Skip to main content

Post#328: ของรัก vs คนรัก

Post#328:
เมื่อเช้านี้ มีเพื่อนคนหนึ่ง ส่งเรื่องนี้มาให้อ่าน ผมก็ไม่แน่ใจว่า ท่านอื่นๆ เห็นกันบ้างรึยัง ก็เลยขอนำมาแชร์ต่อครับ

อ่านจบแล้ว ผมรู้สึกได้ว่า คนเราทุกวันนี้ อาจต้องหันกลับมาเฝ้ามองจิตใจตัวเองให้มากขึ้น, มีสติให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้น บทเรียนที่ได้รับ อาจจบลงแบบเดียวกับเรื่องนี้ก็เป็นได้

วันนี้ Post จะยาวมาก แต่ผมขอให้ท่านอ่านให้จบ...เชื่อว่า ท่านจะได้ข้อคิดดีๆ จากเรื่องนี้ไปบ้าง...

ผมขออนุญาตใส่ชื่อเรื่องในตอนท้าย เพื่อไม่ให้เกิดการ spoiled ขึ้น ขออนุญาตเริ่มเรื่องเลยครับ...

While a man was polishing his new car, (ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังขัดล้างรถใหม่,)

his 6 years old son picked up a stone and scratched lines on the side of the car. (ลูกชายวัย 6 ขวบได้เอาก้อนหินมาขีดข้างรถของเขา)

In anger, the man took the child's hand and hit it many times; (ด้วยความโกรธ เขาจับมือลูกชายมาตีอย่างแรงไปหลายที;)

not realizing he was using a wrench. (โดยไม่ได้รู้สึกตัวว่า สิ่งที่เขาใช้ตีมือลูก ก็คือ ประแจขันน็อต)

At the hospital, the child lost all his fingers due to multiple fractures. (ที่โรงพยาบาล ลูกชายของเขาต้องสูญเสียนิ้วมือทั้งหมด เพราะกระดูกแตกละเอียด)

When the child saw his father... (เมื่อเด็กชายเจอพ่อ...)

with painful eyes he asked, (เจ้าเด็กน้อย ก็ถามพ่อด้วยสายตาอันเจ็บปวด,)

'Dad when will my fingers grow back?' ('พ่อครับ นิ้วผมจะงอกมาเหมือนเดิมเมื่อไหร่ครับ?')

The man was so hurt and speechless; (ชายคนนั้นเจ็บปวดมาก จนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้;)

he went back to his car and kicked it a lot of times. (เขากลับไปที่รถของเขา และเตะรถคันนั้นหลายต่อหลายครั้ง)

Devastated by his own actions...(เขาได้ทำลายมันด้วยตัวเขาเอง...)

sitting in front of that car, he looked at the scratches; (แล้วเขาก็นั่งอยู่หน้าซากรถ, มองที่รอยขีดข่วน;)

the child had written 'LOVE YOU DAD'. (ลูกชายเขาเขียนว่า 'ผมรักพ่อ')

The next day that man committed suicide... (วันรุ่งขึ้น ชายคนนั้น ก็ฆ่าตัวตาย...)

Anger and Love have no limits; (ความโกรธและความรักนั้น ไร้ซึ่งขีดสิ้นสุด;)

choose the latter to have a beautiful, lovely life...(ขอให้เราเลือกอย่างหลัง เพื่อให้เราอยู่อย่างงดงามและอบอวลไปด้วยความรัก)

Things are to be used and people are to be loved. (สิ่งของทั้งหลายมีไว้เพื่อถูกใช้งาน และคนมีไว้เพื่อเป็นที่รัก)

But the problem in today's world is that, (แต่ปัญหาของโลกในปัจุบันคือ)

People are used and things are loved... (คนถูกใช้งาน แต่สิ่งของกลับเป็นที่รัก)

In many years to come, let's be careful to keep this thought in mind: 
(ต่อจากนี้ไปอีกหลายๆ ปีข้างหน้า, ขอให้พวกเราตั้งใจจดจำไว้ว่า:)

Things are to be used, but People are to be loved. (สิ่งของทั้งหลายมีไว้เพื่อถูกใช้งาน แต่คนมีไว้เพื่อเป็นที่รัก)

...

เรื่องนี้ ชื่อว่า... Used vs Loved (ถูกใช้ vs. ถูกรัก) ครับ หวังว่า เราทุกคนที่ได้อ่านเรื่องนี้จบ คงตระหนักมากขึ้นว่า "ของที่เรารัก" ไม่ได้สำคัญกว่า "คนที่เรารัก"

สิ่งของแตกหักเสียหาย เราพอหาใหม่ได้ แต่คนที่เรารัก ถ้าทำให้ใจเค้าสลายไป เราจะเจ็บมากกว่าเป็นเท่าทวี

อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ ทำให้ความรักของคุณต้องสาบสูญไปตลอดกาล

เราถนอมข้าวของที่เรารักได้ แต่ควรถนอมน้ำใจคนที่เรารักให้มากกว่า...

ก่อนจบเรื่องนี้ เค้ามีต่อตอนท้ายครับ...

I'm glad a friend forwarded this to me as a reminder. (ฉันดีใจที่เพื่อนส่งบทความนี้มาช่วยเตือน)

If you don't pass this on nothing bad will happen; (ถ้าคุณไม่ส่งมันต่อ ก็ไม่ผิดอะไร;)

if you do, you might change someones' life. (แต่ถ้าส่งต่อ คุณอาจเปลี่ยนชีวิตใครบางคนไปตลอดกาล)

...

น่าเสียดายที่ไม่ทราบว่าต้นเรื่องมาจากไหน เลยไม่สามารถลง credit ไว้ได้ แต่ผมขอขอบคุณเจ้าของเรื่องไว้ ณ ที่นี้...

ที่ทำให้ผมได้ส่งต่อเรื่องดีๆ นี้ ให้กับทุกท่าน...รู้สึกดีเหลือเกินที่เพื่อนส่งเรื่องนี้มาให้...แต่รู้อะไรมั๊ยครับ

ผมรู้สึกดียิ่งกว่า...ที่ได้แชร์ต่อ...


ที่เหลือก็แล้วแต่ทุกท่านแล้วล่ะครับ...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...