Skip to main content

Posts

Showing posts from September, 2015

Post#3-23: The future in your palm...

Post#3-23: ค่ำนี้ผมมีนัดทานข้าวกับ Partner ชาวฝรั่งเศส ระหว่างทานข้าวก็คุยกันไป ทั้งเรื่องงานแล้วก็เรื่องส่วนตัว สัพเพเหระ กระเซ้าเย้าแหย่กันไปเรื่อยเปื่อย ตอนหนึ่งของการพูดคุย เค้าถามผมถึงเรื่องสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย...และแน่นอนว่า เค้าถามถึงผลกระทบที่จะมีต่อธุรกิจของเราทั้งคู่ ... ผมเองไม่ใช่ Guru ทางเศรษฐกิจ ผมจึงได้แต่แชร์ข้อมูลเท่าที่ผมทราบให้กับ Partner ของผมฟัง และทบทวนแผนงานที่คุยกันไว้ที่สิงคโปร์ให้เค้าทราบอีกครั้ง แม้เค้าจะดูเป็นกังวล แต่ก็มีท่าทีเข้าใจมากขึ้น ว่าคนในองค์กรจะต้องทำอย่างไร ปรับเปลี่ยนตรงไหน และจะต้องเน้นจุดใดเป็นพิเศษ ...และทางเดียวที่เราจะคาดการณ์อนาคตขององค์กรให้ได้อย่างแม่นยำที่สุดนั้น หาใช่ด้วยการปล่อยให้เรือ (องค์กร) มันลอยไปตามสายน้ำแห่งชะตากรรมไม่... หากแต่เราต้องกำหนดเส้นทางเดินเรือให้ชัดเจน พยายามวางทิศทางการเดินเรือ ไปพร้อมๆ กับศึกษาคลื่นลมและกระแสคลื่น บวกกับการอ่านร่องน้ำเพื่อดูตำแหน่งหินโสโครก ยิ่งกว่านั้น ทุกคนบนเรือยิ่งต้องร่วมแรงร่วมใจ และไม่สามารถประมาทหรือหละหลวมได้แม้เสี้ยวกระพริบตา ... ระหว่างที่ผมคุยกับ Partner อยู่น...

Post#3-22: อิฐ 2 ก้อน

Post#3-22: บ่อยครั้งในชีวิต...ที่เราอาจทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง...บ้างเป็นเรื่องเล็ก และบ้างก็เป็นเรื่องใหญ่ หลายๆ ครั้งที่เรามักจมจ่อมอยู่กับความผิดพลาดนั้น จนทำให้ชีวิตของเราไม่อาจก้าวไปไหน...เฝ้าแต่คิดวกวนวุ่นวายอยู่กับอดีตที่ผิดพลาด อย่ากระนั้นเลยครับ...มาลองอ่านเรื่องนี้ดูดีกว่า ... เรื่องนี้ มีชื่อว่า อิฐ 2 ก้อน กับมุมมองที่เปลี่ยนไป... พระอาจารย์ปีเตอร์ พรหมวังโส หรือพระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกศิษฐ์หลวงปู่ชา สุภัทโธ ก่อนจะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ที่ออสเตรเลีย เมื่อปี 2526 พระอาจารย์พรหมฯ เล่าว่า... หลังจากซื้อที่ดินแล้วเงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง ตั้งแต่ผสมปูนจนถึงการก่อกำแพงอิฐ... ท่านเล่าว่า.. ตอนที่ลงมือทำ ก็รู้สึกว่าได้ทำอย่างประณีตที่สุด จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง...แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่า ก่ออิฐพลาดไป 2 ก้อน! อิฐกำแพงเรียงเรียบสวย แต่มีอยู่ 2 ก้อนที่เอียงๆ พระอาจารย์พรหมฯ ขอเจ้าอาวาส ทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่ แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม... จากนั้นเป็นต้นมา...ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมฯ พาแขกเยี่ยมวัด ท่านจะพยายามหลีกเ...

Post#3-21: จอม Project

Post#3-21: บ่ายวันนี้ผมมีโอกาสดีได้ปรึกษางานกับเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากท่านหนึ่ง (สมมติว่า ชื่อ พี่ K ก็แล้วกันนะครับ) ความจริงผมเคยเล่าถึงพี่ K ไว้นานแล้ว (Post#2-74) ถึงความเมตตาและกรุณาที่พี่ K มีให้ผมอยู่เสมอ และจนวันนี้ พี่ K ก็ยังให้ความรักผมเหมือนเดิม ตอนหนึ่งของการปรึกษางานกัน พี่ K แสดงความเป็นห่วงผมค่อนข้างมาก ว่าทำหลายงานมากไปรึเปล่า? ... ว่าอันที่จริง พี่ K ก็ไม่ใช่คนแรกที่เป็นห่วงผม เหตุเพราะผู้ที่ทำธุรกิจมานาน ย่อมรู้ดีว่า การทำอะไรที่ไม่ค่อย focus ไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักจะส่งผลให้ productivity ไม่ดีเท่าที่ควร ผมเองก็ใช่ว่าจะไม่เชื่อ แต่บางครั้งโอกาสที่เข้ามาแล้วมันตรงกับ passion ของเราเอง ก็ใช่ว่าจะมีบ่อยๆ...ลงท้ายเลยกลายเป็นต้องทำมากกว่าหนึ่งงานไปอย่างช่วยไม่ได้ หลายๆ คนก็คงเจอสถานการณ์คล้ายๆ ผมอยู่เหมือนกัน...และต่างคนต่างก็มีวิธีรับมือกับงานหลายๆ อย่างพร้อมกันที่ว่า ที่ต่างกันออกไป ... สำหรับผมแล้ว ส่วนผสมของการที่จะกำหนดได้ว่า เราทำงานหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ได้มากแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับ passion + span of control ถ้าไม่มี passion ในงานทึ่จะทำ ก็ถ...

