Skip to main content

Post#329: เสียงแห่งครอบครัว

Post#329:
โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่น่าจะอยากตื่นนอนด้วยเสียงนกร้อง...ผมเองก็เช่นกันครับ ^^

คงเป็นการเริ่มต้นวันที่สวยงาม...ถ้าเราได้ตื่นด้วยเสียงนกร้องจริงๆ แต่โดยมาก เราตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกกันซะล่ะมากกว่า

ส่วนผม ระยะหลังๆ มานี้ ไม่ได้มีโอกาสตื่นเพราะเสียงนกร้องหรือเสียงนาฬิกาปลุกหรอกครับ...หากแต่ผมต้องตื่นด้วยเสียงทะเลาะกันจุ๊งจิ๊งๆ ของ 2 แม่-ลูก

แรกๆ ผมก็รำคาญใจนิดหน่อย เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมมีเรื่องทะเลาะกันได้ทุกเช้า...แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับพบว่า เสียงทะเลาะกันของพวกเค้า กลับเป็นเสียงที่ผมเรียกว่า "เสียงแห่งครอบครัว"

ผมไม่ได้ 'เว่อร์ แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ครับ

เรื่องที่แม่ลูกทะเลาะกันได้ทุกเช้า ก็หนีไม่พ้น เรื่องที่คุณแม่เร่งให้คุณลูกทำอะไรเร็วๆ ส่วนคุณลูกก็ดูจะมีความสุขที่ได้ยั่วโทสะคุณแม่เล็กๆ 

เรื่องที่ทะเลาะกัน ก็เป็น Happy Argument ล่ะครับ เช่น จะใส่เสื้อตัวไหน, จะใส่กางเกงตัวไหน, ทำไมต้องให้แม่บ่นทุกวัน, ฯลฯ เป็นอยู่อย่างนี้ ทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่รู้อะไรมั๊ยครับ...นี่แหละเป็นสิ่งพิสูจน์แบบจับต้องได้ชัดเจน...ว่าผมยังมีครอบครัวอยู่...เสียงและบรรยากาศแบบนี้ ผมว่านี่แหละ ตัวจริงของครอบครัว

ผมไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าเสียงนี้เปลี่ยนจากที่สร้างความรำคาญ กลายเป็นการสร้างความหมายให้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกที ผมก็พบว่า เสียงนี้กลายเป็น เสียงที่แบ่งแยกความฝันกับความจริง สำหรับผม ไปซะแล้ว

เป็นเสียงที่กระตุ้นเตือนว่า "ตื่นเถอะ ถึงเวลาที่ต้องออกไปต่อสู้เพื่อครอบครัวแล้ว"

ผมรู้สึกขอบคุณเสียงนี้ ทุกครั้งที่ผมนึกถึง เพราะมันเป็นเสียงที่ผลักดันให้ผมไม่หยุดต่อสู้ ไม่อยู่เฉยๆ และเป็นเสียงที่เตือนผมว่า ผมมีชีวิตไปเพื่ออะไร

เมื่อเป้าหมายชีวิตของผมชัดเจน รู้ว่าต้องตื่นนอนไปเพื่ออะไร เหนื่อยยากไปเพื่อใคร ผมจึงมีพลังผลักดันที่เหลือเฟือ และมีถังพลังงานที่เต็มเปี่ยมอยู่เสมอ

เมื่อไหร่ที่ผมเหนื่อยและท้อ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเค้า รวมไปถึงพ่อ, แม่ และพี่น้องของผม ก็จะทำให้ผมฮึดสู้และไม่ยอมแพ้ แม้จะมีท้อบ้าง...แต่ไม่เคยถอย

ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ก็มีแรงผลักดันไม่ต่างไปจากที่ผมมี และผมเชื่อว่า สิ่งที่ผมรู้สึกก็ไม่ได้ต่างจากทุกๆ คน


การได้ต่อสู้เพื่อรอยยิ้มของคนที่เรารัก มีค่าเสมอ จริงมั๊ยครับ?

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...