คิดครับ ว่าการถ่ายทอดความรู้ให้ใครด้วยวิธีชักชวนให้อยากรู้น่ะ ...

Post#4-202: พญานกย่อมคู่พญาไม้

Post#4-202: มื้อค่ำที่ผ่านมา ผมใช้เวลาอยู่กับผู้บริหารระดับสูงชาวเกาหลีที่เคยทำ Project ร่วมกันมาก่อน ผมมาทราบเอาวันนี้เอง...ว่าเค้าตัดสินใจลาออกมาแสวงหาความท้าทายใหม่ เมื่อไม่นานมานี้เอง ...หลังจากพบว่าองค์กรที่เค้าร่วมงานด้วยมาอย่างยาวนาน ไม่สามารถตอบสนองกับความทะเยอทะยานที่เค้าคาดหวังไว้ได้ อีกต่อไป ... มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เมื่อใครสักคนที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งระดับสูงและได้รับค่าตอบแทนมหาศาล จะยอมโบกมือลาองค์กรนั้นๆ ไป... แต่เพื่อนผมเลือกที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปลักกับความเคยชิน...หรือเลือกที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone อันน่าชิงชัง ก่อนที่จะไม่มีโอกาสก้าวออกมาอีกเลย...ชั่วชีวิต เป็นการตัดสินใจแบบ "Now or Never" หรือ "ไม่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่กล้าไปไหนอีกแล้ว"...เป็นการตัดสินใจแบบนี่คือ "จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต" จริงๆ ... ใครที่ตาม Post ของผมมานาน...จะรู้ดีว่า ผมชิงชังกับ Comfort Zone มากเพียงใด เพราะผมรู้ว่า Comfort Zone นั้น เป็นหายนะของชีวิต ที่ไม่ต่างจาก Black Hole ที่ดูดกลืนแสงแห่งความทะเยอทะยานของเราไปตลอดกาล ผมย้ำอีกทีครับ......

Post#4-201: Comfort Zone แห่งความสัมพันธ์

Post#4-201: หนึ่งในปัญหา classic คู่โลกใบนี้ ก็คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของผู้คน... จะว่าไป ผมว่ามันคือปัญหาใหญ่ที่สุดของโลก ก็ว่าได้ครับ...เพราะมนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด มันจึงเป็นตัวสร้างทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายขึ้นบนโลก เป็นกลจักรที่ทำให้ชีวิตบนโลกหมุนไป...เป็นตัวก่อให้เกิดความรัก, ความเกลียด และความรู้สึกอีกนับพันนับล้าน ... เราจึงไม่อาจทำอะไรให้ถูกใจคนที่อยู่รายรอบได้ทั้งหมด... บางอย่างที่เราทำอาจถูกใจคนๆ หนึ่งเสียเหลือเกิน...ในขณะเดียวกัน มันอาจจะกำลังทำร้ายอีกคนหนึ่งอย่างสุดโต่งอยู่ ก็เป็นได้ เกิดเป็นมนุษย์...มันจึงวุ่นวายยุ่งขิงแบบนี้ ... ถามว่าแล้วต้องทำยังไงดีล่ะ เราถึงจะเก่งขึ้นบ้างในด้านการรักษาความสัมพันธ์กับผู้คนที่อยู่รายรอบ? ผมคงตอบได้แค่ว่า "ก็ใครจะไปรู้?" เปล่าครับ, ผมไม่ได้กำลังกวนประสาทใคร...แต่ในเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คนนั้น มันซับซ้อนเกินกว่าจะมีสูตรสำเร็จตายตัว จริงๆ ... ยังไงก็ตาม...ผมคิดว่า หนึ่งในปัจจัยที่อาจช่วยให้เรารักษาระดับความสัมพันธ์กับผู้คนไว้ได้ ก็คือ "การวางตัว" เราเข้าใจความสัมพันธ์...

Post#4-200: มีวิชาเหมือนมีทรัพย์

Post#4-200: หลายวันก่อน ผมคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ที่เป็น Solopreneur ถึง Project ที่เธอกำลังทำอยู่ อย่างที่เคยเล่าไว้ครับ ผมชอบคุยกับเด็กรุ่นใหม่ไม่น้อย...โดยเฉพาะกับพวกที่เป็น Solopreneur นี่ ผมชอบมากเป็นพิเศษ ด้วยเพราะผมชอบที่จะศึกษาวิธีคิดของพวกเค้า...ว่าแต่ละ Project ที่คิดกันมาน่ะ มีที่มาที่ไปยังไง แล้วจะต่อยอดไปทางไหนได้บ้าง ... หลายๆ ครั้ง ผมก็มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองกับพวกเค้า...และบ่อยครั้งที่น้องๆ ก็มาขอคำแนะนำ ว่าอันที่จริง เวลาน้องๆ มาขอคำแนะนำ...ผมมักจะไม่ค่อยปฏิเสธ กลับเห็นเป็นโอกาสในการลับสมองเสียด้วยซ้ำ เหตุนี้ ผมจึงรักงาน Business Consultant มาก...มากแบบยังไงๆ ก็คงไม่เลิกทำ เพราะผมมั่นใจว่า ยิ่งได้เจอธุรกิจที่หลากหลายมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมีโอกาสท้าทายศักยภาพของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ... ดังนั้น ผมจึงมักจะแนะนำให้ใครก็ตามที่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ คิดเสียว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พัฒนาตัวเอง อย่าไปมัวแต่คิดว่า งานเพิ่มแต่เงินไม่เพิ่ม หรือเหนื่อยฟรี...เพราะอย่างน้อย เราก็จะมีประสบการณ์ติดตัวมากขึ้น มีแค่ไม่กี่คนบนโลกหรอกครับ ที่จะเก่งได้โดยไม่เหนื่อยหนั...

