Skip to main content

Post#4-176: ขยายตลาดเพื่อขยายโอกาส

Post#4-176:
เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากเพื่อนคนหนึ่ง ให้ไปประชุมกับบริษัทต่างชาติรายหนึ่ง ที่สนใจอยากจะมาทำธุรกิจในประเทศไทย

หลังจากพูดคุย ซักถาม และทำความเข้าใจกับ Business Model ของเค้า ได้ในระดับหนึ่งแล้ว...

ผมจึงนำเสนอมุมมองของผมเกี่ยวกับ Business Potential ที่น่าจะเป็น...รวมไปถึงสภาพการแข่งขันและภาพรวมของอุตสาหกรรม ที่เค้าอาจจะต้องเผชิญ

หากว่าต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจจุดยืนของแต่ละฝ่ายแล้ว...จึงค่อยเดินหน้าต่อในเรื่อง Business Collaboration Plan

...

เช่นเดียวกับเวลาที่ผมไปรุกตลาดต่างประเทศ...

หลังจากศึกษารายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ว่า Business Model ของเรา น่าจะเป็นไปได้ในประเทศนั้นๆ

เรื่องต่อมาก็คือต้องลงทุนในด้าน Market Research ในระดับ Commercialize...เพื่อให้มั่นใจว่า เมื่อมาลงทุนแล้ว จะต้องมีโอกาสชนะมากกว่าแพ้

ที่สำคัญ จะต้องมองหา Business Partner ที่เข้าใจ Business Model ของเรา และพร้อมที่จะลงทุน ลงแรง หรือไม่ก็ลงเวลา

ไม่ว่าจะมี Know How เข้มแข็งเพียงใด...เราก็ไม่อาจจะอยู่รอดได้ หากว่าปราศจาก Know Who ที่เข้มแข็ง

สรุปง่ายๆ ว่า เราไม่อาจทำงานเดียวดายโดยขาด Business Partner ที่เราสามารถฝากผีฝากไข้ได้

...

หลายๆ บริษัทในเมืองไทย เช่นเดียวกับบริษัทต่างๆ ใน AEC ต่างก็ตระหนักแล้วว่า ตลาดของพวกเค้าหาใช่แค่ตลาดภายในประเทศอีกต่อไป...หากแต่ต้องหาวิธีไปเติบโตในระดับ AEC ให้จงได้

Market Expansion (หรือการขยายตลาด) จึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยทำให้บริษัทมี Economy of Scale และ Economy of Speed ที่จะสร้าง Growth ให้บริษัทได้อย่างทันทีทันใด

...และบ่อยครั้ง ที่การขยายตลาดการค้าของเราไปยังประเทศอื่นๆ ยังเป็นการช่วยให้การขยายธุรกิจในประเทศแม่ของเรา เป็นไปได้อย่างง่ายดายขึ้นด้วย...

#ธุรกิจข้ามชาติเริ่มจากKnowHowแต่สำเร็จด้วยKnowWho #เลือกPartnerถูกก็ชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว #ขยับเพื่อขยาย

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...