Post#4-195:
เมื่อเช้านี้เองครับ ผมมีโอกาสไปประชุมร่วมกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน ที่ถือว่าเป็นบุคคลชั้นแนวหน้าของประเทศ
ท่านหนึ่งก็คือพี่ B ที่ผมเคยนำข้อคิดของท่านมาแชร์ไว้ (Post#3-329 และ Post#3-365) และอีกท่านหนึ่ง ผมขออนุญาตสมมติชื่อท่านว่า พี่ A ก็แล้วกันครับ
หลักใหญ่ใจความของการประชุม ก็เกี่ยวกับเรื่องการหารือเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจนี่แหละครับ
หลังจากคุยเรื่องธุรกิจจบ เราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระนิดหน่อย...และตอนหนึ่งของการสนทนา ผมก็เรียนทั้งพี่ B และพี่ A ว่า ที่ผมทำงานหนัก เพราะอยากจะเกษียณเร็วหน่อย
ทั้ง 2 ท่าน ต่างบอกผมทันทีว่า "คุณคิดแบบนี้ไม่ถูก...เป็นอันตรายมากนะ คุณต้องรีบเปลี่ยน Mindset นี้"
แล้วบังเอิญมีประเด็นอื่นแทรกขึ้นมา เรื่องนี้ก็เลยถูกหยุดไว้ที่ประโยคทิ้งท้ายนั้น
ตอนที่ฟังท่านพูด ผมคิดหาคำตอบไม่ออกเอาจริงๆ ว่าเหตุผลที่ท่านเตือนน่ะ คืออะไร? แล้วมันอันตรายยังไงหนอ?
ลองคิดตามผมดูครับ ว่าทำไมผู้ใหญ่ท่านจึงเตือนผมเช่นนั้น...ให้เวลา 10 นาที เลยครับ
...
ได้คำตอบมั๊ยครับ?
ลองมาตามกันต่อครับ ว่าเหตุผลของท่านคืออะไร?
หลังประชุมจบ พี่ A ก็ลากลับพร้อมกับผมด้วย...ผมเลยมีโอกาสเดินไปรอรถพร้อมกับท่าน
ระหว่างรอ...พี่ A ก็ยังกรุณาให้ข้อคิดและเปิดมุมมองให้ผมอีกมากมาย (ซึ่งจะหาโอกาสมาแชร์ครับ) และเหมือนพี่ A จะเดาใจผมออก ก็เลยกรุณาวกกลับไปเฉลยประเด็นที่ผมคาใจอยู่
พี่ A สอนว่า เมื่อใดที่ใครก็ตาม ตั้งเป้าว่าจะเกษียณ มันจะกลายเป็นการทำให้เรา focus ผิดจุดไปมาก
เพราะยิ่งอยากเกษียณเร็ว ก็ยิ่งทำให้เราอยากหาเงินให้มากๆ...
และนั่น ทำให้เรา "take unnecessary risk" แปลว่า "เสี่ยงโดยไม่มีเหตุอันควร" นั่นเอง!
...
ผมฟังแล้วก็อึ้ง...เพราะตรรกะของพี่ A ล้วนเต็มไปด้วย "เหตุ" และ "ผล" อันสอดรับกันอย่างยิ่ง!
จริงสิครับ...เมื่อเรามุ่งเป้าไปที่การตั้ง Financial Goal ไว้แบบนี้...เราก็จะพยายามสร้างความมั่งคั่งให้ได้มากๆ อย่างรวดเร็ว
นั่นหมายถึง เราจะวิ่งเข้าชนกับทุกโอกาสที่เข้ามา...โดยไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่า "ความโลภ" น่ะ มันบังตาเราไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อใดก็ตามที่เราทำอะไรด้วย "ความโลภ"...ก็เมื่อนั้นล่ะครับ ที่ "ความโกรธ" และ "ความหลง" จะตามมา
ลงว่าเราโลภไปเสียแล้ว เราจะมองไม่เห็นความเสี่ยงหรือความล้มเหลวที่ซ่อนอยู่...ทำให้เราไม่ได้มองไปที่ความเป็นไปได้ที่แท้จริงของธุรกิจ เพราะมัวแต่คิดถึงเงินที่จะได้
หรือพูดแบบไม่เกรงใจว่า "ก็เพราะเงินมันบังตาและใจจนมืดบอดนั่นไง!"
...
นี่ถ้าไม่ได้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน กรุณาให้ความสว่าง...ผมก็ยังไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ผมตกอยู่ในปลักแห่งมิจฉาจริตเข้าให้แล้ว
ต้องอย่าลืมนะครับ...ว่าวิธีคิดของคนเรานั้น เป็นจุดเริ่มต้นของชะตากรรม แปลว่า ท่านผู้ใหญ่ทั้งสองได้กรุณาเปลี่ยนชะตากรรมของผมให้แล้ว...นับว่าผมโชคดีมาก
...ดังนั้น เราจงอย่าตั้งเป้าว่า จะเกษียณ โดยมี Financial Goal เป็นเหตุผล...และถ้าใครหลงทางไปเหมือนที่ผมเป็น...ก็ขอให้คำแนะนำของพี่ A ชี้ทางสว่างให้ นะครับ...