Post#3-20: ถูกต้อง+ข้องเกี่ยว

Post#3-20: เราเริ่มต้น Post ด้วยโจทย์ง่ายๆ ให้คำนวณกันนิดหน่อยนะครับ ถ้า 100 เพนนี เท่ากับ 1 ดอลล่าร์ / 1 ดอลล่าร์ เท่ากับ 36 บาท / 1 บาท เท่ากับ 33 วอน... ถามว่า 267,000 เพนนี เท่ากับกี่ดอลล่าร์? ให้เวลาคิด 10 วินาทีครับ ^^ ... คำตอบนั้นง่ายเหลือเกิน จนไม่จำเป็นต้องเฉลย... แต่แน่นอนว่า คำถามที่ยังค้างอยู่ในใจของเรา ก็คือ แล้วเงินบาทกับเงินวอน มาเกี่ยวอะไรด้วย? ว่าแล้ว ก็ช่วยผมคิดหน่อยสิครับ ว่าตกลงแล้วเงินบาทกับเงินวอน มาเกี่ยวอะไรล่ะ? ... หลายคนคงฟันธงตอบได้ทันที ว่าทั้งเงินบาทกับเงินวอนนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการคำนวณเลย... ในชีวิตจริงของเรา ไม่ว่าจะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตาม ล้วนมีข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมาชวนให้เราหลงประเด็นหรือไขว้เขวได้ตลอดเวลา ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เราเข้าถึงข้อมูลปริมาณมหาศาลได้ง่ายๆ ได้ด้วยปลายนิ้ว ด้วยแล้ว เรายิ่งต้องคำนึงถึงความถูกต้องและแหล่งที่มาของข้อมูลมากเป็นพิเศษ อย่าไปหลงกับข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่ถูกต้องเสียล่ะครับ ^^

Post#3-19: Clear Rejection vs Fake Promise

Post#3-19: อันว่าชีวิตของคนเรานั้น มักจะต้องมีอันต้องถูกหลอกลวงให้เจ็บใจหรือเจ็บช้ำกันมาบ้าง อิอิ Post วันนี้ เริ่มต้นเหมือนคนอกหักเลย ว่ามั๊ยครับ ^^ แต่จะว่าไปแล้ว ไอ้ความหลอกลวงนี่ ก็ไม่ใช่กับแค่เรื่องความรักหรอกนะครับ กับเรื่องธุรกิจหรือเรื่องในชีวิตประจำวัน เราต่างก็พบเจอ ... บางครั้ง เราเอง ก็ไม่ได้อยากจะหลอกลวงหรือทำให้ใครเข้าใจผิด แต่ด้วยความเกรงใจหรือกลัวว่าเมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริงแล้วจะเสียใจ เช่น มีคู่ค้าเสนอราคามาหลายราย เราเลือกได้แล้ว แต่ไม่กล้าจะบอกรายที่ไม่ได้งาน พอเค้าโทรมาก็บอกให้เค้ารอไปก่อน...เค้าจะโทรมากี่ที ก็บอกเค้าแบบนี้ทุกที แบบนี้ เสียเวลาทั้งเค้าและเรา และยิ่งเค้ามารู้ทีหลัง เค้าจะยิ่งเสียใจบวกกับเจ็บใจเพิ่มขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่า ...แม้จะไม่เจ็บเท่ากับตอนที่รู้ว่า ผู้ชายที่เราชอบ หรือผู้หญิงที่เราจีบ เพิ่งจะตกลงคบเป็นแฟนกับคู่แข่งของเรา แต่รับรองได้ว่า ความรู้สึกจะประมาณเดียวกันเลยครับ ^^ ... แม้ว่าบางครั้งการรู้ความจริงจะทำให้เสียใจ...แต่รับรองได้ว่า ยังไงก็ดีกว่าปล่อยให้อะไรๆ มันไม่ชัดเจนแน่ๆ ครับ คงเหมือนกับที่เค้าว่าไว้..."A Clear ...

Post#3-18: Laugh&Live

Post#3-18: มากครั้งเหลือเกิน ที่ชีวิตของเราต้องมีอันไปปะทะกับความไม่แฮบปี้ต่างๆ นานา บ้างก็เป็นเรื่องเล็กๆ และบ้างก็เป็นเรื่องใหญ่ขนาดคอขาดบาดตาย...ขึ้นอยู่กับเหตุ-ปัจจัยของแต่ละคน ว่าเรื่องไหนถือเป็นเล็กหรือเรื่องไหนถือเป็นเรื่องใหญ่ บางเรื่องสำหรับเราถือเป็นเรื่องกระจอกง่อกง่อย แต่เรื่องเดียวกันนี้ สำหรับบางคนถือเป็นเรื่องระดับชาติเลยก็ว่าได้ ... ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตสำหรับเรา...ก็คงต้องปล่อยๆ มันไปบ้างล่ะครับ เพราะถ้ามัวแต่ถือแต่แบกไปเสียทุกเรื่อง เราอาจจะเป็นบ้าไปก่อน เคยมั๊ยครับ ที่บางครั้งเรารู้สึกไม่แฮบปี้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าปล่อยๆ ไปบ้าง ก็จบแล้วแท้ๆ...แต่เพราะด้วยความที่เราไม่ปล่อยวางนั่นเอง จึงทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ว่า กลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ ข่าวฆ่ากันตายที่เราเห็นๆ กันบนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ นั้น บ่อยครั้งที่เกิดจากสาเหตุที่ไม่น่าจะนำมาถือสาหาความกันด้วยซ้ำไป...เหตุก็เพราะ ความไม่รู้จักปล่อยวาง แท้ๆ ... ผมเองก็รู้สึกว่า สังคมเรามันก็อยู่ยากขึ้นทุกที...เดินๆ ไป อยู่ดีๆ ไม่รู้ว่า เราจะไปหายใจผิดจังหวะให้ใครโกรธเอาบ้างมั๊ยหนอ? เอาเป...

Post#3-17: The pain that changed you...

Post#3-17: ก็คงใช่ที่ไม่มีใครอยากเจ็บปวด...ไม่ว่าจะเป็นเจ็บปวดกายหรือเจ็บปวดใจก็แล้วแต่ แต่ก็ใช่ว่าความเจ็บปวดจะไม่มีข้อดีเสียทีเดียวนะครับ... อย่างน้อยความเจ็บปวดก็ช่วยให้ความสุขมีคุณค่ามากขึ้น ... แน่นอนว่า ฝรั่งเองก็มีคำกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เช่นกันครับ เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ... "There are two types of pains, one that hurts you and the other that changes you." แปลว่า "ความเจ็บปวดนั้น มีอยู่สองแบบ, แบบแรกเป็นแบบที่ทำร้ายเรา และอีกแบบเป็นแบบที่เปลี่ยนแปลงเรา" ... เราอาจเลี่ยงความเจ็บปวดที่จะมากระทบเราไม่ได้...เพราะมันอาจจะเป็นชะตากรรม หากแต่หลังจากโดนความเจ็บปวดมาเล่นงานแล้ว...เราเลือกชีวิตของเราได้แน่นอนครับ ...ว่า เราจะจมอยู่กับความเจ็บปวดนั้น หรือเลือกที่จะเรียนรู้มัน และนำมาเป็นแรงผลักดันให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเราให้ดีขึ้น แม้เราจะเปลี่ยนอดีตอันบอบช้ำไม่ได้...แต่ผมเชื่อมั่นว่า เราเลือกที่จะกำหนดอนาคตที่มีความสุขได้ด้วยตัวเราครับ

Post#3-16: มันก็ไม่เคยสายเกินไป...