Post#4-199: ทำสงครามกับความกลัว

Post#4-199: ใครที่เป็น Fan หนังประวัติศาสตร์ชาติต่างๆ ก็น่าจะคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า "เราทำสงคราม เพื่อที่จะหยุดยั้งสงคราม" กันบ้างนะครับ ฟังดูมันขัดแย้งกันมากเหลือเกิน...แปลว่าอะไรกันหนอ ทำสงครามเพื่อหยุดสงคราม... หรืออาจต้องแปลอีกทีว่า...เราต้องมาฆ่ากัน เพื่อที่จะไม่ต้องฆ่ากันอีกต่อไป หรือเปล่า? ... บ่อยครั้งในชีวิต เราก็ต้องเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กับที่ผมอารัมภบทมานี้ เช่นบางคนกลัวการพูดในที่ชุมชน...ก็ไม่มีทางใดที่จะช่วยได้ นอกจากจะต้องพยายามหาโอกาสพูดในที่ชุมชนให้บ่อยขึ้น บางคนกลัวเครื่องบิน...ก็จับไปฝึกกับ Flight Simulator ให้คุ้นเคยกับเครื่องบิน เพื่อให้ต่อไปจะได้ไม่ต้องกลัวอีก หรือการสกัดเซรุ่มจากพิษ...ก็ถือเป็นหลักการอย่างเดียวกันนั่นเอง ... เมื่อกลัวสิ่งใด เราจึงไม่อาจหายจากความกลัวนั้น ด้วยการหนี...หากแต่ต้องแก้ด้วยการหันหน้ามาสู้ เมื่อเข้าใจเหตุแห่งความกลัวได้อย่างถ่องแท้...ความกลัวนั้นๆ จึงไม่น่ากลัวอีกต่อไป ดังนั้น การทำสงครามกับความกลัว จึงอาจเป็นสงครามที่ไม่อาจเลี่ยง...เพราะเมื่อใดที่คิดหนี เราก็จะต้องหนีอยู่เรื่อยไป ...ต่อเมื่อคิดสู้ เราจึง...

Post#4-198: ด้วยรักและหวังดี

Post#4-198: ในแต่ละวันที่เราใช้ชีวิต เรามักจะเจอปัญหาอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับ Role Conflict หรือไม่ก็ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการไม่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน เราจึงมักจะหนักใจเสมอ ว่าในฐานะนาย จะลงโทษคนทำผิดดีหรือไม่ เพราะเกรงว่าน้องจะโกรธเราในฐานะพี่ น่าเสียดายที่ต้องบอกว่า คนไทยแทบจะทั้งหมดเป็นพวก "ปากบอกว่าจบ แต่ใจไม่เคยจบ"...หรือจะเรียกว่า "พวกผูกใจเจ็บ" ก็ไม่น่าจะผิด ... ว่ากันตามจริง ผมเองก็ประสบปัญหา Role Conflict อยู่บ่อยไม่น้อยกว่าคนอื่น...แต่ผมมักจะเลือกที่จะทำให้ทุกอย่าง "ถูกต้อง" มากกว่า "ถูกใจ" ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ...ถ้าคุณมั่นใจว่า คุณทำสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ คนรอบข้างก็จะเข้าใจได้เอง...แม้ว่าคู่กรณีจะไม่เข้าใจคุณก็เถอะ บางครั้ง "ความถูกต้อง" ก็อาจจำต้องอาศัยระยะเวลาที่นานพอควร มาพิสูจน์ ... ไม่ผิดหรอกครับ ที่เราต่างก็มีธรรมชาติที่จะรักและหวังดีกับพวกพ้อง แต่แน่ใจใช่มั๊ยครับ ว่าการเข้าข้างพวกพ้องที่กำลังทำผิดอยู่น่ะ...เค้าเรียกว่า ความรักและหวังดี ...ไม่รู้สิครับ ผมอาจจะขวางโลกอยู่กระมัง เพราะผมเชื่อมั่...

Post#4-197: นิยายน้ำเน่าของชาวกรุงเทพฯ

Post#4-197: ช่วงนี้กระแสเรื่อง Uber และ Grab อยู่ในความสนใจของคนกรุงเทพฯ มากพอดู... และยิ่งสร้างแรง "ยี้" มากขึ้นไปอีก กับหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแล ที่ "เกาไม่ถูกที่คัน" ความจริงที่ผมและหลายๆ คน ต่างก็ประสบก็คือ กรุงเทพฯ เรามี Taxi ที่ไม่รักในวิชาชีพของตน มากกว่า Taxi ที่น่ารัก ... มันเหมือนจู่ๆ คุณมีแฟนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งคุณไม่เคยคิดจะดูแลเค้าให้ดีเลย...นึกจะด่าทอทุบตี ก็ทำ และน้อยครั้งที่จะทำดีกับเธอ อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีชายหนุ่มอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิต...เธอรู้สึกว่า เธอมีทางเลือกอื่น และจึงคิดจะลาจากคุณไป ไม่เพียงคุณไม่คิดจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น คุณกลับยังไประรานชายหนุ่มคนใหม่ของเธอ...ไม่คิดจะเป็นคนดี แต่ยังยืนกรานจะให้เธอเลือกอยู่กับคนชั่วๆ อย่างคุณต่อไป ถามหน่อยเถอะ...ว่าถ้าแบบนี้ ไม่เรียกคุณว่าเป็น "อันธพาล" แล้ว เธอควรจะเรียกคุณว่าอะไรดี? ข้างฝ่ายพ่อแม่ของเธอก็เข้าข้างคุณเสียเต็มที่ เพราะพวกเค้าเชื่อว่า ลูกของพวกเค้ายังไม่ประสีประสา ยังแยกแยะดีชั่วไม่ได้...จึงยืนกรานว่า วิธี "คลุมถุงชน" แบบนี้ น่ะดีแล้ว ว่าแล้ว ก็เกณฑ์บ่าวไพร่ให้...

Post#4-196: เถ้าแก่ vs มืออาชีพ

Post#4-196: ต่อเนื่องจากเมื่อวาน ที่พี่ A กรุณาให้ข้อคิดและเปิดมุมมองให้กับผมไว้นะครับ ยังมีอีกข้อคิดหนึ่ง ที่ผมชอบใจเหลือหลาย จนนับได้ว่าเป็นแง่คิดในดวงใจของผมเลยก็ว่าได้ ตอนหนึ่งของการสนทนา พี่ A ถามผมว่า "คุณรู้มั๊ย ว่าเถ้าแก่กับมืออาชีพ แตกต่างกันที่ตรงไหน? ... นั่นสิครับ "เถ้าแก่" หรือ "เจ้าของกิจการ" นั้น ต่างจาก "มืออาชีพ" ที่ตรงไหนกันหนอ? แตกต่างกันที่เถ้าแก่ลงทุน มืออาชีพลงแรง รึเปล่า? หรือต่างกันที่ความเป็นเจ้าของ? ลองคิดดูหน่อยมั๊ยครับ...ผมให้เวลา 5 นาที ... คำเฉลยของพี่ A ทำให้ผมทึ่งในวิธีคิด พี่ A เล่าว่า เมื่อกว่า 20 ปีก่อน...จู่ๆ พี่ A ก็สงสัยว่า "เถ้าแก่" กับ "มืออาชีพ" น่ะ ต่างกันตรงไหนหนอ? ถามใครก็ไม่มีใครตอบได้...หรือถ้าตอบ ก็ยังไม่ใช่คำตอบที่พี่ A ยอมรับได้โดยดุษฎี แต่แล้ววันหนึ่งพี่ A ก็ได้คำตอบกับคำถามที่สงสัยมานานปี คำเฉลยก็คือ "เถ้าแก่" ต่างจาก "มืออาชีพ" ตรงที่ มืออาชีพ นั้น... "ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์" นั่นเอง! ... ผมไม่ได้กำลังจะสรุปว่า "เถ...

