Skip to main content

Posts

Showing posts from August, 2014

Post#358: สายใยแห่งความผูกพัน

Post#358: เย็นย่ำวันวาน ผมมีโอกาสได้ไปทานข้าวกับน้องๆ ที่เคยร่วมงานกันเมื่อหลายปีก่อน บอกตรงๆ ว่าแม้ป่วยไข้ แต่ในใจอบอุ่นมากเหลือเกิน และเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ได้ไปพบปะน้องๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนที่ทำงานกับผมก็ตาม แน่นอนว่ามาเจอกันแบบนี้ คงหนีไม่พ้นต้องมีเรื่องเม้าส์มอยส์ ปรับทุกข์ แชร์เรื่องราวที่ไปเจอมา แล้วก็คุยสัพเพเหระ ตลกโปกฮา ไปตามประสา สิ่งที่ผมสรุปได้จากการเม้าส์มอยส์นั้น มีเยอะมากๆ ที่คิดว่าเหมาะจะนำมาแชร์กัน ก็เช่น... หนึ่ง...ทุกคนต่างมีปัญหาของตัวเอง ไม่ว่าจะปัญหาที่ทำงานหรือปัญหาที่บ้าน ทางเดียวที่จะก้าวผ่านมันไปให้ได้ ก็คือเราต้องคิดบวก ยิ้มรับสถานการณ์อย่างเข้มแข็ง โดยมีพี่ๆ น้องๆ คอยให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง และพร้อมยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอ สอง...เวลาทำงาน อย่ามองจากมุมเราด้านเดียว ถ้าเราเป็นนาย ก็ลองมองในมุมของน้องๆ บ้าง เช่นกัน ถ้าเราเป็นลูกน้อง ก็ต้องเข้าใจนายบ้าง เมื่อได้มองต่างมุม คิดต่างใจ ก็จะทำให้ทำงานด้วยความเข้าใจมากขึ้น สาม...การเมืองในที่ทำงานมีอยู่ทุกที่ มากน้อยต่างกัน ต่าง office ก็ต่างสถานการณ์ ดังนั้น ตัวเราต้องตระหนักรู้ เลือกอยู่ข้าง...

Post#357: ป่วยน้อยอย่าปล่อยนาน

Post#357: ช่วง 2-3 วันมานี้ ผมไม่ค่อยสบาย ไอจนปวดหัวไปหมด แต่ด้วยภาระหน้าที่ ก็เลยหยุดพักเฉยๆ อยู่กับบ้านไม่ได้ รักษาด้วยยาพ่นและยาอมไปตามเรื่องตามราว มานั่งทบทวนดีๆ ไม่ใช่แค่ผมหรอกครับ ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตัวเองดีพอ...และมีประโยคติดปาก ประมาณว่า ไว้ค่อยไปหาหมอ, คงไม่เป็นไรมาก, เดี๋ยวก็หาย, ฯลฯ ผ่านไป 2-3 วัน อาการที่ว่าก็ไม่ดีขึ้น และแน่นอนว่าแย่ลงเป็นลำดับ กว่าจะสำนึกตัว อาการที่รีบรักษาแต่เนิ่นๆ ก็หาย กลับกลายเป็นว่าจะไอเรื้อรังกว่าที่คิด จะว่าไป นี่ก็เข้าทำนอง "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" นั่นล่ะครับ แล้วก็ให้นึกถึงคำกล่าวหนึ่งขึ้นมาได้ "ถ้าคุณป่วยตาย พรุ่งนี้บริษัทฯ ก็หาคนมาทำงานแทนคุณได้ แต่ครอบครัวที่สูญเสียคุณไป จะหาใครมาทดแทน" ฮ่าๆ ผมไม่ได้ป่วยหนักหนาอะไรนะครับ เดี๋ยวจะนึกว่าผมลาตายไปซะก่อน...แค่คิดว่าคำกล่าวนี้ มันสะกิดใจเหลือเกิน แค่นั้นเอง ^^ ดังนั้น ถ้าป่วยจริงๆ ควรต้องรีบลางานไปรักษาล่ะครับ อย่าละเลยจนมันหนักหนา ผมมั่นใจว่า นายคงเข้าใจและยินดีให้เรารีบหาย ^^ ส่วนพวกที่ลาป่วยเพราะ Monday Syndrome, มดกัด, เล็บขบ, ฯ...

Post#356: ทางสบาย vs ทางลำบาก

Post#356: ช่วงเวลาที่เราเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก นับเป็นช่วงเวลาทดสอบใจเราโดยแท้ คนส่วนใหญ่มักจะถอดใจยอมแพ้ในช่วงนี้นี่ล่ะครับ ซึ่งเราก็คงโทษกันไม่ได้ ความคิดของใครก็ของมัน แต่ที่ผมอยากสะกิดให้คิดก็คือ... เรามักหาเหตุผลมาสนับสนุนได้ง่ายมาก ว่าเพราะเหตุใดเราจึงควรยอมแพ้ แต่เรามักไม่ได้คิดต่อว่า เมื่อเรารู้ถึงเหตุผลที่เราต้องยอมแพ้แล้ว เราก็น่าจะคิดต่อไปได้ถึงวิธีพลิกกลับมาเอาชนะได้บ้างสิน่า ผมเคยอ่านเจอคำพูดนึงใน social network นี่ล่ะครับ เค้าว่าไว้ได้ดีเหลือเกินครับ ทำให้มีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่ออย่างไม่ยอมแพ้... "หนทางไปสู่ความสบายนั้น ลำบาก ส่วนหนทางไปสู่ความลำบากนั้น สบาย" ผมเคยเดินอยู่บนทั้ง 2 หนทางมาแล้ว จึงสามารถ confirm ได้ว่า ที่เค้าว่ามานั้น..."จริงแท้" แล้วคราวนี้จะรู้ได้ยังไงว่า เมื่อไหร่ควรจะต้องเดินต่อ หรือเมื่อไหร่ควรจะหยุดเดิน? ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับ...เพราะยังเดินไปไม่ถึงเส้นชัยที่ต้องการ แต่ถ้าตอบตามความเห็นส่วนตัว...ผมจะหยุดเดินบนเส้นทางนั้น ก็ต่อเมื่อผมตอบตัวเองไม่ได้ว่า เส้นทางที่ผมกำลังเดินอยู่นั้น ปลาย...

