Skip to main content

Post#333: 5 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง ดูได้จาก 5 ปีที่ผ่านมา

Post#333:
ถ้าถามว่า พอจะมองภาพในอนาคตของตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าออกมั๊ยครับ ว่าเราจะเป็นยังไง, ทำงานอะไร, ตำแหน่งไหน, เงินเดือนเท่าไหร่?

อะไรนะครับ นานไป มองไม่ออก...อืมม งั้นเอาเป็น 5 ปีข้างหน้าแทนละกันครับ

ให้เวลาคิด 5 นาทีนะครับ ใครที่ไม่เคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้มาก่อน ยิ่งต้องคิดแบบจริงจังเลยครับ

...

เช่นเคย คำตอบที่ได้ไม่มีถูกหรือผิด ผมเพียงแต่อยากให้ท่านได้คิด ได้ถามตัวเอง

ประเด็นก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าเป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้า จะเป็นจริงได้รึเปล่า ก็จงมองย้อนกลับไปที่ 5 ปีที่ผ่านมา

เทียบตัวเราวันนี้กับเมื่อ 5 ปีที่แล้วดูครับ เทียบแบบไม่ต้องโกหกตัวเองนะครับ ว่าเราดีขึ้นหรือแย่กว่าเดิม

ถ้าตอบตัวเองได้ว่า ดีขึ้นหรือแย่ลง ถามตัวเองต่อไปครับ ว่าเพราะอะไรถึงดีขึ้น หรือเพราะอะไรถึงแย่ลง

ถ้ารู้ว่า เพราะอะไร ก็พอจะนำเหตุนั้นมาปรับปรุง เพื่อให้เป้าอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นจริงขึ้นมาตามที่วาดหวังไว้ได้

ผมพบว่า หลายๆ คนตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าดีขึ้นหรือแย่ลง...

ถามว่าทำไมถึงตอบไม่ได้หรือครับ?

ก็เพราะเค้าไม่เคยตั้ง "เป้าชีวิต" นั่นเอง บางคนจึงยังงงๆ อยู่เลย ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แล้วมาอยู่ยังจุดที่ยืนอยู่นี้ได้ยังไง?

ถ้าไม่อยากให้อีก 5 ปีข้างหน้า ต้องงงอยู่แบบนี้ ก็ต้องตั้งเป้าให้ชัด วางแผนว่าทำยังไงถึงจะบรรลุเป้าหมาย แล้วก็เริ่มลงมือทำ ประเมินเป็นระยะ ปรับแผนให้เหมาะสม

อยากรู้ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะเป็นยังไง ดูจาก 5 ปีที่ผ่านมาเถอะครับ ถ้าไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบครั้งใหญ่ ก็ไม่ต้องถามว่า อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะเป็นยังไง?

ก็เป็นอยู่อย่างนี้นะสิครับ -"-

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...