Post#4-195: อย่าตั้งเป้าว่าจะเกษียณ

Post#4-195: เมื่อเช้านี้เองครับ ผมมีโอกาสไปประชุมร่วมกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน ที่ถือว่าเป็นบุคคลชั้นแนวหน้าของประเทศ ท่านหนึ่งก็คือพี่ B ที่ผมเคยนำข้อคิดของท่านมาแชร์ไว้ (Post#3-329 และ Post#3-365) และอีกท่านหนึ่ง ผมขออนุญาตสมมติชื่อท่านว่า พี่ A ก็แล้วกันครับ หลักใหญ่ใจความของการประชุม ก็เกี่ยวกับเรื่องการหารือเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจนี่แหละครับ หลังจากคุยเรื่องธุรกิจจบ เราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระนิดหน่อย...และตอนหนึ่งของการสนทนา ผมก็เรียนทั้งพี่ B และพี่ A ว่า ที่ผมทำงานหนัก เพราะอยากจะเกษียณเร็วหน่อย ทั้ง 2 ท่าน ต่างบอกผมทันทีว่า "คุณคิดแบบนี้ไม่ถูก...เป็นอันตรายมากนะ คุณต้องรีบเปลี่ยน Mindset นี้" แล้วบังเอิญมีประเด็นอื่นแทรกขึ้นมา เรื่องนี้ก็เลยถูกหยุดไว้ที่ประโยคทิ้งท้ายนั้น ตอนที่ฟังท่านพูด ผมคิดหาคำตอบไม่ออกเอาจริงๆ ว่าเหตุผลที่ท่านเตือนน่ะ คืออะไร? แล้วมันอันตรายยังไงหนอ? ลองคิดตามผมดูครับ ว่าทำไมผู้ใหญ่ท่านจึงเตือนผมเช่นนั้น...ให้เวลา 10 นาที เลยครับ ... ได้คำตอบมั๊ยครับ? ลองมาตามกันต่อครับ ว่าเหตุผลของท่านคืออะไร? หลังประชุมจบ พี่ A ก็ลากลับพร้อมกั...

Post4-194: Disconnect to connect

Post4-194: หลายปีก่อนนู้น มี Ad ชิ้นนึงของ DTAC ที่ผู้คนต่างถูกใจกันทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าจำไม่ผิด เค้าตั้งชื่อ Ad ชิ้นนี้ว่า "disconnect to connect" ซึ่งสื่อถึงพฤติกรรมของผู้คนที่มัวแต่จ้องหน้าจอจนลืมผู้คนรอบข้าง Ad ชิ้นที่ว่า ก็เลยกระตุ้นให้เราเงยหน้าจาก Digital World มาหา Real World เสียบ้าง น่าเสียดายว่าแม้ Ad นี้ จะโดนใจผู้คนอย่างที่ว่า...หากแต่พฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบันดูเหมือนจะกลายเป็น "connect to disconnect" เสียล่ะมากกว่า ... นี่เป็นหนึ่งใน Ad ที่ผมชอบในแง่คิดที่ Brand นำเสนอ และผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่ได้ประโยชน์จากการคิดต่อยอดจาก Ad ชิ้นนี้ เป็นอย่างมาก หลายๆ ครั้งที่ผมก็คิดว่า มนุษย์เราเองก็ disconnect ความฝัน เพื่อลืมตาตื่นมาพบกับความจริง...และบางครั้งก็จำเป็นต้อง disconnect จากความจริง ที่มันทำร้ายเราเสียบ้าง ผมเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่า เราไม่อาจอยู่กับความฝันไปได้ตลอดกาล...เท่าๆ กับที่เราอยู่โดยปราศจากความฝันไม่ได้ สำคัญก็แต่ว่า เรารู้ตัวเองมั๊ยหนอ ว่าเมื่อไหร่ควรอยู่กับความฝัน และตอนไหนที่ควรต่อสู้กับความจริง? ... ถ้าหากตอนที่ค...

Post#4-193: จุดจบของสามพี่น้องในสวนท้อ

Post#4-193: เมื่อครั้งที่เล่าปี่ปราบดาภิเษกเป็นฮั่นตงอ๋องครองเสฉวนได้มั่นคงแล้ว ก็ได้ปูนบำเหน็จข้าราชบริพารน้อยใหญ่ให้ได้กินตำแหน่งไปตามสมควร แต่พระเจ้าเล่าปี่ก็เสวยสุขได้ไม่นาน ก็มีเหตุให้ต้องกรีฑาทัพครั้งใหญ่เพื่อแก้แค้นให้กับพี่น้องร่วมสาบาน คือกวนอูกับเตียวหุย...แม้ขงเบ้งจะทูลทัดทานก็ไม่เป็นผล สุดท้าย พระเจ้าเล่าปี่พ่ายศึก และทรงไปสวรรคตที่เมืองเป๊กเต้เสีย ... ว่ากันตามเนื้อผ้า...พระเจ้าเล่าปี่น่าจะชนะศึก แต่ติดที่ทรงปรามาสเด็กเมื่อวานซืนที่มีนามว่า "ลกซุน" และสาเหตุที่กวนอูต้องกลายเป็นผีไร้หัว ก็เพราะชอบดูถูกดูแคลนผู้คน บวกกับประมาทขุนพลไร้ชื่อเสียง นามว่า "ลิบอง" ส่วนเตียวหุยนั้น ตายอนาถกว่าใคร...ตรงที่โดนทหารของตัวเองลอบตัดคอตอนเมาเหล้า รวมความแล้ว "สามพี่น้องในสวนท้อ"...ตายแบบไม่น่าจดจำเลยสักนิด ... บ่อยครั้ง...ที่เราต่างก็เผลอให้สติหลุดลอยจนเดินตามเส้นทางของสามพี่น้องนี้ กวนอูตายเพราะ "โลภ"...อยากยึดเมืองที่ไม่ใช่ของตนไว้ เตียวหุยตายเพราะ "โกรธ"...ไม่ได้อย่างใจก็โบยตีทหาร จนต้องโดนลอบฆ่า เล่าปี่ตายเพราะ...