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#354: ลำพัง vs โดดเดี่ยว

Post#354: ช่วงเวลาที่มีความสุขหนึ่งของมนุษย์เงินเดือน ก็คือช่วงทานข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน... ผมไม่ค่อยได้เจอมนุษย์เงินเดือนที่ทานข้าวคนเดียว ไม่สุงสิงกับใครบ่อยนัก จะเห็นมีบ้างก็พวกที่งานเร่ง พิมพ์งานไปทานข้าวไป นอกนั้นก็ไปทานข้าวกันเป็นกลุ่มๆ แต่ก็มีบางพวกเตรียมกับข้าวมาทานร่วมกันใน office แปลกมั๊ยครับที่เวลาเดินไปทานข้าวกลางวันกับเพื่อน จะมีแรงเดินได้ไกลกว่าที่วันที่จะต้องไปทานข้าวคนเดียว? ไม่ทราบคนอื่นๆ เป็นเหมือนที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้มั๊ย แต่กับตัวผมนี่ ยืนยันได้ว่าจริง... หรือจะเป็นจิตใต้สำนึกที่บอกว่า "เดินทางไกลๆ คนเดียวมันเหงา ถ้ามีเพื่อนที่รู้ใจเรา...ก็ถึงไหนถึงกัน" เวลาทำงานก็เช่นกันล่ะครับ... ถ้างานที่ทำมันดูยากเหลือเกิน ทำไมไม่ลองปรึกษาเพื่อนดูบ้าง? ผมไม่ได้บอกให้โยนงานให้เพื่อนนะครับ แค่พูดคุยกับเพื่อน ประมาณว่า หยั่งความเห็น หรือขอ comment ก็อาจช่วยให้เราเห็นมุมที่ไม่เคยเห็น หรือนึกไม่ถึง ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ... เวลาเดินไปทานข้าวไกลๆ แต่ได้เดินไปคุยไปกับเพื่อน ทางที่ว่าไกลก็ทำให้รู้สึกว่ามันใกล้ขึ้น เวลาต้องทำงานยากๆ หรือซับซ้อน ได้คุยไ...

Post#353: Idol

Post#353: โดยความเชื่อส่วนตัว ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนมี idol ของตัวเอง บางคนมี idol เพียงคนเดียว บางคนมี idol มากกว่านั้น (เพราะจะมี idol แยกเป็นเรื่องๆ เช่น เรื่องเที่ยว มีคนนึงเป็น idol ส่วนเรื่องทำงาน ก็มีอีกคนเป็น idol) เวลาเรายกใครให้เป็น idol ต้องระวังความหลงผิดของเราเองครับ... ความหลงผิดที่ว่า มักเป็นเพราะเราจินตนาการไปเอง ว่าเราต้องทำตาม idol ของเราแบบเป๊ะๆ 100% ไม่ว่า idol ของเราจะทำอะไร ใช้ชีวิตยังไง เราเป็นต้องอยากจะเลียนแบบ อยากจะทำตาม ทว่า ในชีวิตจริง เราทำแบบนั้นไม่ได้ทุกครั้งหรอกครับ... เรามองชีวิตของ idol เพื่อยึดเป็น "แบบอย่าง" ไม่ใช่เพื่อ "เอาอย่าง" หมายความให้ชัดๆ ก็คือ ถ้าอะไรเราพอจะทำตาม idol ได้ โดยไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ก็ไม่ห้ามกัน แต่ถ้าทำตาม idol แล้ว ทำให้ตัวเราลำบาก ผมก็นึกไม่ออกว่าจะทำไปเพื่ออะไร? เช่น idol ใช้ของ Brand Name ชั้นก็เลยต้องขวนขวายใช้ให้เหมือนเค้าด้วย เป็นต้น เค้าใช้ชีวิตอย่างคนรวย แต่เราพยายามใช้ชีวิตตามอย่างคนรวย มันเหนื่อยต่างกันเห็นๆ -"- ต้องเตือนสติตัวเองครับ ว่าไม่ใช่ว่าเราทำตาม idol ทุกอย่าง...

Post#352: ไม่มีใครแก่เกินจะเรียนรู้

Post#352: ช่วงบ่ายแก่ๆ ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสคุยกับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง เรื่องที่น่าประทับใจจนต้องนำมาแชร์นั้น มีอยู่ว่า เพื่อนรุ่นพี่ของผมท่านนี้ อายุอานามก็ใกล้จะ 65 เข้าไปแล้ว แต่กำลังจะไปเรียน short course เป็น course ที่ 4! ผมได้แต่ทึ่ง เพราะไม่รู้ว่าพี่เค้าเอาพลังมาจากไหนมากมาย ทำให้ผมมั่นใจว่า ตราบใดที่ใจไม่ยอมแก่ เราก็ไม่มีวันจะแก่ง่ายๆ ผมแซวพี่เค้าไปว่า อายุก็มากแล้ว พี่จะเรียนอะไรกันนักกันหนา แล้วเรียนไปน่ะได้ใช้บ้างเปล่าครับ? พี่เค้าขำอยู่แป๊บนึง...แล้วตอบผมว่า "กรูแก่แล้วก็จริง แต่กรูไม่ยอมให้สมองและหัวใจแก่หรอกโว้ย มรึงจำไว้เลย...ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ..." ตอนคุยกับพี่เค้า มันเป็นอารมณ์คุยขำๆ เย้าแหย่เอาฮา...แต่ผมเอามาคิดต่อแล้วนั่งสมเพชตัวเอง พี่เค้าอายุเลยวัยเกษียณไปนานแล้ว แต่ก็ยังไม่คิดจะหยุดเรียนรู้...แล้วเราอ่อนกว่าตั้งมาก ทำไมหาข้ออ้างที่จะไม่หาความรู้ใหม่ๆ ได้ซะมากมาย? เดี๋ยวเหนื่อยบ้างล่ะ, เดี๋ยวงานยุ่งบ้างล่ะ, เดี๋ยวไม่มีเวลาบ้างล่ะ, ฯลฯ แต่จริงๆ น่าจะเพราะขี้เกียจซะล่ะมากกว่า... เวลาพูดเรื่องเรียนรู้ ผมไม่ได้หมายความให...