Post#3-16: ผมเคยอ่านเจอที่ใครบางคนเคยว่าไว้ ว่าชีวิตคนเราเริ่มต้นเมื่ออายุ 40... แม้ว่าส่วนตัวแล้ว ผมจะไม่ได้เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ 100% แต่ก็ยอมรับว่า แม้ว่าจะอายุมากขึ้นๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะหมดโอกาสที่จะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ เชื่อว่า หลายๆ คนคงทราบว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจำนวนมาก ก็เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองเมื่ออายุไม่น้อยแล้วเช่นกัน ... Joyce Meyer (นักเขียนและนักพูดชาวอเมริกัน) เอง ก็เชื่อมั่นว่า in "It's never too late for a new beginning in your life." แปลว่า "มันไม่เคยสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของชีวิต" ตรงนี้ผมอยากให้อ่านและตีความให้ดีๆ ครับ เพราะ Joyce ไม่ได้หมายความให้เราเลิกล้มอะไรง่ายๆ แล้วเริ่มต้นใหม่อยู่เรื่อยๆ แน่ๆ ผมเชื่อว่า Joyce หมายถึง กรณีที่เราตั้งใจทำงานหรือตั้งเป้าหมายกับอะไรสักอย่าง แต่ปรากฏว่า มันล้มเหลว...เราก็ไม่ควรทดท้อหรือทอดอาลัยกับความล้มเหลวนั้น เราอาจเสียใจกับมัน แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับ...ทบทวน...ปรับปรุง...และแน่นอนว่า เราต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ... การล้มเลิกกลางคันหรือยอมแพ้ก...

Post#3-15: The doers said...

Post#3-15: หลายๆ คนคงเคยเจอพวก "มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ" และพวก "มีปากก็สักแต่ว่าพูด" มาไม่น้อย... เวลาเจอคนพวกนี้ เรามีแต่ต้องทำใจให้หนักแน่นเข้าไว้ครับ พวกเค้าจะพูดอะไรบั่นทอนให้เราเสียกำลังใจ ก็พยายามอย่าใส่ใจให้มากจนเกินไปนัก...ปล่อยให้เสียงจุ๊กจิ๊กกวนใจเหล่านี้ เข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาไปเสียบ้าง สู้เอาเวลาที่มานั่งเสียใจกับเสียงฉุดรั้งความก้าวหน้าเหล่านี้ ไปลงมือทำความฝันของเราให้สำเร็จจะดีกว่า ... อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอให้พึงระวังในการแยกแยะให้ดีนะครับ ว่าเสียงที่มาจากรอบข้างนะ เป็น "เสียงเตือนด้วยความห่วงใย" หรือว่าเป็น "เสียงฉุดรั้งความก้าวหน้า" กันแน่ ผมว่า เราน่าจะพอแยกแยะได้ ว่าการมาเตือนด้วยความหวังดี กับการมายียวนปั่นป่วนความฝันนั้นน่ะ มันต่างกันยังไง ถ้าเป็นเสียงแบบแรก...อย่ามัวแต่เอา ego ของเรามาเป็นตัวตั้งล่ะครับ ลองเปิดหู เปิดตา และเปิดใจ ฟังบ้าง เผื่อว่าจะนำมาขัดเกลาความฝันของเราให้ชัดเจนมากขึ้นได้ ส่วนถ้าเป็นเสียงแบบหลังล่ะก็...อย่าไปบังคับให้พวกเค้าปิดปาก หรืออย่าไปมัวเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงอยู่เลยครับ ... มีวาท...

Post#3-14: รับผิดชอบด้วยการ "ลาออก"

Post#3-14: เคยได้ยินประโยคเท่ๆ ว่า "เอาเถอะน่า...เรื่องนี้ผม (ฉัน) รับผิดชอบเอง" กันบ้างมั๊ยครับ? ถามต่อว่า เวลาได้ยินแล้ว เรารู้สึกต่อคำพูดนี้กันยังไงบ้างเอ่ย? ส่วนตัวผมเอง บอกได้เลยว่า เวลาได้ยินลูกน้องพูดประโยคแบบนี้ทีไร...ผมไม่เคยสบายใจเลยครับ ... ผมออกตัวก่อนนะครับ ว่านี่เป็นการวิเคราะห์โดยตรรกะและกรอบประสบการณ์ของผมเท่านั้น ซึ่งก็สุดแล้วแต่ หากว่าท่านอื่นจะมีมุมมองที่ต่างออกไป และผมจะยินดีมากๆ ครับ หากจะมีท่านใดแชร์ให้ผมฟัง (อ่าน) บ้าง เวลาได้ยินประโยคนี้จากลูกน้อง ผมจะกังวลมาก เพราะประโยคนี้มักมาตามหลังสถานการณ์ที่ผู้พูดไม่สามารถอธิบายหรือโน้มน้าวให้ผมหรือทีมงานเชื่อมั่นในวิธีคิดและตรรกะของเค้าได้ ซึ่งมันอาจเพราะสถานการณ์มันซับซ้อนและยืดยาว ยากจะอธิบาย หรือเป็นการตัดสินใจที่รีบมากๆ ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่ประโยคนี้ เน้นไปทาง Emotional มากกว่า Rational ซึ่งสารภาพว่า ผมไม่ค่อยชอบมากนัก หากว่ามันเป็นเรื่องที่กระทบกับระดับที่เหนือกว่าที่ผู้พูดจะรับผิดชอบได้ไหว ... สำหรับผมแล้ว เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีแสดงความรับผิดชอบที่ดูแล้วเท่ (แต...

Post#3-13: Different question paper...