Post#4-192: ถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัว

Post#4-192: ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ทุกคนคงจะเคยไปร้านอาหารที่มีบริการ "อาหารตามสั่ง" หลายๆ คนชอบที่จะ "สั่งอาหาร" ตามแต่ใจชอบ และพอใจที่ตัวเองเป็น "ผู้เลือก"...ไม่ใช่ต้องทานข้าวราดแกง ที่เจ้าของร้านทำรอไว้ เสมือนว่าถูกบังคับกะเกณฑ์ แต่ถ้าลองมาวิเคราะห์ดูให้ดีแล้ว...การสั่งอาหารตามสั่งน่ะ เราเป็น "ผู้เลือก" จริงๆ ใช่มั๊ยหนอ? ... ผมว่าแท้จริงแล้ว เราถูกทำให้รู้สึกว่าเป็น "ผู้เลือก" มากกว่า เพราะแม้เราจะสั่งอะไรก็ได้...แต่เป็นอะไรก็ได้ตามแต่ที่วัตถุดิบของร้านนั้นๆ จะเอื้ออำนวย แปลว่า เราสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เท่าที่กรอบบางอย่างกำหนดไว้...ก็เท่านั้น หรือบางครั้ง คนรับออร์เดอร์ถามว่า "ใส่ไข่ดาวหรือไข่เจียว ดีคะ?" แล้วเราก็เผลอตอบว่า "ไข่ดาว" น่ะ...จริงๆ แล้วเราเป็นคนเลือก หรือโดน "หลอก" ให้เลือก เพราะเราหลงไปว่า เราเป็นคนเลือกว่าจะทานไข่อะไร ทั้งๆ ที่เรามีสิทธิ์เลือกไม่เพิ่มไข่ก็ได้นี่นา ... นี่คือความจริงของชีวิต...ที่เราอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย ก็เป็นได้ ในขณะที่เราคิดว่า เราคือ ...

Post#4-191: บันไดที่เชื่อมความฝันกับความจริง

Post#4-191: หนึ่งในความท้าทายที่ผู้คนทั่วโลกต่างต้องเผชิญ ก็คือ เราจะใช้ชีวิตในแต่ละวันกันอย่างไรดี? สำหรับผม...คำถามนี้ เข้าข่ายเป็นคำถามเชิงปรัชญา ซึ่งมีคำตอบที่ต่างกันสุดขั้วตามแต่มุมมองชีวิตของแต่ละปัจเจกบุคคล ที่สำคัญ แม้จะเป็นคำตอบจากบุคคลคนเดียวกัน แต่หากต่างช่วงเวลาหรือต่างกรรมต่างวาระ...คำตอบก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย ... นี่เอง ทำไมหลายๆ คนจึงมักจะตอบคำถามนี้ด้วยคำตอบที่ดูเป็นปรัชญาไม่แพ้กันว่า เราจะใช้ชีวิตด้วยการ "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" สมมติว่า คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ถูกต้องจริงๆ...ผมก็อยากชวนให้ทุกท่านคิดต่อว่า ก็แล้วเราจะ "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" ได้ด้วยวิธีการอะไรดีหนอ? เนื่องจากคำถามนี้ ตอบยากเอาการ...ผมให้เวลาคิด 10 นาทีเลยครับ ... ไม่ว่าคำตอบที่แต่ละท่านมี จะเป็นอย่างไรก็ตาม...แต่ผมก็ขอแสดงความยินดีกับท่านที่ได้ใช้เวลาคิดหาคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า เพราะนั่นหมายความว่า ท่านได้เรียนรู้ถึงสัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งเข้าแล้ว สัจธรรมข้อหนึ่งที่ว่านั้น ก็คือ...มันไม่ยากเลย ที่จะกำหนดเป้าหมายอะไรสักอย่างขึ้นมา... แต่มันยากกว่ายาก ที่จ...

Post#4-190: อะไรกำหนดชะตากรรม?

Post#4-190: อย่างที่เคยคุยให้ฟังไปหลายครั้งอยู่เหมือนกันครับ...สิ่งหนึ่งของคนเราที่เปลี่ยนได้ยากที่สุด ก็คือ "Attitude" (แปลว่า "ทัศนคติ") แปลคำว่า "ทัศนคติ" ให้เป็นภาษาบ้านๆ อีกนิด ก็คือวิธีคิดและวิธีเชื่อของคนเรานั่นเอง ลองคิดตามผมไปด้วยนะครับ...ว่าจริงมั๊ย ที่เมื่อเราคิดอะไร เราก็มีแนวโน้มที่จะทำการใดๆ ก็ตามเพื่อตอบสนองวิธีคิดและวิธีเชื่อของเรา นั่นเอง นั่นแปลความได้ชัดเจนว่า ตราบใดที่เรายังมองโลกแบบเดิม...เราก็จะไม่มีวันได้คำตอบที่ต่างจากเดิมแน่ๆ ... เมื่อเราคิดแบบเดิมและทำแบบเดิม...เราจึงมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยจะต่างจากเดิม แม้ว่าผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประกอบกัน...แต่ปัจจัยภายในนั้น ทรงอิทธิพลกับเราเป็นอย่างมาก ...มากพอที่จะทำให้เราปรับพฤฒิกรรมให้สอดรับกับความผันแปรของปัจจัยภายนอก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่เราคิด...โดยที่บ่อยครั้งเราไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ เราจึงมักหลงเชื่อไปว่า "ชะตากรรม" เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้...ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ... แท้ที่จริงแล้ว ชะตากรรมจึงผูกพันอย่างลึกซึ้งกับว...