Post#351: Aftershock หลังแผ่นดินไหว

Post#351: แผ่นดินไหวที่อำเภอพาน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นับว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศของเรา ด้วยความรุนแรงระดับ 6.0 ริกเตอร์สเกล  เป็นแผ่นดินไหวที่ทำให้ชีวิตชาวเชียงรายและชาวไทยเปลี่ยนไปตลอดกาล... ที่ผมว่าชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปตลอดกาลนั้น เป็นเพราะหลังเกิดแผ่นดินไหว แน่นอนว่าย่อมต้องมี Aftershock... ...และ Aftershock ที่ว่า เกิดขึ้นต่อเนื่องกว่า 730 ครั้ง! นอกเหนือไปจากที่แผ่นดินไหวจะก่อให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สินอย่างมากมายแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อจิตใจอย่างรุนแรงอีกด้วย ใครไม่ได้เป็นชาวเชียงรายก็คงไม่รู้ ว่าการที่ต้องหลับตานอนด้วยความกังวลอยู่ตลอดเวลา มันทรมานเพียงใด...และไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่? และต่อจากนี้ไป การใช้ชีวิตของชาวเชียงรายและพี่น้องชาวเหนือก็จะมีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะการกินอยู่หลับนอน หรือแม้กระทั่งการสร้างบ้านเรือน ลำพังแผ่นดินไหวเอง ก็สร้างความบอบช้ำมากพอดูอยู่แล้ว แต่ Aftershock หลังเกิดแผ่นดินไหว กลับสร้างความบอบช้ำต่อเนื่องมากกว่า... ในชีวิตจริงของเรา...เราสร้างแผ่นดินไหวให้ใครบ้...

Post#350: True Smile

Post#350: เคยนับบ้างมั๊ยครับ ว่าวันๆ นึง เรายิ้มหรือหัวเราะกี่ครั้ง? การยิ้มหรือหัวเราะในที่นี้ ผมหมายถึงยิ้มหรือหัวเราะที่ออกมาจากใจของเรา (ผมเรียกรวมๆ ว่า True Smile ละกันนะครับ) ไม่ใช่การยิ้มหรือหัวเราะเพื่อเข้าสังคม (ผมเรียกว่า Fake Smile) นะครับ ถ้าวันๆ นึง เราไม่ได้มี True Smile เลย มีแต่ Fake Smile ผมคิดว่า เราอาจต้องมาทบทวนชีวิตของเรานิดนึงครับ ว่าเราใช้ชีวิตผิดที่ผิดทางรึเปล่า? ส่วนตัว ผมคิดว่า การใช้ชีวิตที่น่าสงสารที่สุด ก็คือการใช้ชีวิตที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองนั่นแหละครับ ถ้าทั้งวันเราต้องมาคอยตีหน้าชื่น ทั้งที่ใจข้างในเป็นตรงกันข้าม ไม่อยากยิ้มให้แต่ก็ต้องยิ้ม ไม่อยากเสวนาแต่ก็ต้องฝืนทน ไม่อยากสุงสิงแต่ก็จำยอม ฯลฯ ผมว่า ทางแก้มีแค่ 2 ทาง... หนึ่ง คือเปลี่ยนที่ทำงาน และสอง คือเปลี่ยนวิธีมองโลกของเราเอง... คนจำนวนมาก เลือกวิธีที่หนึ่ง เพราะมันง่ายดี แต่เค้าหารู้ไม่ว่า เค้าเปลี่ยนที่ทำงานไปเพื่อจะไปพบปัญหาเดิมๆ คนที่เราไม่ชอบน่ะ มีอยู่ทุกที่ล่ะครับ เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีข้อดีก็มีข้อเสีย... ปัญหาน่ะ ไม่ได้อยู่ที่เค้านิสัยดีหรือไม่ดี ...

Post#349: เนินกับทางโค้ง

Post#349: ใครๆ ก็รู้ว่า เวลาขับรถทางไกล อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขับรถเร็วเกินควร เพราะถนนมันโล่ง หรือไม่ก็คนขับหลับใน เพราะขับไปเรื่อยๆ แทบไม่ได้ขยับตัว ต่างจากตอนขับรถในเมือง ที่มีนิ่งสลับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ถนนที่เป็นทางเข้าหมู่บ้าน หรือตามซอยที่มีทางแยก จึงมักจะมีเนินลูกระนาดหรือเนินหลังเต่าดักอยู่เป็นระยะ เพื่อชะลอไม่ให้เราขับรถเร็วเกินไป จนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่นกันกับที่เวลาขับรถทางไกล เค้าจึงมักทำถนนให้มีทางโค้งสลับกับทางตรง หรือทำบางช่วงของถนนให้เป็นทางขรุขระบ้าง เพื่อให้คนขับได้ขยับพวงมาลัยบ้าง ไม่งั้นก็อาจหลับใน หันมามองชีวิตเรากันบ้างครับ... อาจมีบ้างที่เราเผชิญความไม่ราบเรียบของชีวิต อาจจะมีสะดุดบ้าง ต้องเดินทางอ้อมบ้าง ไม่ได้ไปถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ง่ายๆ บางทีกว่าจะถึงจุดหมาย ก็สะดุดแล้วสะดุดอีก อ้อมแล้วอ้อมอีก... ให้คิดซะว่า ทุกครั้งที่ชีวิตสะดุด ก็เหมือนรถที่เจอเนินลูกระนาดหรือหลังเต่า เป็นโอกาสที่จะได้หันมาทบทวนว่า ชีวิตเราก้าวเร็วจนเกินงามรึเปล่า และเป็นโอกาสให้มองซ้ายมองขวา ได้คิดหาทางหนีทีไล่ใหม่ๆ ไปด้วย ส...