Post#3-13: สวัสดีค่ำวันอาทิตย์ครับ ^^ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เราคุยกันถึงเรื่องการเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญให้มากๆ วันนั้นเราคุยกันที่ผลลัพธ์ หรือปลายทาง แต่วันนี้ผมอยากชวนคุยในเรื่องของเหตุ หรือต้นทาง ทำไมเราจึงไม่ควรใช้ชีวิตแบบที่เรียกว่า "copy" หรือ "ลอกแบบ" คนอื่น? ลองใช้เวลาคิดหาเหตุผลในแบบของตัวเองดูมั๊ยครับ...ผมให้เวลาเต็มที่เลยครับ ... คำตอบของทุกคนไม่จำเป็นต้องเหมือนผม เพราะเหตุและปัจจัยของเราไม่เหมือนกัน...เราอาจตอบคล้ายกันหรือต่างกันได้ทั้งสิ้น...ไม่มีถูกหรือผิด ที่สำคัญน่ะอยู่ที่ว่า เหตุผลของแต่ละคนมีตรรกะรองรับหรือไม่เท่านั้น สำหรับคำตอบที่ผมจะแชร์นั้น...ผมก็ไม่ได้คิดเอง แต่เห็นว่าเข้าท่าดี ก็เลยขอนำมาแชร์ต่อดังนี้ครับ "Life is the most difficult exam. Many people fail because they try to copy others, not realizing that everyone has a different question paper!" แปลว่า "ชีวิตนั้นคือข้อสอบที่ยากที่สุด หลายต่อหลายคนล้มเหลวเพราะพวกเค้าพยายามที่จะลอกเลียนคนอื่น, โดยที่ไม่ทันได้ฉุกใจคิด...

Post#3-12: ความผิดหวังเจ้าเอ๋ย...ข้าไม่ยินดีเป็นเพื่อนเจ้า

Post#3-12: โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีความเชื่อว่า คนเรานั้น เกิดมาต้องพบกับความผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้... เปล่าครับ ผมไม่ได้มาชวนให้เรามองโลกในแง่ร้าย หรือไม่ได้จะมาบอกให้เราปลงชีวิต ตรงกันข้าม...ผมกำลังจะบอกว่า เราจำเป็นจะต้องทำใจยอมรับและทำความเข้าใจกับ "เจ้าความผิดหวัง" ให้มากขึ้นต่างหาก ... อันว่า "ความผิดหวัง" นี้ ถือเป็น subset ของ "ความทุกข์" และเจ้าความผิดหวังนี้ ก็มักจะมาปรากฏตัวในหัวใจของเราได้บ่อยๆ โดยไม่ใส่ใจกับช่วงอายุของเราเลย เรียกว่าอายุเท่าไหร่ มันก็จะมาขอเป็นเพื่อนกับเราอยู่เสมอ เมื่อใดที่เราไม่ได้อย่างใจนึก ไม่ได้อย่างที่คำนวณ ไม่สมกับความคาดหวัง ก็เป็นอันรู้กันว่าเจ้าความผิดหวังนั้น กำลังตบไหล่ทักทายเราอยู่ ที่น่ากลัวก็คือ ถ้าเรามัวแต่ปล่อยให้ใจเราจมอยู่กับความโศกเศร้าเพราะความผิดหวังที่ว่า เจ้าตัวนี้ มันก็จะได้ใจและเดินเอามือจับไหล่ติดสอยห้อยตามเราไปอยู่อย่างนั้น ทำตัวเป็นเพื่อนสนิทของเรา โดยไม่ยอมจากไปไหน เมื่อใจเราเศร้าหมอง สมองก็ไม่เปิด และแล้วก็จะก่อให้เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ให้เราทำผิดคิดพลาดอยู่ร่ำไป จนเ...

Post#3-11: Be original

Post#3-11: มันอาจจะเป็นเรื่องสามัญสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ ที่ชอบเลียนแบบ Idol ของตัวเอง แต่สำหรับคนรุ่นผม เรากลับชอบความเป็นปัจเจก หรือ Unique มากกว่า ความจริงมันไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ ที่จะหาต้นแบบเป็นแรงบันดาลใจ แต่ก็ต้องบอกว่ามันอาจจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่เราจะเอาแต่เลียนแบบจนสูญเสียตัวตนของเราไป ว่าอันที่จริง ผมก็นึกไม่ออกว่าทำไมเราต้องทำตัวให้เหมือนคนอื่น ทั้งที่เป็นตัวของเราเองนั้นน่าจะทำให้มีความสุขมากกว่าเยอะ ... ฝรั่งเองนั้น เน้นความเป็นปัจเจกมากจนน่ากลัว มากจนหลายๆ ครั้ง กลายเป็นการเห็นแก่ตัวในมุมมองของคนเอเซีย แต่กระนั้นฝรั่งเองก็มีส่วนถูกในการสอนให้ผู้คนให้ความเคารพกับตัวเองว่า "Be yourself because the original is worth more than a copy" แปลว่า "จงเป็นตัวของตัวเอง เพราะต้นฉบับนั้นมีค่ามากกว่าตัว Copy" สารภาพว่า ผมเองออกจะเห็นด้วยมากๆ เลยครับ ว่ามันจะมีค่าอันใด หากมีใครมาชมว่า เราเหมือนคนนั้นจัง เหมือนคนนี้จริง ... รู้บ้างมั๊ยครับว่า มีคนกี่ร้อยล้านคนบนโลก ที่โหยหาการเป็นตัวของตัวเองอย่างที่สุด? ผมเองก็เชื่อตามนั้น ว่าการเป็นคนธรรมดาที่ไ...

Post#3-10: Live TV สอนอะไร?

Post#3-10: ผมตื่นแต่เช้าวันนี้ เพราะต้องไปร่วมทำงานกับลูกน้อง ในการเชิญ Ms.Natalee Glebova หนึ่งใน Celebrity ของเราไปออกรายการ TV Shopping แบบออกอากาศสด (หรือ Live TV) อ่านไม่ผิดหรอกครับ, เป็นการออกอากาศสดจริงๆ ซึ่งผมสารภาพว่า ไม่เคยทราบมาก่อนว่าเดี๋ยวนี้ วงการ TV Shopping เค้าไปถึงขนาดนี้แล้ว โดยปกติแล้ว TV Shopping มักจะเป็นการถ่ายทำล่วงหน้า ด้วยเหตุผลของการต้องทำให้มันดูสมบูรณ์แบบ และต้องมีการตัดต่อหรือ Insert ภาพต่างๆ มากมาย ดังนั้น ประสบการณ์ที่ได้ไปร่วมดู Live TV Shopping  วันนี้สำหรับผม จึงเป็นอะไรที่ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่จริงๆ ... ก่อนถ่ายทำ เราก็ต้องมีการซ้อมคิวกันก่อน ซึ่งเรามีคนเข้าฉาก มากถึง 4 คน จึงต้องมีการแบ่งหน้าที่กันให้ดี ว่าใครพูดส่วนไหน ยังไง เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้เข้าใจว่า Scope ของการถ่ายทำจะอยู่ประมาณไหน เมื่อเริ่มถ่ายทำ ทั้งตัวคุณนาตาลีเอง, ตัวผู้ดำเนินรายการ, ล่าม และรวมไปถึง Brand Manager ของบริษัทฯ ต่างต้อง concentrate ในสิ่งที่ตัวเองและคนอื่นใน Frame กำลังสื่อสารกับผู้ชม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าที่เรากำลังนำเสนอ เป็นสินค้าที่ยากจะอธิบาย...

