Skip to main content

Post#4-205: ดุลยภาพบำบัด

Post#4-205:
ระหว่างเดินทางไปสนามบิน ผมก็ฆ่าเวลาด้วยการคุยกับเพื่อนที่เป็นคุณหมอ

แรกๆ ก็คุยสัพเพเหระล่ะครับ...แต่แล้วก็วกมาถึงเรื่องสุขภาพเข้าจนได้

หมอเล่าว่า แนวทางการรักษาของหมอ ถือเป็นศาสตร์แผนประยุกต์ ที่รวมเอาศาสตร์แพทย์ตะวันตกมาผสานกับตะวันออก

หนึ่งในทัศนะที่ผมทึ่งมาก และไม่เคยได้ฟังจากหมอท่านอื่นๆ (อาจจะเพราะไม่ค่อยได้คุยกับหมอบ่อยๆ) ก็คือหมอบอกว่า ร่างกายของคนเรานั้น ระบบต่างๆ เชื่อมต่อกันหมด

ดังนั้น เวลาทำการรักษาแบบ "ดุลยภาพบำบัด" จึงต้องดูภาพเล็กกับภาพใหญ่ไปพร้อมๆ กัน

หากว่าดูแต่จุดใดจุดหนึ่ง เน้นการรักษาเฉพาะจุดที่มีปัญหา คนไข้ก็อาจไม่สามารถจะหายขาดได้ เพราะอาจจะมีจุดอื่นที่เจ็บป่วยอยู่ และส่งผลให้อาการป่วยหลักไม่อาจหายขาดอย่างที่ว่า

...

ความจริงการมองภาพใหญ่ไปพร้อมๆ กับการมองภาพเล็กนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด

แต่การประยุกต์แนวคิดนี้มาใช้กับการแพทย์นั้น ผมมองว่าเป็น "Paradigm Shift" เพราะทำให้หมอมองคนไข้เป็น "คนเต็มคน"

เป็นการรักษาแบบ Corrective Action กับ Preventive Action ควบคู่ไปด้วยกัน...โดยมีเป้าหมายคือ เมื่อรักษาอาการแล้ว ทำอย่างไรคนไข้จึงจะไม่กลับมาป่วยซ้ำอีก

...

ความสุดยอดของการรักษาแบบ "ดุลยภาพบำบัด" นี้ ยังไม่หมดครับ

ที่ถือเป็นจุดต่างสำคัญ จากการรักษาที่เราพบเจอทั่วไป ก็คือ เป็นการรักษาที่หมายคลุมไปถึงคนที่ใกล้ชิดคนไข้ด้วย

เช่น ถ้าผมป่วย ภรรยาของผมก็ควรมารับทราบด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่า จะต้องช่วยผมในด้านไหนบ้าง เช่น การคุมอาหาร, การออกกำลัง และการใช้ชีวิต

...

อย่างที่ผมเคยเล่าไว้หลายครั้งครับ...การที่เราต้องมีชีวิตต่อเพื่อใครสักคนนั้น เป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่

และการที่คนในครอบครัวมีส่วนร่วมในการรักษาและฟื้นฟูคนไข้นั้น ผมคิดว่าเป็นส่วนสำคัญให้คนไข้ไม่ได้รู้สึกเดียวดาย หรือไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป

และการให้มีคนในครอบครัวรับรู้ด้วยนั้น ก็น่าจะเป็นกุศโลบายแฝง...เพราะเมื่อมีคนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ก็จะทำให้คนไข้รู้สึกว่าตัวเอง "เหลวไหล" ไม่ได้ และเมื่อเหลวไหลไม่ได้ "ความมีวินัย" จึงบังเกิด ซึ่งส่งผลโดยตรงกับการรักษาและการฟื้นฟู

ความยิ่งใหญ่ของ "ดุลยภาพบำบัด" จึงอยู่ที่การรักษาอาการป่วยไปพร้อมๆ กับสร้างแรงจูงใจที่อยากจะหายขาด

...นั่นสิครับ จะมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจได้มากกว่า การที่เราจะได้มีชีวิตให้ยาวนาน เพื่อจะได้เห็นรอยยิ้มของครอบครัวต่อไปเรื่อยๆ กันหนอ?...

#ดุลยภาพบำบัด #Equilibropathy #ผสานกำลังของการรักษาและป้องปราม #แพทย์ไทยเจ๋งไม่แพ้แพทย์ชาติไหนในโลก

* สนใจเพิ่มเติม ลองเข้า Youtube แล้วพิมพ์ ดุลยภาพบำบัด นะครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...