Post#348: ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน

Post#348: ช่วงเย็นก่อนกลับบ้านนี้เองครับ ลูกน้องที่น่ารักคนหนึ่งของผม มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนแม่พาไปดูหมอ O_o ลูกน้องผมคนนี้ เธอเป็นผู้ใหญ่เกินวัย มีความคิดและความมั่นใจที่โตกว่าคนในวัยเดียวกัน และมักจะมีมุมมองชวนคิดให้ผมแปลกใจอยู่บ่อยๆ เช่นครั้งนี้ เธอสงสัยว่า ถ้าสมมติไปถามหมอดูว่า ควรทำนู่น นั่น นี่ มั๊ย? แล้วบังเอิญว่าหมอดูฟันธงว่า ไม่ควรทำ คำถามของเธอคือ "แล้วชั้นจะต้องเชื่อหมอดูทุกอย่างรึเปล่า?" ก็ในเมื่อหมอดูใช้ "การดูดวง" หรือเรียกให้โก้หน่อย ก็ต้องบอกว่า หมอดูน่ะ รู้ "ลิขิตฟ้า" ของเรา เรียกว่า ฟ้ากำหนดไว้แล้ว อย่าฝืนซะให้ยากจะดีกว่ามั๊ย? แล้วแบบนี้ คนเราจะฝืนชะตาฟ้าได้จริงหรือ? ข้อสงสัยนี้ เข้าข่ายปัญหาโลกแตกสำหรับผม...งั้นเอาเป็นว่า ไม่ตอบก็แล้วกันครับ ^^ ถามคำถามกลับดีกว่า... เรารู้ว่า เราต้องตายแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็หนีไม่พ้นความตายอยู่ดี ถามว่า แล้วเราดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ทำไม? ทำไมไม่เลือกตายซะเดี๋ยวนี้? เรารู้ว่า เราไม่น่าจะจีบผู้หญิงคนนั้นได้ (หรือจีบผู้ชาย - ถ้าเป็นสาวๆ :P) แล้...

Post#347: คนเข้มแข็งต้องไม่ร้องไห้?

Post#347: เป็นเรื่องปกติที่เราร้องไห้เวลาเสียใจ แต่ใช่มั๊ยนะ ที่ "น้ำตา" เป็นสัญลักษณ์ของ "ความอ่อนแอ" ผมเองก็ไม่กล้าลงความเห็นแบบฟันธง แต่ตามที่เข้าใจ คนส่วนใหญ่ก็คงตีความอย่างนั้น แปลว่า "คนที่เข้มแข็ง" ไม่ควรร้องไห้รึเปล่า? ความเห็นส่วนตัวผม...ผมมองว่า ไม่น่าจะใช่ "คนที่เข้มแข็ง" กับ "คนที่แสดงออกว่าเข้มแข็ง" ดูเผินๆ เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วต่างกันมาก คนที่การแสดงออกต่อหน้าสาธารณชนว่า ตัวเองเข้มแข็ง บ่อยครั้ง ผมพบว่า แท้จริงแล้วใจเค้าไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เค้าแสดงออก เช่นกันกับที่ คนที่ท่าทางดูนุ่มนิ่ม ก็ไม่ได้หมายความว่า เค้าจะมีใจที่อ่อนแอ สำหรับผม คนเข้มแข็งไม่ใช่คนที่ไม่เคยร้องไห้ ไม่ใช่คนที่ไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแอ หากแต่เป็นคนที่ก้าวข้ามผ่านความอ่อนแอได้ทุกครั้งที่มันมาเยี่ยมเยือนเค้าต่างหาก ผมไม่เห็นว่า การร้องไห้นั้นเป็นเรื่องผิด แต่การเลือกเวลาและสถานที่ที่จะร้องไห้ต่างหากที่น่าจะเป็นประเด็น อย่าลืมว่าเราเป็น "สัตว์สังคม" มีสถานะภาพและมีภาพลักษณ์บางอย่างที่ต้องรักษา ดังนั้น เราร้องไห้ได้ ถ้า...

Post#346: มีน้ำใจแบบไทย ทำงานสไตล์ฝรั่ง

Post#346 ผมเคยคุยให้ฟังถึงพฤติกรรมที่ไม่น่าพิศมัยของคนไทย (บางคน) ในที่ทำงาน (Post#168) แต่จะบอกว่าคนไทยไม่มีข้อดีเลยงั้นสิ? คำตอบย่อมไม่ใช่ ที่เห็นเด่นชัดเลยก็คือ เรื่องความมีน้ำใจของคนไทย ผมเองก็มีลูกน้องฝรั่ง ซึ่งมีความชัดเจนในหน้าที่ของตัวเองมาก จน "เกือบ" จะเหมือน "แล้งน้ำใจ" ขยายความให้ชัดๆ ก็ต้องบอกว่า เค้าจะทำงานในความรับผิดชอบของเค้าเป็นอย่างดีที่สุด ในขณะที่งานนอกเหนือจากหน้าที่ เค้าก็จะถือว่า "ธุระไม่ใช่" แต่ถ้าเป็นคนไทย แม้จะไม่ใช่งานของตน ถ้ามีใครขอความช่วยเหลือ ก็มักจะไม่ค่อยปฏิเสธ (หรือไม่กล้าปฏิเสธ) เรียกว่า ถ้าช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป ในความเป็นจริง ผมว่าเราต้องหาส่วนผสมที่พอเหมาะระหว่างความแตกต่างนี้... งานในหน้าที่ของตนต้อง ok, ก่อนที่จะไปช่วยชาวบ้าน ไม่ใช่ช่วยแต่งานชาวบ้าน งานของตัวเองไม่เคยเรียบร้อย แต่ถ้าทำแต่เฉพาะงานตัวเอง โดยไม่คิดช่วยเหลือใครเลย แบบนี้ก็อยู่ในสังคมการทำงานแบบไทยๆ ได้ลำบาก เพราะแม้จะเป็นพนักงานยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานยอดแย่ เชื่อเถอะครับ ว่าเราเป็นพนักงานยอดเยี่ยมพร้อมๆ กับเป็นเพื่อนร่วมงาน...

Post#345: เลียนแบบ vs ต่อยอด

Post#345: สวัสดีวันจันทร์ครับ เริ่มต้นกันด้วยคำถามกระตุ้นรอยหยักในสมองเล็กน้อยนะครับ ^^ อะไรคือเส้นขีดคั่นระหว่าง การเลียนแบบ และการต่อยอด? ให้เวลาคิด 3 นาทีครับ ... ผมเชื่อว่า บ่อยครั้ง เรามักจะทึกทักเอาว่า คนนั้น คนโน้น คนนี้ มาเลียนแบบเรา แต่เมื่อมีใครมาทึกทักกับเราแบบนี้บ้าง เราก็มักจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ว่ากันด้วยเรื่องการเลียนแบบก่อนดีมั๊ยครับ? ความจริงแล้วก็ไม่เห็นต้องแปลให้มันยุ่งยาก เลียนแบบ (copy) ก็คือการลอกของชาวบ้านมาทั้งดุ้น ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนใดๆ หรือปรับเปลี่ยนก็น้อยมากๆ มีคำถามต่อว่า ที่ว่าเปลี่ยนน้อยมากๆ น่ะ น้อยขนาดไหน​...ก็น้อยขนาดที่ว่า คนอื่นๆ ดูปุ๊บก็ลงความเห็นปั๊บน่ะสิครับ ว่าเราก๊อบฯ เค้ามาแบบไม่ได้ใช้สมอง ปะเหมาะเคราะห์ดีเข้า ก็เจอฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ไปตามระเบียบ >_<" ส่วนการต่อยอดนั้น จริงๆ จะบอกว่า เป็นภาคอัพเกรดของการก๊อบปี้ ก็น่าจะว่าได้ ที่เค้าชอบแซวๆ กันว่า copy and development นั่นแหละครับ ในโลกปัจจุบันนี้ จะหาสินค้าใหม่หรือไอเดียทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกน่ะ ยากแสนยากครับ...ก็คงเหมือน...