Post#3-9: Smile!

Post#3-9: หลายๆ คนเมื่อเจอความทุกข์หนักๆ ถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน ก็มักจะเก็บตัวเงียบไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร บางครั้งการปล่อยให้น้ำตาไหลก็ดีอยู่เหมือนกัน จะได้ชะล้างตะกอนแห่งความเศร้าที่นอนก้นอยู่ข้างใน ให้มันละลายไหลออกมาบ้าง แต่ก็มีอีกวิธีหนึ่ง ที่นับว่าได้ผลไม่น้อย ในยามที่เราต้องเจอความทุกข์ก้อนเล็กๆ มากระทบ...นั่นก็คือ การยิ้มสู้กับมัน ... จะว่าเป็นเรื่องแปลกก็ใช่อยู่เหมือนกันครับ ตรงที่ว่าข้างในใจของเราจะไม่สามารถจมอยู่ในความทุกข์ได้...ใน ทันทีที่เราฉีกยิ้ม ผมหมายถึง เราต้องฉีกยิ้มกว้างๆ อย่างเต็มที่นะครับ ส่วนการอมยิ้มหรือยิ้มกร่อยๆ นั้น ไม่นับครับ...และอย่างที่บอกครับ ฉีกยิ้มได้ปุ๊บ...ไอ้ความรู้สึกหนักๆ ที่อยู่ในใจก็ดูเหมือนจะหายไปชั่วขณะปั๊บ ^^ ฝรั่งเองก็มีวาทะเตือนใจให้เรารู้ว่า การยิ้มสู้กับปัญหานั้น สำคัญไฉน...เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ "Let your smile change the world. Don't let the world change your smile." แปลว่า "จงให้รอยยิ้มของคุณเปลี่ยนแปลงโลก แต่จงอย่าปล่อยให้โลกมาทำให้รอยยิ้มของคุณเปลี่ยนแปลงไป" ... อ่านจบแล้ว เข...

Post#3-8: มันอาจจะดีก็ได้ / มันอาจจะร้ายก็ได้

Post#3-8: ไม่ได้เล่านิทานนานแล้ว บังเอิญไปค้นเจอเรื่องนี้ในคลังข้อมูลของผม เลยถือโอกาสมาเล่าต่อนะครับ... กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...มีอาแปะคนหนึ่ง เลี้ยงม้าตัวเมียไว้ตัวหนึ่ง อาชีพของแกคือ นำม้าตัวเมียไปจ้างผสมพันธุ์ และเมื่อได้ลูกม้า แกก็จะนำลูกม้าไปขาย อยู่ต่อมาวันหนึ่ง จู่ๆ ม้าตัวเมียนั้นก็ได้หายออกไปจากบ้าน ชาวบ้านผู้มีน้ำใจได้มาแสดงความเสียใจกับอาแปะกันมากมาย เพราะอาแปะเป็นคนดีเป็นที่รักของทุกๆ คน อาแปะได้ แสดงความขอบคุณและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “มันอาจจะดีก็ได้" ต่อมาอีก 2-3 วัน ม้าตัวนั้น ก็ได้กลับมาพร้อมกับม้าตัวผู้ 1 ตัว ชาวบ้านรู้ข่าวต่างก็มาแสดงความยินดีกับอาแปะ เพราะต่อไปนี้อาแปะแค่นั่งจิบน้ำชา ก็มีลูกม้าขาย ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างเขาผสมพันธุ์ อาแปะแสดงความขอบคุณต่อเพื่อนบ้าน และกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า "มันอาจจะร้ายก็ได้" ต่อมาไม่นาน ลูกชายคนเดียวของอาแปะได้กระโดดขึ้นขี่หลังม้าตัวผู้ แต่ม้ากลับพยศ ทำให้ ลูกชายอาแปะตกลงมาขาหัก ชาวบ้านสงสารเพราะอาแปะ มีลูกชายเพียงคนเดียว จึงมาแสดงความเสียใจและปลอบโยนให้กำลังใจ แต่อาแปะกลั...

Post#3-7: หรือจะเป็นแค่กระดาษทราย?

Post#3-7: หากใครกำลังรู้สึกว่า โดนข่มเหง รังแก ถูกดูหมิ่นหรือเหยียดหยาม อยู่ละก็ ผมขอให้กำลังใจด้วยวาทะดังต่อไปนี้ครับ "When people hurt you over and over, think of them like sandpaper. They may scratch and hurt you a bit, but in the end you end up polished and they end up useless." แปลว่า "เมื่อคุณถูกใครก็ตามข่มเหงซ้ำแล้วซ้ำเล่า, จงคิดซะว่า ใครคนนั้นเป็นกระดาษทราย. พวกเค้าอาจจะสร้างความรำคาญหรือทำร้ายคุณบ้าง, แต่ในที่สุดแล้ว คุณกลับเป็นฝ่ายได้รับการขัดเกลาให้งดงาม ในขณะที่พวกเค้าจบลงด้วยการเป็นกระดาษที่ไร้ค่า" ... อ่านวาทะของ Andy Biersack จบแล้ว รู้สึกยังไงบ้างครับ? เห็นด้วยกับ Andy รึเปล่าเอ่ย? ผมเชื่อว่า บ่อยครั้งเหลือเกิน ที่เราต่างก็ได้เจอกับความอยุติธรรมในชีวิต แล้วเราก็มักจะเฝ้าถามตัวเอง ว่าทำไมจะต้องเป็นเราที่ต้องเจออะไรแบบนี้? ก็นี่แหละครับ...ชีวิตจริง ... เมื่อเรารู้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าเราไม่ควรถามหาความยุติธรรมจากโลก และชีวิตก็ไม่ได้มีแต่ความสวยงามไปเสียทั้งหมด...ก็แล้วจะไปมัวแต่สงสารหรือสมเพชตัวเองอยู่ทำไมล่ะครับ จะดี...

