Skip to main content

Post#338: จิตสำนึกของการตรงต่อเวลา

Post#338:
ช่วง Long Weekend แบบนี้ กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองสวรรค์ ไปไหนมาไหนรถก็ไม่ติด เรียกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ได้ตลอด คนกรุงเทพฯ คงมีแต่รอยยิ้ม :)

แต่ในเมื่อความจริงนั้น ตรงกันข้าม การเดินทางในกรุงเทพฯ ติดอันดับ 1-2 ของโลก ในเรื่องรถติด ใบหน้าของคนกรุงเทพฯ จึงไม่ค่อยจะน่ามองนักในช่วงวันปกติ

บางคนก็น่าเห็นใจ เพราะงานที่เค้าชอบ หรือ office ที่เค้าทำงานอยู่ ผมต้องใช้คำว่า "อุตสาหะ" มาก กว่าจะมาถึงที่ทำงาน

แต่บางคนก็ใช้เรื่อง "รถติด" มาเป็นข้ออ้างของการมาทำงานไม่ทัน อย่างขาดความละอาย

เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่คนที่บ้านไกล มาทำงานแต่เช้า ในขณะที่คนที่บ้านอยู่ใกล้ๆ มาทำงานสาย

ผมว่าเรื่องแบบนี้ มันอยู่ที่ "จิตสำนึก"

บางคนที่ผมถาม ต้องเดินทางแบบยากลำบากมาก ขึ้นมอ'ไซ ต่อเรือ ต่อด้วย BRT แล้วนั่งสองแถว กว่าจะมาถึง office เรียกว่า ต้องออกจากบ้านพร้อมไก่ขัน

ทั้งนี้ เพื่อจุดประสงค์เดียว "เพื่อมาให้ทันเวลาเข้างาน"

แต่บางคน มีข้ออ้างสารพัด ทั้งเมื่อวานอยู่ office ดึก, เมื่อเช้าเกิดอุบัติเหตุ, รถเสีย, ปวดท้อง, ไมเกรน และสารพัดข้ออ้างที่ฟังดูก็รู้ว่า "มดเท็จ"

ถ้าเรื่องการมาทำงานให้ตรงเวลายังทำไม่ได้ ซ้ำร้ายไม่รู้จักรับผิดและปรับปรุงตัว ก็ไม่รู้ว่า จะมอบหมายเรื่องสำคัญกว่านี้ให้ทำได้ยังไง?

ตอนสมัครงาน ไม่เห็นมีใครบอกเลย ว่า ผม/หนู จะมาให้ทันเวลาเข้างานไม่ได้นะพี่ มีแต่บอกว่า บ้านไกลก็ไม่ต้องห่วงนะครับ/คะ ผม/หนู มาทันแน่ๆ หรือไม่ก็ บ้านผม/หนู อยู่ใกล้ๆ ครับ/ค่ะ มาทำงานทันแน่นอน

แต่เมื่อได้งานทำแล้ว กลับละเลยเรื่องเวลาเข้างาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรยึดมั่น เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานที่แสดงถึง ความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบในงาน

ส่วนพวกตำแหน่งสูงๆ ที่ไม่ต้องบันทึกเวลาเข้างานน่ะ อย่าเข้าใจผิดหรือสำคัญตัวผิดนะครับ

ที่บริษัทฯ ให้สิทธิ์คุณแบบนี้ เพราะบริษัทฯ ให้เกียรติคุณ และเชื่อมั่นว่าคุณจะมีความรับผิดชอบเพียงพอ โดยไม่ต้องมีกฎใดๆ มาควบคุม

แต่ที่เหนือกว่าการมีกฎมาควบคุมน่ะ การเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องๆ ดู น่าจะเป็นสิ่งที่คุณๆ ระดับสูง ควรใส่ใจให้มากกว่า

"จิตสำนึก" เป็นเรื่องที่ต้องสร้างขึ้นเอง ตามระดับของความรับผิดชอบที่มีของแต่ละคน ถ่ายทอดไม่ได้ สั่งสอนได้ยาก

คนที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของการมาทำงานให้ตรงเวลา จึงสมควรถูกตำหนิ

ส่วนคนที่รักเกียรติของตน มีสำนึกในหน้าที่ ขอได้รับการคารวะจากนายจ้างครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...