Post#344: วิ่งหนีความทุกข์

Post#344: บ่ายวันวาน ผม line คุยกับลูกน้องเก่าท่านหนึ่ง เพราะเห็นเธอระบายความอัดอั้นตันใจไว้ใน Timeline ด้วยความเป็นห่วง ก็เลยอยากเขียน Post นี้ เพื่อเธอ... คำพระท่านว่าไว้ ตราบที่ยังไม่นิพพาน ก็ไม่มีวันล่วงทุกข์ ทันทีที่ลืมตาตื่นนอน ความทุกข์ต่างๆ ก็มาดักรออยู่พร้อมแล้ว ตราบที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ตราบนั้น เราก็ไม่มีวันหนีพ้นจากความทุกข์ไปได้ ก็ในเมื่อรู้อยู่ว่า ความทุกข์เป็นของธรรมดาโลก ดังนั้น เราจึงไม่ควรไปมัวคิดจะหนีให้ห่างจากความทุกข์ แต่ควรเอาเวลามานั่งหาวิธีอยู่กับความทุกข์อย่างมีสติน่าจะดีกว่า... การวิ่งหนีความทุกข์ ก็เปรียบเหมือนกับการวิ่งหนีเงาตัวเอง ยิ่งคิดหนีก็ยิ่งกลุ้ม แม้จะวิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางหนีพ้นจากมันไปได้ ต่อเมื่อหยุดวิ่งถีงจะรู้ว่า ความทุกข์มันก็อยู่นิ่งๆ ของมันอย่างนั้น ไม่วิ่งหนีมันก็ไม่วิ่งไล่ ถ้าตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ยังตั้งเป้าจะวิ่งหนี ก็เท่ากับว่า เราพร้อมจะยอมแพ้ต่อความทุกข์ที่ติดตามเราอยู่ และแปลว่า เรา "ปิดประตูชนะ" ด้วยตัวเราเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ยอมรับได้ว่า เราไม่ควรจะวิ่งหนี หากแต่เผชิญหน้ากับความทุกข์อย่า...

Post#343: งาน event สอนใจ

Post#343: วันนี้ผมมีอันต้องไปขึ้นเวทีร่วมกับดาราดังท่านหนึ่ง ผมไม่ค่อยชอบงานเบื้องหน้า เพราะไม่ค่อยมั่นใจในหนังหน้าตัวเอง แต่ด้วยภาระหน้าที่บังคับ...ก็เลยหนีไม่พ้น โดยรวมก็สนุกดีครับ มีคนให้ความสนใจเยอะมากๆ เรียกว่า งานนี้เป็น high-light ประจำวันของวัน (สำหรับที่นี่) ก็ว่าได้ แต่กว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ก็เล่นเอาเหงื่อตกกีบ เพราะเกิดเหตุขลุกขลักหลายเรื่องเยอะสิ่ง เดี๋ยวโน่นเดี๋ยวนี่ >_<" ความจริงแล้ว เราหนีไอ้ความขลุกขลักพวกนี้ไม่ค่อยพ้นหรอกครับ ต่อให้ตอนซ้อมเตรียมตัวดียังไง ถึงเวลาเอาจริงทีไร พวกความขลุกขลักต่างๆ ก็มาทุกที ที่เค้าว่า The Show must go on ก็มาจากเหตุนี้ล่ะครับ... เราจะไปหวังว่าอะไรๆ จะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ทุกอย่างน่ะไม่ได้หรอกครับ เวลาซ้อมน่ะ เราซ้อมอยู่บนสมมติฐานที่ทุกอย่างโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ไม่ค่อยได้ซ้อมในกรณีที่บังเอิญเดินไป "เหยียบหนามกุหลาบ" อ้อ! แล้วก็อย่าพยายามซ้อมให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์เลยครับ มันเป็นไปไม่ได้ ควรเอาเวลาไปซ้อมคุมสติเวลาเจอความขลุกขลัก แล้วต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะดีกว่า คนที่เราจ้างมาเป็น MC น่...

Post#342: ข่าวไม่ดีทำให้ใจฝ่อ

Post#342: ช่วงนี้เศรษฐกิจมันแย่ซะจริงๆ จังๆ จนทำให้จิตใจห่อเหี่ยวไปตามๆ กัน ผมไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ จึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้แบบเป็นเรื่องเป็นราว ว่าที่เศรษฐกิจโดยรวมเป็นฉะนี้ เกิดจากปัจจัยใดกันแน่ แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์แบบบ้านๆ ก็ต้องบอกว่า หลักๆ เกิดจาก "มู้ด" ในการจับจ่าย มันหายไป ก็จะไม่หายได้ยังไงล่ะครับ มีแต่ข่าวไม่ดีไม่เว้นแต่ละวัน...เสพแต่ข่าวไม่ดี ใจมันก็ห่อเหี่ยว แต่อยากให้เข้าใจและยอมรับนะครับ ว่าเราคงไปแก้อะไรกับข่าวที่นำเสนอไม่ได้ ข่าวไม่ดีมันก็มีให้ได้ยินทุกวันนั่นแหละครับ เพราะข่าวดีน่ะมันขายยาก ดังนั้นต้องเสพข่าวอย่างมีสติ รับแต่ข่าวไม่ดีมากๆ ก็มีแต่สารพิษตกค้างในสมอง วิเคราะห์ตามผมให้ดีๆ นะครับ ผมไม่ได้บอกให้ปิดกั้นตัวเองจากข่าวไม่ดี แต่บอกให้เสพข่าวแบบรู้จักแยกแยะ รู้จักปล่อยวาง เรื่องบางเรื่อง เอาใจไปจดจ่อจนเกินไป ก็จะทำให้เป็นทุกข์ ดังนั้น ก็อย่าไปกังวลกับมันให้มากนัก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกำลังของเราน่ะ กลุ้มไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นหรอกครับ รู้ข่าวแบบไม่ใช่ตกข่าวก็เพียงพอที่จะทำให้เราไม่ตกยุคแล้วครับ อย่า ...