Post#3-6: สั่งก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ถั่วงอก

Post#3-6: มื้อเที่ยงของวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้ไปแวะทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะไปประชุมช่วงบ่าย ร้านนี้เป็นร้านอารมณ์ประมาณร้านข้าวแกงทั่วไปนี่แหละครับ ต่างไปก็แค่ร้านนี้ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดกับข้าวขาหมู และที่สำคัญ เค้ามีระบบให้ลูกค้าจด Order ลงบนกระดาษเองเลย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ... ว่าแล้วผมก็วานให้เพื่อนรุ่นพี่ผมจด Order ให้ เป็นเส้นเล็กน้ำ "ไม่ใส่ถั่วงอก" ก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ กลับมาที่โต๊ะอีกที นั่งคุยกันไม่นานครับ "เส้นเล็กน้ำไม่ใส่ถั่วงอก" ที่ว่า ก็มาวางอยู่ตรงหน้า หอมหวลชวนกิน ชิมน้ำซุปเสร็จ ผมก็ลงมือปรุงก๋วยเตี๋ยว แล้วก็ลงมือคน...และแล้ว "ถั่วงอก" เป็นกำมือเลย ก็โผล่หน้ามาสวัสดีผมเข้าให้ ^^ ผมหันไปถามเพื่อนก่อนเลย ว่าจดให้รึเปล่าว่า "ไม่ใส่ถั่วงอก" และได้รับคำยืนยันว่า จดไปแน่ๆ ก็แปลว่า คนขายก็คงอ่าน Order นั่นแหละครับ แต่หยิบถั่วงอกใส่ลงไปด้วย "ความเคยชิน" ... อันว่า "ความเคยชิน" นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานอย่างแท้จริง...เราจึงได้เจอกับเหตุการณ์ของ...

Post#3-5: เราคาดหวังอะไรจากการ Outing (Part 2)

Post#3-5: ต่อจากเมื่อวานนะครับ... เราคุยกันถึงว่า สิ่งที่พวกเค้าได้ทำร่วมกันนั้นน่ะ มันเชื่อมโยงกับ Corporate Value ได้ยังไงบ้าง และค้างไว้อีกประเด็น ก็คือ เรื่องจิตสำนึกของการมา Outing อย่าพึ่งนึกตำหนิว่าผมมากเรื่องเลยนะครับ ว่ากะแค่ไป Outing มันจะอะไรกันหนักกันหนา...ซึ่งผมก็ไม่ได้เถียงหรอกครับ ว่า การไป Outing ต้องสนุกนำ แต่ก็ขอแฝงข้อคิดนิดนึงก็ละกันนะครับ ^^ … อย่างที่รู้ๆ กัน ว่าเมื่อจะมีการไป Outing ก็ดี หรือมีการจัดงานรื่นเริง Party ก็ดี ส่วนมากแล้ว น้องๆ มักจะลั้ลลามากเป็นพิเศษ และต้องบอกว่าเกือบ 100% ที่ความลั้ลลานั้นจะกระทบต่องานอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้น ในช่วงที่ผมขึ้นเดี่ยวไมโครโฟนนั้น ผมก็เลยพูดถึงเรื่อง "จิตสำนึกในการมา Outing” ที่ว่า โดยผมแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ก็คือ ช่วงก่อนจะมา Outing, ช่วงที่อยู่กับการ Outing และช่วงหลังการมา Outing ผมถามน้องๆ ว่า ก่อนจะมา Outing ได้คิดถึง 2 เรื่องดังต่อไปนี้ หรือไม่ คือ หนึ่ง สะสางงานให้เสร็จประมาณนึง ที่ไม่ทำให้คนอื่นๆ ได้รับผลกระทบ และสอง ก่อนจะมา Outing มีใครแจ้งคู่ค้าและลูกค้า รึเปล่า ว่าจะไม่มีใครอยู่ที่ Office ข้อห...

Post#3-4: เราคาดหวังอะไรจากการ Outing (Part 1)

Post#3-4: ค่ำวานนี้ ก็เป็นธรรมเนียมปกติของการไป Outing ที่จะต้องมีการเชิญเจ้านายขึ้นเวทีไปพูดอะไรสักอย่าง ^^ ซึ่งแน่นอนว่า การยื่นไมค์มาให้ผม ถือเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง เพราะผมเป็นพวกเจื้อยแจ้วจำนรรจามากๆ (อิอิ) ก็อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้ (Post#2-355) การมา Outing หรือ Seminar อะไรเทือกนี้ คนที่เป็นนายทุกคนต่างคาดหวังว่า อย่างน้อยก็อยากให้ทีมงานได้อะไรติดหัวกลับไปคิดต่อบ้าง แม้ว่าหลักๆ แล้ว จะมุ่งไปที่ความสนุกของพวกเค้า สิ่งที่ผมให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ ก็คือการกระตุกให้พวกเค้าคิดว่า สิ่งที่พวกเค้าได้ทำร่วมกันนั้นน่ะ มันเชื่อมโยงกับ Corporate Value ได้ยังไงบ้าง และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ เรื่องจิตสำนึกของการมา Outing ... ผมขอขยายความของแต่ละเรื่องแบบนี้ครับ... เรื่องแรก เรื่องความเชื่อมโยงไปสู่ Corporate Value แต่ละกิจกรรมนั้น แต่ละคนต่างก็สามารถจะตีความได้ต่างกัน ดังนั้น ไม่ว่าเค้าจะตอบว่า กิจกรรมนั้น เกี่ยวกับ Corporate Value ข้อไหน จึงไม่มีคำตอบที่ถูก เพราะจุดมุ่งหมายอยู่ที่ เค้าเชื่อมโยงวิธีคิดเป็นมั๊ย ก็เท่านั้น การนำ Corporate มาผูกกับกิจกรรมนั้น จึงเป...