Post#4-189: น้ำหนึ่งหยดในทะเลทราย

Post#4-189: ถ้าให้เลือกระหว่างเงิน 2,000 บาท กับน้ำหนึ่งขวด...ขณะที่เราอยู่ในใจกลางเมืองหลวง เราจะเลือกอะไรครับ? แล้วถ้าเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ย้ายจากเมืองหลวงไปเป็นทะเลทรายล่ะครับ? ถามคำถามเพียงแค่สั้นๆ เท่านี้...ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป คุณค่าของน้ำขวดเดียว ยังต่างกันได้ถึงเพียงนี้ คุณค่าของอะไรบางอย่าง จึงล้วนขึ้นอยู่กับว่า ของชิ้นนั้น...อยู่ถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ ... เราอาจไม่แยแสน้ำ เมื่ออยู่ใจกลางเมืองหลวงที่เราหาน้ำได้ง่ายกว่าเงิน 2,000 บาท แต่เมื่อย้ายไปอยู่ในบางสถานที่ อย่าว่าแต่น้ำขวดละ 2,000 บาท เลย...เกินกว่านั้นอีก 10 เท่า เราก็ยอมจ่ายโดยไม่มีข้อแม้ หากว่าของชิ้นนั้นมีประโยชน์ในตัวเอง และอยู่ถูกที่ถูกเวลา..."คุณค่า" ที่แท้จริงของมัน จึงจะเผยโฉมออกมา และทำให้มูลค่าของมันสูงขึ้น น้ำหนึ่งหยดในทะเลทราย จึงมีคุณค่ามากกว่ามูลค่าของตัวเอง และทำให้ราคาขยับมากกว่ามูลค่าของตัวมันเองนับพันนับหมื่นเท่า น้ำจึงแพงกว่าน้ำมันได้...ในบางพื้นที่ ... น่าเสียดายแทนน้ำขวดนั้น ที่ไม่อาจย้ายตัวเองไปไหนมาไหนได้ เพราะมันไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด และ...

Post#4-188: เอ๊ะ! มันเกิดจากอะไรกันหนอ?

Post#4-188: เรื่องที่ผมต้องคอยลุ้นอยู่เสมอ จากการที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ก็คือ "อาหารบนเครื่องบิน" กว่า 20 ประเทศ นับเป็นหลายร้อยเที่ยวบิน ที่ผมเดินทาง...น้อยกว่าน้อย ที่ผมทานอาหารบนเครื่องบินจนหมด แน่นอนว่า สาเหตุหลักๆ ก็คือ อาหารบนเครื่องมักจะ "ไม่อร่อย" แต่สาเหตุที่ทำให้ไม่อร่อยน่ะ คืออะไรกันหนอ? ... ว่าแล้ว ผมก็ลองไปคุ้ยข้อมูลดู และพบว่า หนึ่ง...เนื่องจากความกดอากาศที่เปลี่ยนไป ทำให้ความอยากอาหารของเราลดลง...ว้าว อันนี้ไม่เคยรู้มาก่อน สอง...ก็โดยมาก บิน Economy Class จะไปคาดหวังอะไรมากมายกับอาหารที่เสิร์ฟ...ถ้าอีกหน่อยมีโอกาสบินด้วย Business Class หรือ First Class จะลองเก็บข้อมูลดู สาม...ด้วยข้อจำกัดด้านกฎข้อบังคับการบินและพื้นที่อันจำกัด ทำให้ต้องเตรียมอาหารด้วย Microwave (ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ทำให้อร่อยยาก) สี่...ไม่มีอะไรพิเศษ ก็แค่อาหารจาก Airline Catering Service นั้น ไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละ ห้า...จริงๆ แล้ว อาหารบนเครื่องน่ะอร่อย แต่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ทานแล้วรู้สึกว่ามันแย่ สาเหตุก็ประมาณนี้ครับ ... ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ต...

Post#4-187: ตราบที่โลกยังคงหมุนไป

Post#4-187: โลกได้ชื่อว่าเป็น Lonely Planet ด้วยเหตุเพราะเราเชื่อกันว่ามันเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิต (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) จริงอยู่แม้ว่าจะมีดวงดาวนับเป็นแสนๆ ล้านดวง...ซึ่งว่ากันตามความน่าจะเป็นแล้ว ก็มีโอกาสสูง ที่ดวงดาวอื่นๆ ควรจะมีสิ่งมีชีวิต อยู่เช่นกัน แต่ทว่า การที่จะมีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นบนดาวดวงใดดวงหนึ่งนั้น...จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องอาศัยปัจจัยที่ "พอเหมาะพอเจาะ" หลายๆ ปัจจัย ประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่เหมาะสม, ดาวเคราะห์ชั้นนอกที่ปกป้องโลกจากห่าอุกกาบาต, ฯลฯ นอกจากนั้น โลกเรายังต้องผ่านเรื่องราวร้ายๆ มามากต่อมาก...กว่าจะมาเป็นโลกที่เรารู้จักกันในวันนี้ และเรื่องราวร้ายๆ ต่างๆ ก็ยังคงเกิดขึ้นกับโลกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...แน่นอนว่า มันจะยังเป็นอย่างนั้น อย่างไม่มีวันจบสิ้น กระนั้น...โลกก็ยังหมุนไป และโลกก็ยังสวยงาม ... เช่นเดียวกับโลก... กว่าที่ผมจะมีชีวิตรอดมาจนเขียน Post นี้ และกว่าที่คุณจะมีชีวิตมาอ่าน Post นี่ได้... เราล้วนต้องเคยผ่านเรื่องราวต่างๆ มาแล้วมากมาย และต้องอาศัยปัจจัยหลายต่อหลายอย่างเหลือ...

Post#4-186: มีเวทีให้แสดง

Post#4-186: เมื่อเที่ยงที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ระหว่างที่เรามี Business Lunch กัน ประเด็นหนึ่งที่เราคุยกันอย่างออกรส ก็คือเรื่องศักยภาพของน้องๆ ทีมงาน...ซึ่งเรารู้สึกตรงกันว่า ประสิทธิภาพลดน้อยถอยลงไปมาก เมื่อเทียบกับสิบกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากถกกันอยู่พักใหญ่ๆ...เราเชื่อว่า มูลเหตุพื้นฐานนั้น มาจากพวกเค้าขาด Entrepreneurship Attitude ... แน่นอนครับ ว่าเจ้าของกิจการไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงขนาดที่ว่า ลูกน้องจะทุ่มเทเต็มร้อยเสมือนว่า นี่คือบริษัทของตัวเอง เพียงแต่คาดหวังแค่ระดับที่ว่า น้องๆ "น่าจะ" มีใจรักและห่วงใยองค์กรในระดับที่เป็น Accountability...ไม่ใช่แค่ Responsibility (ลอง Google ดูความแตกต่างได้ครับ) เพราะน้องๆ จำนวนไม่น้อยเลย...มักมีทัศนคติที่ว่า "ไม่อยากทำมากกว่าขอบเขต"...อารมณ์ประมาณ ทำเท่าที่ Job Description ว่าไว้ ก็พอแล้ว ... ถามว่า คิดแบบนี้ "ผิดมั๊ย"...ผมตอบดังๆ ให้ได้เลยครับ ว่า "ไม่ผิด" แต่การทำงานตามขอบเขตหรือกรอบที่ได้รับ...เป็นการจำกัดศักยภาพของตัวเองอย่างน่าเสียดาย น้องๆ จึงพึงต้อ...