#อย่าเห็นแก่เงินจนมองข้ามความจริง #แม้เงินจะสำคัญแต่ความสุขไม่ได้ผูกกับเงินเพียงอย่างเดียว #เงินบังตาให้หลง #กลิ่นเงินกลบกลิ่นความจริง
เมื่อเช้านี้เองครับ ผมมีโอกาสไปประชุมร่วมกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน ที่ถือว่าเป็นบุคคลชั้นแนวหน้าของประเทศ
ท่านหนึ่งก็คือพี่ B ที่ผมเคยนำข้อคิดของท่านมาแชร์ไว้ (Post#3-329 และ Post#3-365) และอีกท่านหนึ่ง ผมขออนุญาตสมมติชื่อท่านว่า พี่ A ก็แล้วกันครับ
หลักใหญ่ใจความของการประชุม ก็เกี่ยวกับเรื่องการหารือเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจนี่แหละครับ
หลังจากคุยเรื่องธุรกิจจบ เราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระนิดหน่อย...และตอนหนึ่งของการสนทนา ผมก็เรียนทั้งพี่ B และพี่ A ว่า ที่ผมทำงานหนัก เพราะอยากจะเกษียณเร็วหน่อย
ทั้ง 2 ท่าน ต่างบอกผมทันทีว่า "คุณคิดแบบนี้ไม่ถูก...เป็นอันตรายมากนะ คุณต้องรีบเปลี่ยน Mindset นี้"
แล้วบังเอิญมีประเด็นอื่นแทรกขึ้นมา เรื่องนี้ก็เลยถูกหยุดไว้ที่ประโยคทิ้งท้ายนั้น
ตอนที่ฟังท่านพูด ผมคิดหาคำตอบไม่ออกเอาจริงๆ ว่าเหตุผลที่ท่านเตือนน่ะ คืออะไร? แล้วมันอันตรายยังไงหนอ?
ลองคิดตามผมดูครับ ว่าทำไมผู้ใหญ่ท่านจึงเตือนผมเช่นนั้น...ให้เวลา 10 นาที เลยครับ
...
ได้คำตอบมั๊ยครับ?
ลองมาตามกันต่อครับ ว่าเหตุผลของท่านคืออะไร?
หลังประชุมจบ พี่ A ก็ลากลับพร้อมกับผมด้วย...ผมเลยมีโอกาสเดินไปรอรถพร้อมกับท่าน
ระหว่างรอ...พี่ A ก็ยังกรุณาให้ข้อคิดและเปิดมุมมองให้ผมอีกมากมาย (ซึ่งจะหาโอกาสมาแชร์ครับ) และเหมือนพี่ A จะเดาใจผมออก ก็เลยกรุณาวกกลับไปเฉลยประเด็นที่ผมคาใจอยู่
พี่ A สอนว่า เมื่อใดที่ใครก็ตาม ตั้งเป้าว่าจะเกษียณ มันจะกลายเป็นการทำให้เรา focus ผิดจุดไปมาก
เพราะยิ่งอยากเกษียณเร็ว ก็ยิ่งทำให้เราอยากหาเงินให้มากๆ...
และนั่น ทำให้เรา "take unnecessary risk" แปลว่า "เสี่ยงโดยไม่มีเหตุอันควร" นั่นเอง!
...
ผมฟังแล้วก็อึ้ง...เพราะตรรกะของพี่ A ล้วนเต็มไปด้วย "เหตุ" และ "ผล" อันสอดรับกันอย่างยิ่ง!
จริงสิครับ...เมื่อเรามุ่งเป้าไปที่การตั้ง Financial Goal ไว้แบบนี้...เราก็จะพยายามสร้างความมั่งคั่งให้ได้มากๆ อย่างรวดเร็ว
นั่นหมายถึง เราจะวิ่งเข้าชนกับทุกโอกาสที่เข้ามา...โดยไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่า "ความโลภ" น่ะ มันบังตาเราไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อใดก็ตามที่เราทำอะไรด้วย "ความโลภ"...ก็เมื่อนั้นล่ะครับ ที่ "ความโกรธ" และ "ความหลง" จะตามมา
ลงว่าเราโลภไปเสียแล้ว เราจะมองไม่เห็นความเสี่ยงหรือความล้มเหลวที่ซ่อนอยู่...ทำให้เราไม่ได้มองไปที่ความเป็นไปได้ที่แท้จริงของธุรกิจ เพราะมัวแต่คิดถึงเงินที่จะได้
หรือพูดแบบไม่เกรงใจว่า "ก็เพราะเงินมันบังตาและใจจนมืดบอดนั่นไง!"
...
นี่ถ้าไม่ได้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน กรุณาให้ความสว่าง...ผมก็ยังไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ผมตกอยู่ในปลักแห่งมิจฉาจริตเข้าให้แล้ว
ต้องอย่าลืมนะครับ...ว่าวิธีคิดของคนเรานั้น เป็นจุดเริ่มต้นของชะตากรรม แปลว่า ท่านผู้ใหญ่ทั้งสองได้กรุณาเปลี่ยนชะตากรรมของผมให้แล้ว...นับว่าผมโชคดีมาก
...ดังนั้น เราจงอย่าตั้งเป้าว่า จะเกษียณ โดยมี Financial Goal เป็นเหตุผล...และถ้าใครหลงทางไปเหมือนที่ผมเป็น...ก็ขอให้คำแนะนำของพี่ A ชี้ทางสว่างให้ นะครับ...
#อย่าเห็นแก่เงินจนมองข้ามความจริง #แม้เงินจะสำคัญแต่ความสุขไม่ได้ผูกกับเงินเพียงอย่างเดียว #เงินบังตาให้หลง #กลิ่นเงินกลบกลิ่นความจริง
Comments
Post a Comment