Post#3-3: ลูกน้องที่รัก

Post#3-3: และแล้ววันที่ผมรอคอยมานานก็มาถึง... นั่นก็คือวันที่ได้ออกมาร่วม Outing กับทีมงานของบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นบริษัทเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสารพันปัญหาให้ผมแก้ไม่เว้นวัน แต่แปลกที่ผมกลับผูกพันกับบริษัทนี้เป็นอย่างมาก...มากจนผมคิดไม่ออกว่า ผมทุ่มเทมากขนาดนี้ไปเพื่ออะไร? ... ที่เค้าเคยว่ากันว่า "ความทุกข์สอนอะไรเราได้มากกว่าความสุข" ก็คงจะเป็นคำอธิบายให้ผมได้บางส่วน เพราะฝ่าความทุกข์มามาก จึงจดจำรายละเอียดของแต่ละวันแต่ละคืนได้มาก...และแน่นอนว่า ผมจำต้องใช้พลังใจและพลังกายที่มากมายในการฟันฝ่า แม้ผมจะพาบริษัทนี้ ข้ามผ่านอุปสรรคมาแล้วหลายครั้งหลายครา แต่ก็ดูเหมือนว่า พายุที่ถาโถมมานั้น ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงโดยง่าย และด้วยเหตุนั้น "กัปตันเรือ" อย่างผม จึงยังไม่อาจนั่งจิบไวน์ดูนกนางนวลได้ หากแต่ต้องจับพวงมาลัยเรือไว้อย่างมิอาจประมาทได้แม้เพียงเสี้ยววินาที หรือนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมยังต้องอยู่ตรงนี้...ฟ้าอาจกำลังหยั่งกำลังใจและฝีมือของผม ว่าถึงพร้อมหรือไม่ และผมคงไม่มีทางเลือกมากไปกว่าการที่ผมจะต้องพยายามทุกวิถีทาง เพื่อนำพาลู...

Post#3-2: Who's real behind your back?

Post#3-2: คงมีบ้างบางครั้งที่เราไม่รู้ว่า คนที่กำลังยิ้มและหัวเราะอยู่กับเราต่อหน้านั้น จริงๆ แล้วเค้าเสแสร้งหรือว่าจริงใจกันแน่ เคยมีลูกน้องผมคนหนึ่ง ที่กังวลกับเรื่องนี้มากจนไม่เป็นทำอะไร เรียกว่าเข้าข่าย เสีย self ไปเลยก็ว่าได้ เพราะมัวแต่จะกังวลว่า ตัวเองจะเป็นที่ถูกใจคนนั้น นู้น นี้ มั๊ย? ผมอยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วเพื่อนร่วมงานของเราเค้าก็ไม่ค่อยมามีเวลาสนใจเรื่องของเราเท่าไหร่หรอกครับ เพราะตัวเค้าเองก็มีเรื่องของตัวเอง ของครอบครัว แล้วก็เรื่องงาน เต็มไปหมดอยู่แล้ว ... ถ้าเราต้องมาคอยเปลี่ยนแปลงหรือระแวดระวังตลอดเวลา ว่าจะทำให้คนอื่นชอบใจหรือไม่นี่ ชีวิตเราคงไม่มีความสุขเอาซะเลย แต่ก็ใช่ว่า อยากจะทำอะไรก็ทำ โดยไม่แคร์ว่าใครจะเป็นยังไงนะครับ...แค่ใส่ใจให้มากขึ้นสักนิด ว่าสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขน่ะ จะไม่ไปกระทบหรือละเมิดคนอื่นจนเกินงาม และที่สำคัญ อยากให้เราจำไว้ให้ดีว่า ผู้คนไม่ได้จำความดีที่เราทำให้เค้าต่อหน้า มากเท่ากับความไม่ดีที่เราทำลับหลัง หรือที่ฝรั่งว่าไว้ว่า "Life isn't about who's real to your face, it's about who's real ...

Post#3-1: โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ

Post#3-1: สัจธรรมหนึ่งที่ผมเห็นด้วยโดยดุษฎี เพราะได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ในการทำงานมานานก็คือ "โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ" ย้อนหลังไปดูถึงสมัยที่เป็นนักเรียน ถ้าไม่พยายามมากๆ ก็อย่าหวังว่าจะได้คะแนนสอบดีๆ ได้ (ส่วนพวกที่อัจฉริยะแต่กำเนิดน่ะ มีน้อยกว่าหยิบมือเท่านั้นล่ะครับ) มาถึงตอนทำงานก็ไม่ต่างกันครับ ... สมัยเรายังเป็นเด็ก สิ่งต่างๆ ได้มาจากการ "ขอ" แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น ส่วนใหญ่แล้ว เราจำต้องลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ ยิ่งเป็นสิ่งที่มีค่า, ล้ำค่า หรือทรงคุณค่า ก็ยิ่งจำต้องลงทุนลงแรงมากเป็นเท่าทวี...เมื่อเป็นสิ่งที่ได้มายาก เราจึงรู้สึก appreciate เมื่อผลแห่งความพยายามนั้น บรรลุผล แต่หากเราได้อะไรมาง่ายๆ...ไอ้ความ appreciate ในผลลัพธ์ก็ย่อมลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ ... ดังนั้น เมื่อเรากำลังต้องเผชิญกับความยากลำบาก ก็ขอให้จงอย่าทดท้อหรือยอมแพ้ง่ายๆ เลยครับ...มันอาจจะแค่อีกนิดเดียวก็ถึงเส้นชัยแล้วก็ได้ และถึงแม้ว่าหนทางนั้นจะเต็มไปด้วยอุปสรรคอีกมาก...แต่ "เป็นไปไม่ได้" กับ "เป็นไปได้ยาก" นั้...

Post#2-365: โลกไม่ได้วุ่นวาย...ใจเราต่างหากที่วุ่นวาย

Post#2-365: วันนี้ถือเป็น Black Monday สำหรับผมจริงๆ ครับ ^^ เริ่มต้นด้วย การได้รับแจ้งจากเลขาฯ ว่า รถที่ใช้ประจำมีปัญหา ผมจึงมีอันต้องขับรถไปทำงานเอง และให้เลขาฯ ช่วยจัดการตามอู่รถมาช่วยจัดการ ต่อด้วยการออกไปเผชิญวิบากกรรมรถติดเป็นประวัติการณ์...และผมใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงเพื่อการเดินทางแค่ 30 กิโลเมตร ตกบ่าย ก่อนออกไปประชุม เลขาฯ อีกคนมารายงานว่ามีปากเสียงกับทีมงานที่ต่างประเทศ และแน่นอนว่า ภาระตกอยู่ที่ผมก็ต้องเป็นผู้หาวิธีแก้ไขข้อขัดแย้งนี้ -"- หลังจากนั้น Tablet ที่กำลังใช้ทำงานอยู่ ก็มีอันดับวูบไปโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีกเลย ต่อด้วยติดต่อชาวต่างชาติที่นัดประชุมช่วงบ่ายไม่ได้ จนตารางนัดหมายรวนไปพักใหญ่ๆ...กว่าจะได้ประชุม ก็เล่นเอาผมรอจนเหนื่อยใจ ตกค่ำผมก็ต้องไปเลี้ยงรับรองเพื่อนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งกว่าจะลุล่วงภารกิจก็เกือบๆ จะ 2 ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว...และต้องถ่อสังขารกลับไปเอารถที่ office อีก และสุดท้าย รถที่ผมขับมาก็มีอันสตาร์ทไม่ติด ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าขับมาก็ยังดีๆ อยู่ และเพิ่งเข้าศูนย์ฯ ได้ไม่นาน...กว่าจะแก้ไขได้ ก็...