Post#4-185: แง่งามที่แฝงอยู่

Post#4-185: ด้วยหน้าที่การงานที่ผมรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้ผมต้องเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง...นับๆ ดู ก็เกินกว่าค่าเฉลี่ยของคนอื่นๆ อยู่ไม่น้อย น้องๆ หลายๆ คน มักจะบอกว่า "ดีจังเลยพี่ ได้เดินทางบ่อยๆ"...ผมได้แต่ยิ้มให้ โดยไม่ได้ตอบอะไร ...เพราะก่อนหน้าที่ผมจะต้องเดินทางบ่อยๆ แบบนี้ ก็เคยรู้สึกแบบเดียวกัน ... การเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงานนั้น ต่างจากเดินทางเพื่อไปเที่ยว...มากแบบสุดขั้ว ทุกครั้งที่ไปทำงาน ล้วนแต่มี Mission กำกับ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าไม่สำคัญจริงๆ ก็คงไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา... และคนที่ไป Business Trip ต่างก็รู้ดีว่า ความเครียดที่ต้องแบก Mission เอาไว้...ได้พรากเอาความตื่นเต้นของการไปต่างบ้านต่างเมืองไปมากโขอยู่ ... นอกจาก Mission ที่แบกรับไว้ ก็ยังมีเรื่อง Timeframe ที่จำกัดจำเขี่ย...Business Trip ของผมและใครอีกหลายๆ คน จึงมักเป็น Trip สั้นๆ ที่ต้องเป็น Trip สั้นๆ ก็เพราะภาระหน้าที่ที่มากมายที่กรุงเทพฯ นั้นรออยู่...ผมจึงต้องรีบไปและรีบกลับ...แบบไปเช้าเย็นกลับ หรือค้างคืนเดียว นี่เป็นเรื่องปกติมากๆ บ่อยครั้งที่เวลาอยู่บนเครื่องบิน มากกว่...

Post#4-184: ทำไมเราควรล้างมือบ่อยๆ?

Post#4-184: เคยสงสัยมั๊ยครับ...ว่าทำไมคุณหมอถึงแนะนำให้เราควรล้างมือบ่อยๆ? ลูกสาวผมเอง ก็ได้รับการปลูกฝังนี้มาจากโรงเรียนเช่นกัน... คำตอบนั้นแสนง่าย...ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคที่อาจติดอยู่กับมือของเรา เข้าสู่ร่างกาย นั่นเอง ... ถามต่ออีกนิด... ถ้าเรารู้แล้ว ว่าการล้างมือช่วยป้องกันไม่ให้เราป่วยไข้ได้... แล้วอะไรล่ะ ที่ควรเป็นกระบวนการป้องกันไม่ให้งานของเราต้องมีอันสะดุดหรือผิดพลาด? ลองคิดดูมั๊ยครับ ผมให้เวลา 5 นาที ... เรื่อง 2 เรื่องนี้...ดูเผินๆ เหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ในมุมมองของผม มันคือเรื่อง Preventive Action เหมือนกัน อย่ารอให้ป่วย แล้วค่อยคิดจะรักษา...ที่ถูกต้อง คือการป้องกันไม่ให้ตัวเราป่วย ซึ่งการล้างมือบ่อยๆ ก็เป็นแค่วิธีหนึ่ง อย่ารอให้งานสะดุดหรือผิดพลาด แล้วค่อยคิดจะมาแก้ไข...ที่ถูกต้อง คือการหมั่นตรวจสอบ ว่างานของเรายังเป็นไปตามแผน ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ อยู่ในงบประมาณ และเป็นไปตามกรอบระยะเวลา อยู่หรือไม่? ...ถ้าไม่หมั่นล้างมือ เราก็เสี่ยงต่อการป่วย และถ้าไม่หมั่นตรวจสอบ เราก็เสี่ยงล้มเหลวครับ... #ล้างมือง่ายกว่ากินยา #ป้องกันง่ายกว่าแก...

Post#4-183: ดาบเดียวพิฆาต

Post#4-183: บางครั้งสุภาษิตหรือคำพังเพย ก็มักจะสร้างความสงสัยให้กับคนไทยเราอยู่บ้าง...ไม่มากก็น้อย อย่างเช่น "น้ำขึ้นให้รีบตัก" แต่ "ช้าช้าได้พร้าเล่มงาม"...ตกลงจะให้รีบ หรือจะให้รอกันแน่? ที่จริงแล้ว มันเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระ...ซึ่งเราต้องรู้จักวิเคราะห์ให้ดีครับ ว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องรีบ และเมื่อไหร่ที่ควรจะต้องชะลอ รีบไปเสียทุกอย่างทุกเรื่องก็ไม่ดี...เช่นเดียวกับที่มัวแต่เยื้องย่างนางหงส์กันอยู่ทุกครั้งก็ไม่ไหวเช่นเดียวกัน ... คราวนี้ จะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าตอนนี้ต้องรีบหรือตอนนี้ต้องรอกันแน่? ถ้าเรื่องที่จะต้องตัดสินใจกระทบแค่ตัวเราคนเดียว...เราจะรีบหรือจะรอ ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าการตัดสินใจของเราต้องกระทบกับผู้คนจำนวนมาก...อันนี้ต้องคิดให้ดี...ซึ่งผมสรุปสั้นๆ ให้ว่า ต้องรอบคอบในการรวบรวมข้อมูล แต่ควรตัดสินใจด้วยความเด็ดขาด ... เคยดูหนังจอมยุทธ์หรือซามูไรโบราณมั๊ยล่ะครับ? ยอดฝีมือจะอ่านกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ, นิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อท่าร่างที่ชวนสับสน ลงท้ายด้วยการตวัดกระบี่หรือดาบในมือเพียงครั้งเดียว...ซึ่งหมายถึงการปลิดช...