Post#341: รับคำสั่ง ทำ 123 แต่คิดต่อ 456

Post#341: เวลาเรารับคำสั่งจากเจ้านาย ให้ทำ 1 2 3 เมื่อทำเสร็จแล้ว เราทำยังไงต่อครับ? บางคนก็ทำเท่าที่สั่ง รับคำสั่งมา 1 2 3 ก็ทำแค่ 1 2 3 บางคนไม่หยุดแค่ 1 2 3 แต่จะทำต่อ 4 5 6 ไปเลย และบางคนก็ไปไกลกว่า 4 5 6 เพราะทำไปจนถึง 10 เรียกว่าไม่เสร็จไม่เลิก ว่างั้น คิดๆ ไปแล้ว ก็เป็นกรรมของลูกน้องเหมือนกันนะครับ ใครจะไปรู้ว่า ควรจะทำแบบไหนดี? บ่อยครั้ง สมัยผมยังเป็นพนักงานตำแหน่งเล็กๆ ผมก็จะได้ยินเสียงปรับทุกข์ ประมาณว่า "ครั้งที่แล้ว ชั้นทำแบบนี้ ยังชมชั้นอยู่เลย ครั้งนี้พอทำแบบเดียวกัน กลับโดนด่าซะอย่างงั้น..." แล้วเราควรทำแบบไหนดี ถึงจะถูกใจนาย? เพราะหลายๆ ครั้ง หลายๆ คราว เราก็กลัวจะเกิดเหตุการณ์ประมาณว่า "เร็วก็หาว่าล้ำหน้า ช้าก็ว่าอืดอาด โง่ก็ถูกตวาด พอฉลาดก็ถูกระแวง พอทำก่อนบอกไม่ได้สั่ง ครั้นทำทีหลังบอกไม่รู้จักคิด..." สำหรับผม ผมถือคติว่า ถามแล้วโดนด่า ดีกว่าโดนด่า เพราะไม่ได้ถาม... เมื่อได้รับคำสั่งให้ทำ 1 2 3 ผมจะถามชัดๆ ว่า ปลายทางนายต้องการผลลัพธ์อะไร? ถ้านายยอมบอก ผมก็จะชวนนายคุยต่อ ว่า 4 5 6 ไปถึง 10 ประมาณนี้ได้มั๊ย? ผมจะได้เห็นภาพรวม แล...

Post#340: สติ vs อคติ

Post#340: เมื่อเย็นวานได้รับ Forwarded Message ทาง Line ครับ อ่านแล้วให้ข้อคิดได้ดี เลยขอนำมาแชร์ต่อตามธรรมเนียม เป็นคำกล่าวสั้นๆ ว่า "สติ ทำเรื่องใหญ่ๆ กลายเป็นเรื่องเล็ก อคติ ทำเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่" เห็นลงท้ายด้วย "ติ" เหมือนกันนี่ จริงๆ แล้ว ต้องเข้าใจนะครับ ว่า 2 ตัวนี้ มีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่ไม่ใช่พวกเดียวกัน "สติ" ว่าด้วยเรื่องของการกำกับอารมณ์ ส่วน "อคติ" ว่าด้วยเรื่องของการกำหนดมุมมอง ขอขยายความทีละตัวนะครับ ถ้าเรามีสติไวและแข็งแรงพอที่จะควบคุมอารมณ์ได้ เราจะพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมีอารมณ์มาข้องเกี่ยวแต่น้อย เมื่อไม่ได้ตัดสินใดๆ ด้วยอารมณ์ เรื่องที่ว่าใหญ่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใหญ่อย่างที่คนอื่นๆ เค้าตกใจกัน ส่วนเรื่องของอคติ จะว่าไปมันก็คือเรื่องของ mind set นั่นแหละครับ เชื่อยังไงก็หาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อนั้นๆ เมื่อมองใครไม่ดี ก็ปักธงไปแล้วว่าเค้าไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดีไปซะทั้งหมด  บางทีเค้าพูดผิดหูเรานิดเดียว เรื่องทำนอง "น้ำผึ้งหยดเดียว" หรือ "ขี้หมูราขี้หมาแห้ง" ก็กลายเป...

Post#339: แด่...แม่...ด้วยดวงใจ

Post#339: ย้อนหลังไป น่าจะกว่า 15 ปีที่แล้ว ผมแต่งกาพย์ยานี 11 เฉลิมพระเกียรติบทนี้ไว้... รวมใจอาเศียรวาท ราชินีนาถวงศ์จักรี เคียงคู่พระภูมี เคียงอยู่คู่อยู่เคียงไทย เสด็จเยือนถ้วนทั่วทิศ ทรงอุทิศจะหาไหน แม่หลวงของปวงไทย ทรงห่วงใยให้เมตตา บังคมแทบเบื้องบาท ราชินีนาถพระแม่ฟ้า สำนึกพระกรุณา ยิ่งแผ่นฟ้ากว่าแผ่นดิน พระทัยแผ่ไพศาล ดุจสายธารกระแสสินธุ์ หล่อฟื้นคืนชีวิน ไหลระรินชื่นชุบใจ ขอทรงพระเจริญ ราษฎร์สรรเสริญเทพอวยชัย แม่ฟ้าของข้าไทย อยู่คู่ไทยตราบนิรันดร์ บังคมแทบเบื้องบาท ราชินีนาถพระมิ่งขวัญ ร้อยใจรวมร่วมกัน ราชินีนาถสดุดี ... นอกจากวันนี้จะเป็นวันเฉลิมฯ แล้ว เราทุกคนรู้ดี ว่าวันนี้ก็เป็น "วันแม่"ด้วย ผมมั่นใจว่าเรารักแม่ทุกวัน แต่แปลกที่คนไทยจำนวนมากไม่กล้า "แสดงความรัก" ต่อแม่...ทั้งที่มันเป็นเรื่องดีที่ควรทำ แม่เป็นคนแรกเสมอที่เรามักจะนึกถึงในวันที่เราเจอปัญหา...และแม่จะเป็นคนท้ายสุดที่จะอยู่กับเราในวันที่ปัญหานั้นยังคงอยู่ กลับกัน...เวลาที่เรามีความสุข แม่จะเป็นคนแรกที่ยินดีกับความสุขของเรา แต่มักจะเป็นคนท้ายๆ ที่ผู้คน...