Post#2-364: เดินทางในขณะที่อยู่กับที่

Post#2-364: ครอบครัวผมเป็นครอบครัวนักอ่าน... ไม่ว่าจะภรรยาหรือลูกสาว หากว่ามีหนังสืออยู่ตรงหน้า...ก็จะเข้าสู่โหมดปลีกวิเวก และหายเข้าสู่โลกส่วนตัวไปในทันที หลายคนก็มีความเห็นคล้ายๆ ผมที่ว่า บ่อยครั้งที่เราอ่านหนังสือแล้วสนุกกว่าดูหนังหรือละครที่สร้างจากหนังสือ (หรือบทประพันธ์) ซะอีก ถ้าจะถามว่าทำไมน่ะหรือครับ? ... นั่นเพราะการอ่านหนังสือนั้น มีที่ว่างให้เราสรรสร้างจินตนาการและการตีความได้อย่างไร้กรอบ...เป็นจินตนาการอิสระของเราโดยลำพังเท่านั้น ต่างจากการดูหนังหรือละคร...ที่แม้จะสนุกเพียงใด ก็ต้องถือว่าเป็นจินตนาการของคนอื่น ซึ่งอาจจะให้อรรถรสที่ต่างจากการจินตนาการของเราเองไปอีกแบบ ดินแดนแห่งจินตนาการเป็นดินแดนที่มีเขตแดนอันไพศาล และอาจจะเกือบสรุปได้ว่า ยังไม่มีใครคนใดในโลกที่หาสุดเขตแห่งจินตนาการนั้นเจอ ... เกี่ยวกับเรื่องนี้ Mason Cooley (Aphorist - ซึ่งหาคำแปลไทยที่ถูกใจไม่ได้ ผมเลยขอแปลเอาเองว่า นักวาทศิลป์ - ชาวอเมริกัน) กล่าวไว้ว่า "Reading gives us someplace to go when we have to stay where we are." ซึ่งแปลได้ว่า "การอ่านจะช...

Post#2-363: สุขที่ได้ทำ

Post#2-363: ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานับเป็นช่วงที่ผมเหนื่อยมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี เปล่าหรอกครับ ไม่ได้ทำงานมากกว่าเดิม แต่ผมวิเคราะห์เอาเองว่า คงเป็นเพราะเหนื่อยสะสม...เมื่อวานตอนประชุมมื้อค่ำ ผมแทบจะประชุมไปหลับไปเลยทีเดียว ว่าแล้ววันนี้ผมก็เลยยกเลิกนัดช่วงเช้าทั้งหมด และเลือกที่จะติดสอยห้อยตามภรรยาไปเฝ้านางฟ้าตัวน้อยเข้า Ballet Class ซะดีกว่า ... ผมเคยคุยกับภรรยาว่า จุดประสงค์ของการไปเรียน Ballet คืออะไร? เพราะผมมองไม่ออกว่า ลูกจะเอาไอ้ความรู้ในการเต้น Ballet นี้ไปทำอะไรได้? ทันทีที่ผมจบประโยคคำถาม...ภรรยาผมยิ้ม แล้วถามผมกลับว่า ทำไมผมชอบเล่นกอล์ฟ? ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้จากภรรยา...ผมยิ้ม และทันทีนั้น ผมก็ได้คำตอบว่า ลูกจะเรียน Ballet ไปเพื่ออะไร ^^ ... หลายครั้งหลายคราในชีวิต ที่เราต่างก็ได้มีโอกาสทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อความสุขที่ได้ทำ...สุขเกิดจากขณะที่ได้ทำสิ่งนั้น หาใช่เพื่อหาประโยชน์จากสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Ballet, Piano, Golf หรือไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกหรือกีฬาใดๆ ต่างไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้มีชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า แต่เพื่อให้วันนี้เรามี...

Post#2-362: ออก TV

Post#2-362: เช้านี้ผมไปออก TV มาครับ ^^ เป็นการไปให้สัมภาษณ์สด เพื่อโปรโมทสินค้าในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 15 นาที เท่านั้น ผมไม่ได้ออก TV นานกว่า 10 ปีแล้ว แรกๆ ก็กลัวว่าจะตื่นกล้องมั๊ยนะ? แต่ที่ไหนได้... กลับมาลูกน้องแซวกันใหญ่ ว่าผู้ดำเนินรายการพูดไม่ทันแขกรับเชิญ ^^ ... แต่แม้จะเป็นการออกอากาศในช่วงสั้นๆ แต่กลับต้องมีการเตรียมการเบื้องหลังค่อนข้างมากกว่าที่คิดมากมาย เรียกว่า ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแม้จะเพียงแว่บเดียว แต่ต้องมั่นใจมากพอสมควร ว่าการเตรียมการทุกอย่างต้องพร้อมเป็นอย่างดี ว่ากันตั้งแต่การเตรียมหัวข้อสัมภาษณ์, เตรียม clip สำหรับ insert, เตรียม prop ประกอบฉาก รวมไปถึงเสื้อผ้าหน้าผม แต่ที่ผมขำก็คือ ผมเพิ่งจะได้พบกับผู้ดำเนินรายการเป็นครั้งแรก แต่เหมือนสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางบรรพ์ก็ว่าได้ >_<" ... การไปออก TV ให้ความรู้สึกเหมือนการเตรียมงานปาร์ตี้...คือเตรียมทุกอย่างอย่างเต็มที่ แม้ว่าในเวลาที่งานมาถึง สิ่งที่เตรียมไว้จะปรากฏเพียงแค่แว่บเดียวอย่างที่ว่า การไปออก TV สอนให้รู้ว่า การเผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาด เพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ Prod...