Post#4-182: นักขาย

Post#4-182: ใครที่ทำมาค้าขายอยู่ จะรู้ดีว่า มันไม่ง่ายเลย ที่จะชักชวนให้ลูกค้าหันมาสนใจซื้อสินค้าจากเราให้ได้ อย่าว่าแต่ซื้อเลยครับ...เอาแค่ก้าวแรกให้ลูกค้ายอมเปิดโอกาสให้เราได้พูดแนะนำสินค้า ก็ไม่ง่ายเสียแล้ว ดังนั้น ทุกๆ หน้าร้านจึงให้ความสำคัญกับ "พนักงานขาย" ที่ขายเก่งๆ เป็นอย่างมาก... เรียกว่าแทบจะประคบประหงมให้อยู่กับเราไปนานๆ เลย...ว่าอย่างนั้น ข่าวร้ายก็คือ พนักงานขายที่เก่งกาจนั้น มีอยู่น้อย และถ้าเผลอเป็นต้องโดนแย่งตัว แต่ข่าวดีก็คือ พนักงานขายที่เก่งกาจนั้น เป็นเรื่องที่ "ฝึก" กันได้ ... จะว่าไป ตำราที่ว่าด้วยการฝึกคนให้เป็นพนักงานขายที่เก่งกาจนั้น มีอยู่เป็นพันเป็นหมื่นปก อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว ผมเองก็มีสูตรสำเร็จในการฝึกพนักงานขายของผม...สรุปเป็นคาถา 4 คำสั้นๆ ได้ว่า "เชื่อมั่น ขวนขวาย ขยันขาย ขยายผล" ... ว่าแล้วก็ลองมาขยายความกันสักหน่อยครับ... จะเป็นพนักงานขายได้ ต้องเชื่อมั่น...ซึ่งหมายรวมไปถึงความเชื่อมั่นในตัวเอง และความเชื่อมั่นในตัวสินค้า ถ้ายังไม่มั่นใจว่าเรามีดี ขายของเป็น และสินค้าที่เราจะขายก็มีข้อดีมากพอ......

Post#4-181: แค่เริ่มต้นไม่พอ...ต้องสานต่อให้จบ

Post#4-181: บ่อยครั้งเหลือเกินที่ Policy หรือ Idea ดีๆ ที่เริ่มขึ้น ต้องมาพังลงตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น หรือเละเทะอย่างไม่เป็นท่าเมื่อลงมือทำจริง ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้กันหนอ? คำตอบนั้น...แสนง่าย ครับ ก็เพราะไม่มีการประชุมหารือกันในเรื่องกระบวนการหรือขั้นตอนในการปฏิบัติ...นั่นอย่างไร ... ในการทำงานใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นภายในองค์กรเดียวกัน หรือระหว่างองค์กรก็ดี... จำเป็นเหลือเกินที่ผู้กำหนดนโยบายหรือเจ้าของ Idea นั้นๆ จะต้องทำงานให้ "จบครบถ้วนกระบวนความ" คำว่า "จบครบถ้วนกระบวนความ" นั้น หมายความว่า เมื่อวางนโยบายหรือเสนอ Idea ที่ทุกคนทุกฝ่ายยอมรับได้แล้ว... เจ้าของนโยบายหรือเจ้าของ Idea นั้นๆ จะต้องเรียกทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มาลงรายละเอียดของงานพร้อมๆ กันด้วย หาไม่แล้ว ทุกคนทุกฝ่ายที่ว่า อาจจะไม่สามารถ "เคาะ" ได้ว่า...ใครจะเป็น "เจ้าภาพ" ในส่วนไหน อย่างไร เมื่อไหร่ และทำไม นั่นเองเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมบ่อยครั้ง Policy ที่ดี หรือ Idea เด็ดๆ จึงมักล้มเหลว! ... โปรดจำไว้ว่า Policy ดีๆ หรือ Idea เด็ดๆ ที่ว่า ก็เ...

Post#4-180: เพลงเขียนคน...ดนตรีเขียนโลก

Post#4-180: ผมเชื่อว่า คนเราย่อมมีเพลงในดวงใจกันทุกคน...บางคนก็อาจจะมีเพลงเดียว บางคนก็อาจจะมีหลายเพลงหน่อย หลายๆ คนต้องเจอกับอุปสรรคมากมายที่ถาโถม ทดท้อกับชีวิต จนบางครั้งไม่อยากจะลืมตาขึ้นในวันรุ่งขึ้น บางคนหนักหนาถึงขนาดที่อยู่ท่ามกลางผู้คน แต่กลับไม่รับรู้ถึงผู้คน...ด้วยเพราะความทุกข์มันเกาะกุมหัวใจไว้แน่นหนาเหลือเกิน แต่หลายๆ คนก็ได้เพลงนี่แหละ...เป็นตัวดึงพวกเค้ากลับมาจากโลกแห่งความโศกเศร้า เรียกได้ว่า เพลงเป็นตัวจุดให้มีพลังและมีความหวังขึ้นมาใหม่ ... ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระราชนิพนธ์แปล จากบทประพันธ์ของ William Shakespeare ซึ่งกล่าวถึงความสำคัญของเพลงหรือดนตรี ไว้ว่า ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์ ฤาอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี และดวงใจย่อมดำสกปรก ราวนรกชนเช่นกล่าวมานี่ ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ คุ้นๆ บ้างมั๊ยครับ? ... เล่ามาเสียยืดยาว เพียงเพื่อผมจะสรุปว่า... หากว่าหันไปทางไหนก็ไม่มีใครอยู่ข้างๆ...อย่าพึ่งหมดหวังหรือทอดอาลัยไปเสียล่ะครับ ...

Post#4-179: Do as I say, not as I do.

Post#4-179: ผมมีนัดทาน Brunch กับเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นหมอ เพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ที่อาจจะได้ทำร่วมกัน ระหว่างคุยไปพลางรออาหารไปพลาง ผมก็ดันถามเธอด้วยความสงสัย...ว่าเพื่อนผมเป็นหมอประสาอะไร ทำไมไม่ทานข้าวเช้า แต่ดันมาชวนผมทาน Brunch แบบนี้ เธอหัวเราะแล้ว ถามผมกลับว่า "ไม่เคยได้ยินเหรอคะ ที่เค้าพูดกันว่า "Do as I say, not as I do!" น่ะ" ผมฟังแล้วก็หัวเราะตาม พร้อมกับบอกว่า "เออ! ก็จริงอย่างที่หมอว่านะ" ... เรามักจะสอนหรือแนะนำคนนั้น โน้น นี้ ว่าอะไรเป็นเรื่องที่ควรทำ และอะไรเป็นเรื่องไม่ควรทำ...แต่ไม่ใช่ทุกคนทำได้อย่างที่ตัวเองพูด เหมือนบางครั้งที่เราสอนลูกว่า อย่าพูดคำหยาบนะ แต่เราก็เผลอสบถหรืออุทานด้วยคำหยาบ เหมือนที่เราแนะนำลูกน้องว่า อย่ามาทำงานสายบ่อยๆนะ มันดูไม่ดี แต่เรากลับมาสายอยู่เป็นประจำ เข้าทำนอง "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง" นั่นล่ะครับ ... ฉะนั้น เวลาที่สังเกตเห็นว่า พูดอะไรไปแล้วลูกไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือลูกน้องดูไม่ค่อยให้ความร่วมมือ...เราอาจจะต้องลองทบทวนตัวเองดูสักที ว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะ เราเผลอทำตัวเข้าข่าย...