Post#338: จิตสำนึกของการตรงต่อเวลา

Post#338: ช่วง Long Weekend แบบนี้ กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองสวรรค์ ไปไหนมาไหนรถก็ไม่ติด เรียกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ได้ตลอด คนกรุงเทพฯ คงมีแต่รอยยิ้ม :) แต่ในเมื่อความจริงนั้น ตรงกันข้าม การเดินทางในกรุงเทพฯ ติดอันดับ 1-2 ของโลก ในเรื่องรถติด ใบหน้าของคนกรุงเทพฯ จึงไม่ค่อยจะน่ามองนักในช่วงวันปกติ บางคนก็น่าเห็นใจ เพราะงานที่เค้าชอบ หรือ office ที่เค้าทำงานอยู่ ผมต้องใช้คำว่า "อุตสาหะ" มาก กว่าจะมาถึงที่ทำงาน แต่บางคนก็ใช้เรื่อง "รถติด" มาเป็นข้ออ้างของการมาทำงานไม่ทัน อย่างขาดความละอาย เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่คนที่บ้านไกล มาทำงานแต่เช้า ในขณะที่คนที่บ้านอยู่ใกล้ๆ มาทำงานสาย ผมว่าเรื่องแบบนี้ มันอยู่ที่ "จิตสำนึก" บางคนที่ผมถาม ต้องเดินทางแบบยากลำบากมาก ขึ้นมอ'ไซ ต่อเรือ ต่อด้วย BRT แล้วนั่งสองแถว กว่าจะมาถึง office เรียกว่า ต้องออกจากบ้านพร้อมไก่ขัน ทั้งนี้ เพื่อจุดประสงค์เดียว "เพื่อมาให้ทันเวลาเข้างาน" แต่บางคน มีข้ออ้างสารพัด ทั้งเมื่อวานอยู่ office ดึก, เมื่อเช้าเกิดอุบัติเหตุ, รถเสีย, ปวดท้อง, ไมเกรน และสารพัดข้ออ้างที่ฟังดูก็รู...

Post#337: กินอะไรก็ได้

Post#337: เช้าวันอาทิตย์สบายๆ แบบนี้ ผมก็ขอคุยเรื่องสัพเพเหระบ้างก็แล้วกันนะครับ ^^ มีใครมีปัญหาเวลาไปทานข้าวพร้อมหน้ากันหลายๆ คนบ้างมั๊ยครับ? หนึ่งในปัญหาคลาสิกในสถานการณ์แบบนี้ ก็หนีไม่พ้นคำถามที่ว่า "จะกินอะไรดี?" สำหรับผม คำถามนี้ถือเป็นคำถามที่ยากเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน และไม่เคยตอบได้แบบทันทีเลย เป็นคำถามที่เจอแทบทุกวัน วันทำงาน ก็จะต้องได้ยินจากเพื่อนร่วมงาน ส่วนวันหยุดเป็นต้องได้ยินจากครอบครัว หรือไม่ก็เป็นคนเอ่ยปากถามเอง >_<" ส่วนคำตอบยอดฮิต ที่ได้ยินแล้วชวนมึนมากกว่าเดิม แถมดูเหมือนไม่ช่วยอะไรเลยก็คือ... ถูกต้องแล้วครับ คำตอบนั้นคือ "อะไรก็ได้" -"- หรือเพราะตอบแบบนี้แล้วทำให้ดูเป็นคนดี? หลังๆ ผมพยายามสร้าง choice ขึ้นในใจ ก่อนจะถามคำถามนี้ ดังนั้นเวลาได้ยินคำว่า "อะไรก็ได้" ผมจะถามต่อทันทีว่า "งั้นให้เลือกระหว่าง ร้าน A กับ ร้าน B จะกินร้านไหน?" ส่วนมากถ้าเป็นที่ทำงาน ก็มักจะได้ข้อสรุปเพราะเวลามันจำกัด ผมยังคิดต่อเลยครับ ว่าทำเป็นสลากแล้วจับกันเลยดีมั๊ย? จะได้ไม่ต้องนั่งนึก จับสลากได้ร้า...

Post#336: จดสิอย่าแค่จำ, นึกได้ต้องรีบจด

Post#336: ไม่แน่ใจว่า เรื่องที่จะแชร์ต่อไปนี้ เกิดขึ้นกับเฉพาะคนที่อายุใกล้ดอนเมืองอย่างผมรึเปล่า แต่เท่าที่สังเกต (อย่างไม่ได้เข้าข้างตัวเอง) ผมพบว่าเรื่องนี้เกิดกับคนทุกเพศทุกวัย ผมกำลังพูดถึง ความประมาทที่คิดว่าตัวเอง "จำได้" ลองทดสอบครับ... เมื่อเช้านี้ ทานอะไรครับ? "อุ๊ย ง่ายๆ ตอบได้" เมื่อเช้าวานนี้ ทานอะไรครับ? "อืมมม คิดว่า.." แล้วเมื่อเช้าวันเสาร์ที่แล้ว ทานอะไรครับ? "..." เรื่องอาหารเช้า อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องจำ ตอบไม่ได้ ผมถือว่า ok แต่ถ้านายเรียกไปคุยงาน, เราเข้าไปประชุม หรือไปคุยงานกับลูกค้า...แล้วเราไม่คิดจะ "จด" เพราะประมาทคิดว่าจะ "จำได้" ผมขอฟันธงว่า ใครที่คิดแบบนี้ ถือว่า "ผิด" ชั่วขณะที่พึ่งคุยกันจบน่ะ ผมไม่เถียงครับ ว่าพอจะจำได้ แต่อย่าลืมว่า วันทั้งวันเราคุยกับคนนั้นคนนี้สิบเรื่องร้อยหน้า จะให้จำเนื้อความครบถ้วน 100% น่ะ ยากมาก ระยะแค่เดินออกจากห้องประชุม ไปที่โต๊ะทำงาน แค่แวะคุยกับเพื่อนไม่ถึง 10 นาที กลับไปถึงโต๊ะ ไอ้ที่พึ่งจำมาจากห้องประชุม เราก็...

