Skip to main content

Post#4-177: ยิ่ง Line ยิ่งใกล้...จริงมั๊ย?

Post#4-177:
ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ ที่ทำให้เราสื่อสารกับคนที่เรารักได้ง่ายดายและสะดวกมากจริงๆ

เริ่มต้นแบบนี้...ราวกับว่าผมเป็นผู้สูงอายุเสียเหลือเกิน แต่ผมก็รู้สึกแบบนี้จริงๆ

เรื่องมีอยู่ว่า คุณพ่อของผมเริ่มเล่น Line มาได้พักใหญ่ๆ แล้ว...และไม่เคยเลยสักวัน ที่ท่านจะไม่ส่งข้อความมาทักทาย

ทุกครั้งที่ท่านส่งข้อความมาหา...ผมก็จะต้องตอบท่าน เพื่อให้ท่านทราบว่า ผมเห็นข้อความแล้ว

ถ้าไม่ตอบ ท่านเป็นต้องให้น้องชายผมถามไถ่ ว่า "อ่านแล้วทำไมไม่ตอบ"...ถือเป็นเรื่องเฮฮาในครอบครัวของผม ^^

...

ไม่ใช่ท่านจะไม่ทราบ ว่าผมเห็นข้อความแล้วรึเปล่า? เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า ข้อความที่อ่านแล้วกับยังไม่อ่านนั้น มันต่างกันตรงไหน?

สำหรับข้อความจากคนอื่นที่ส่งมา อาจจะส่งมาหาเราแบบต้องการคำตอบบ้าง หรือไม่ต้องการคำตอบบ้าง

แต่มันสำคัญมาก (อย่างน้อยก็สำหรับคุณพ่อของผม) ว่าเมื่อเราอ่านข้อความแล้ว "มีใจ" จะตอบข้อความที่ส่งมาให้มั๊ยหนอ?

...

การอ่านข้อความแล้ว ไม่ได้ตอบกลับไปในเวลาที่เหมาะสม...มันทำให้คนส่งข้อความไปนั้น "กระสับกระส่าย" ได้มากพอดู

ยิ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่ มักชอบ "คิดมาก", "คิดไปเอง" หรือไม่ก็ "ทึกทักเอาเอง" ด้วยแล้ว...

ยิ่งทำให้คนเรามักมีปฏิกิริยากับการ "อ่านข้อความแล้วไม่ตอบ" มากเป็นพิเศษ!

...

ดังนั้น เราจึงควร "ใส่ใจ" มากขึ้นอีกนิด ว่า "ข้อความ" ที่เข้ามาหาเรานั้น มี "เจตนา" แบบใด?

ต้องการแค่ส่งมาเฉยๆ เพราะนึกถึง หรือต้องการได้คำตอบอะไรกลับไป?

ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ degree ความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่กับผู้ส่งข้อความนั้นๆ ด้วยเช่นกัน

...เทคโนโลยีช่วยให้เราสื่อสารกันง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นกันครับ...

#ยิ่งLineยิ่งใกล้จริงมั๊ย #ลองทักใครทุกวันแล้วเค้าไม่ทักตอบจะรู้สึกยังไง #ส่งไปแล้วเค้าไม่ตอบอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ #คิดมากคิดไปเองทึกทักเอาเองก็เจ็บเอง #ด่วนมากก็โทรไปสิรออะไรอยู่

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...