Post#4-178: What they want vs What we have

Post#4-178: เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ผมชวนน้องสาวมาหารือกันเกี่ยวกับการนัดนำเสนอสินค้าของเธอให้กับบริษัทค้าปลีกรายใหญ่รายหนึ่ง จริงๆ ผมก็ไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเธอ เพราะอยากให้เรียนรู้และต่อสู้ด้วยตัวเอง...แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าแล้วก็เลยต้องชวนมาหารือและแนะนำวิธีการนำเสนอสินค้า และการเตรียมความพร้อมในหลายๆ เรื่อง ... ปัญหาสำคัญที่ "มือใหม่" ทั้งหลาย มักจะมองไม่เห็นก็คือ ปัญหาที่ว่าด้วยมุมมองในการนำเสนอ ถ้ามัวแต่นำเสนอในสิ่งที่เราอยากพูด แต่อีกฝ่ายไม่อยากฟัง...เราก็ไม่อาจจูงใจให้อีกฝ่ายสนใจในสิ่งที่เราพูดได้ ถ้าเรามัวแต่พร่ำบอกว่า สินค้าของเราดีอย่างโน้น เลิศอย่างนี้ แต่บอกไม่ได้ว่า ทำไมลูกค้าจึงต้องการซื้อสินค้าของเรา...ก็มีแนวโน้มว่าเราอาจจะต้องสอบตก แปลว่า มีสินค้าที่ดีอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ...หากแต่ต้องนำเสนอสินค้าได้ตรงกับสิ่งที่คู่ค้าอยากฟัง และลูกค้าอยากได้ ไปพร้อมๆ กัน ... สรุปง่ายๆ ว่า What we have เป็นเรื่องของเรา ที่จะต้องหาวิธีนำเสนอให้สอดคล้องกับ What they want ให้ได้ สังเกตมั๊ยครับ...ว่าถ้าเราตั้งต้นจาก What they want ก่อน จะทำให้ What ...

Post#4-177: ยิ่ง Line ยิ่งใกล้...จริงมั๊ย?

Post#4-177: ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ ที่ทำให้เราสื่อสารกับคนที่เรารักได้ง่ายดายและสะดวกมากจริงๆ เริ่มต้นแบบนี้...ราวกับว่าผมเป็นผู้สูงอายุเสียเหลือเกิน แต่ผมก็รู้สึกแบบนี้จริงๆ เรื่องมีอยู่ว่า คุณพ่อของผมเริ่มเล่น Line มาได้พักใหญ่ๆ แล้ว...และไม่เคยเลยสักวัน ที่ท่านจะไม่ส่งข้อความมาทักทาย ทุกครั้งที่ท่านส่งข้อความมาหา...ผมก็จะต้องตอบท่าน เพื่อให้ท่านทราบว่า ผมเห็นข้อความแล้ว ถ้าไม่ตอบ ท่านเป็นต้องให้น้องชายผมถามไถ่ ว่า "อ่านแล้วทำไมไม่ตอบ"...ถือเป็นเรื่องเฮฮาในครอบครัวของผม ^^ ... ไม่ใช่ท่านจะไม่ทราบ ว่าผมเห็นข้อความแล้วรึเปล่า? เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า ข้อความที่อ่านแล้วกับยังไม่อ่านนั้น มันต่างกันตรงไหน? สำหรับข้อความจากคนอื่นที่ส่งมา อาจจะส่งมาหาเราแบบต้องการคำตอบบ้าง หรือไม่ต้องการคำตอบบ้าง แต่มันสำคัญมาก (อย่างน้อยก็สำหรับคุณพ่อของผม) ว่าเมื่อเราอ่านข้อความแล้ว "มีใจ" จะตอบข้อความที่ส่งมาให้มั๊ยหนอ? ... การอ่านข้อความแล้ว ไม่ได้ตอบกลับไปในเวลาที่เหมาะสม...มันทำให้คนส่งข้อความไปนั้น "กระสับกระส่าย" ได้มากพอดู ยิ่งโดยธรรมชาติของ...

Post#4-176: ขยายตลาดเพื่อขยายโอกาส

Post#4-176: เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากเพื่อนคนหนึ่ง ให้ไปประชุมกับบริษัทต่างชาติรายหนึ่ง ที่สนใจอยากจะมาทำธุรกิจในประเทศไทย หลังจากพูดคุย ซักถาม และทำความเข้าใจกับ Business Model ของเค้า ได้ในระดับหนึ่งแล้ว... ผมจึงนำเสนอมุมมองของผมเกี่ยวกับ Business Potential ที่น่าจะเป็น...รวมไปถึงสภาพการแข่งขันและภาพรวมของอุตสาหกรรม ที่เค้าอาจจะต้องเผชิญ หากว่าต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจจุดยืนของแต่ละฝ่ายแล้ว...จึงค่อยเดินหน้าต่อในเรื่อง Business Collaboration Plan ... เช่นเดียวกับเวลาที่ผมไปรุกตลาดต่างประเทศ... หลังจากศึกษารายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ว่า Business Model ของเรา น่าจะเป็นไปได้ในประเทศนั้นๆ เรื่องต่อมาก็คือต้องลงทุนในด้าน Market Research ในระดับ Commercialize...เพื่อให้มั่นใจว่า เมื่อมาลงทุนแล้ว จะต้องมีโอกาสชนะมากกว่าแพ้ ที่สำคัญ จะต้องมองหา Business Partner ที่เข้าใจ Business Model ของเรา และพร้อมที่จะลงทุน ลงแรง หรือไม่ก็ลงเวลา ไม่ว่าจะมี Know How เข้มแข็งเพียงใด...เราก็ไม่อาจจะอยู่รอดได้ หากว่าปราศจาก Know Who ที่เข้มแข็ง สรุปง่ายๆ ว่า เราไม่อาจทำงานเดียวดายโดยข...