Post#335: มือเปรอะ ใจเปื้อน

Post#335: เวลาที่มือเราเปรอะ จะหยิบจะจับอะไรก็ไม่ถนัด ต่อให้ระวังเท่าไหร่ก็หลีกไม่พ้นที่จะทำให้สิ่งที่มือไปสัมผัสนั้น เปรอะเปื้อน ทางเดียวที่จะป้องกัน ก็คือต้องล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดซะก่อน และเช็ดมือให้แห้งสนิท คราวนี้จะจับอะไรก็ไม่เปรอะเปื้อนแล้ว เวลาที่ใจเปรอะ หรือโดนฉาบไปด้วยมิจฉาอารมณ์ใดๆ ก็เช่นกันครับ ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรในเวลาที่ใจเปื้อน ก็อย่าคาดหวังว่า ผลลัพธ์ของการคิดนั้นจะสะอาด เมื่อใจเปื้อนด้วยสีดำ จะคาดหวังให้เรื่องที่คิด มีแต่สีขาวย่อมไม่ได้ เผลอๆ จะออกมาเทาๆ หรือขาวหม่นๆ ด้วยซ้ำไป คราวนี้ เราถอดใจหรือแกะสมองมาล้างไม่ได้ด้วยสบู่ เมื่อทำความสะอาดได้ยาก การจะชำระล้างใจให้สะอาด ล้างสมองให้สดชื่น จึงจำเป็นต้องทำด้วย "การตกตะกอน" แทน ถ้ารู้ว่าใจกำลังว้าวุ่น สมองกำลังวุ่นวาย ก็จงสงบนิ่ง สงบนิ่งในที่นี้ ไม่ใช่ให้หยุดเคลื่อนไหว หากแต่ต้องใช้สติเป็นตัวจับจิตที่แส่ส่ายให้มานั่งเฉยๆ เมื่อจิตนิ่ง จึงมีโอกาสให้มิจฉาอารมณ์นั้นตกตะกอนได้ เมื่อตกตะกอน จิตจึงมีความสะอาด และส่งผลให้สมองโล่งพอที่จะคิดเรื่องใหม่ๆ โดยไม่มีมิจฉาอารมณ์มาเปื้อน อย่าคิดหรือตัดสินใจด้วยอาร...

Post#334: เสมอทั้งปีทั้งชาติ

Post#334: อีกไม่นาน ฟุตบอล English Premier League ก็จะเริ่มต้นขึ้น ฤดูกาลนี้ ผมจะมีทีมรักเชียร์ถึง 2 ทีม คือ Manchester United และ Leicester City ยกเว้นถ้ามาเจอกันเอง ผมก็จะอยู่กับทีมจิ้งจอกแห่งสยาม (อิอิ) ฟุตบอลลีคโดยทั่วไป มี 20 ทีม เตะแบบเหย้า-เยือน มีระบบให้คะแนน คือ ชนะได้ 3 แต้ม, เสมอได้ 1 แต้ม และแพ้ได้ 0 แต้ม ซึ่งยังไม่มีทีมไหนทำสถิติชนะรวด 38 นัด และยังไม่มีทีมใดแพ้รวด 38 นัด, ทีมที่ได้คะแนนน้อยที่สุด 3 อันดับท้าย จะตกชั้นไปเล่นลีคระดับล่างลงไป (สำหรับท่านที่ไม่รู้เรื่องฟุตบอล จะได้เข้าใจนะครับ เพราะจะเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะชวนคุยต่อไป) แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากแพ้ และส่วนมากจะบอกว่า เสมอก็ยังดี...แล้วเสมอทุกนัดล่ะ จะดีมั๊ย ไม่ต้องเสี่ยงไง อย่างน้อยก็ไม่แพ้ล่ะนะ -"- สมมติว่าเตะครบ 38 นัด ลองยกตัวอย่างเป็น Scenario ก็จะได้เป็น - แบบที่ 1 ชนะ 13 นัด (33%) แพ้ 13 นัด (33%) เสมอ 12 นัด (33%) จะได้คะแนนรวม 51 แต้ม - แบบที่ 2 ชนะ 13 นัด (33%) แพ้ 25 นัด (64%) เสมอ 0 นัด คะแนนรวม 39 แต้ม - แบบที่ 3 ชนะ 0 นัด แพ้ 0 นัด เสมอ 38 นัด (100%) คะแนนรวม 38 แต้ม ...

Post#333: 5 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง ดูได้จาก 5 ปีที่ผ่านมา

Post#333: ถ้าถามว่า พอจะมองภาพในอนาคตของตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าออกมั๊ยครับ ว่าเราจะเป็นยังไง, ทำงานอะไร, ตำแหน่งไหน, เงินเดือนเท่าไหร่? อะไรนะครับ นานไป มองไม่ออก...อืมม งั้นเอาเป็น 5 ปีข้างหน้าแทนละกันครับ ให้เวลาคิด 5 นาทีนะครับ ใครที่ไม่เคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้มาก่อน ยิ่งต้องคิดแบบจริงจังเลยครับ ... เช่นเคย คำตอบที่ได้ไม่มีถูกหรือผิด ผมเพียงแต่อยากให้ท่านได้คิด ได้ถามตัวเอง ประเด็นก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าเป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้า จะเป็นจริงได้รึเปล่า ก็จงมองย้อนกลับไปที่ 5 ปีที่ผ่านมา เทียบตัวเราวันนี้กับเมื่อ 5 ปีที่แล้วดูครับ เทียบแบบไม่ต้องโกหกตัวเองนะครับ ว่าเราดีขึ้นหรือแย่กว่าเดิม ถ้าตอบตัวเองได้ว่า ดีขึ้นหรือแย่ลง ถามตัวเองต่อไปครับ ว่าเพราะอะไรถึงดีขึ้น หรือเพราะอะไรถึงแย่ลง ถ้ารู้ว่า เพราะอะไร ก็พอจะนำเหตุนั้นมาปรับปรุง เพื่อให้เป้าอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นจริงขึ้นมาตามที่วาดหวังไว้ได้ ผมพบว่า หลายๆ คนตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าดีขึ้นหรือแย่ลง... ถามว่าทำไมถึงตอบไม่ได้หรือครับ? ก็เพราะเค้าไม่เคยตั้ง "เป้าชีวิต" นั่นเอง บางคนจึงย...