Post#3-5:
ต่อจากเมื่อวานนะครับ...
เราคุยกันถึงว่า สิ่งที่พวกเค้าได้ทำร่วมกันนั้นน่ะ มันเชื่อมโยงกับ Corporate Value ได้ยังไงบ้าง และค้างไว้อีกประเด็น ก็คือ เรื่องจิตสำนึกของการมา Outing
อย่าพึ่งนึกตำหนิว่าผมมากเรื่องเลยนะครับ ว่ากะแค่ไป Outing มันจะอะไรกันหนักกันหนา...ซึ่งผมก็ไม่ได้เถียงหรอกครับ ว่า การไป Outing ต้องสนุกนำ แต่ก็ขอแฝงข้อคิดนิดนึงก็ละกันนะครับ ^^
…
อย่างที่รู้ๆ กัน ว่าเมื่อจะมีการไป Outing ก็ดี หรือมีการจัดงานรื่นเริง Party ก็ดี ส่วนมากแล้ว น้องๆ มักจะลั้ลลามากเป็นพิเศษ และต้องบอกว่าเกือบ 100% ที่ความลั้ลลานั้นจะกระทบต่องานอย่างช่วยไม่ได้
ดังนั้น ในช่วงที่ผมขึ้นเดี่ยวไมโครโฟนนั้น ผมก็เลยพูดถึงเรื่อง "จิตสำนึกในการมา Outing” ที่ว่า โดยผมแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ก็คือ ช่วงก่อนจะมา Outing, ช่วงที่อยู่กับการ Outing และช่วงหลังการมา Outing
ผมถามน้องๆ ว่า ก่อนจะมา Outing ได้คิดถึง 2 เรื่องดังต่อไปนี้ หรือไม่ คือ หนึ่ง สะสางงานให้เสร็จประมาณนึง ที่ไม่ทำให้คนอื่นๆ ได้รับผลกระทบ และสอง ก่อนจะมา Outing มีใครแจ้งคู่ค้าและลูกค้า รึเปล่า ว่าจะไม่มีใครอยู่ที่ Office
ข้อหนึ่ง แสดงถึงความรับผิดชอบต่อคนในองค์กร และข้อสองแสดงถึงความรับผิดชอบต่อคนนอกองค์กร...และแน่นอนว่า มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่ทำครบทั้ง 2 ข้อ
…
ช่วงต่อมา คือช่วงที่อยู่ใน Outing ซึ่งหลักๆ ก็เป็นประเด็นที่ผมเล่าไปแล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งก็คือ น้องๆ เข้าใจจุดมุ่งหมายของแต่ละกิจกรรมและมองหาความเชื่อมโยงไปสู่ Corporate Value ได้ยังไงบ้าง (ลองกลับไปอ่านทวนดูนะครับ)
และที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ หลังจาก Outing แล้ว...น้องๆ ทั้งหลาย จะ...
A. จะยังรักกันและกันเหมือนขณะที่มา Outing มั๊ยนะ?
B. ถ้าจะโกรธกัน, เกลียดกัน หรือทะเลาะกัน ก็ขอให้นึกถึงข้อหนึ่งได้มั๊ย?
C. จะนำข้อคิดต่างๆ ที่ได้เรียนรู้จากการมา Outing ไปใช้ในชีวิตการทำงานบ้างได้มั๊ย?
ทั้ง 3 ช่วงนี้ ถือเป็น “จิตสำนึกในการมา Outing” ตามนิยามของผม ส่วนข้อ A - C น่ะ ผมถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จของการ Outing ครับ โดยที่ ข้อ A จะมีน้ำหนักมากที่สุด และข้อ C น้อยที่สุด (ประมาณว่า A 55 : B 35 : C 10)
…
ความจริงแล้ว การไป Outing ครั้งนี้ ผมได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย, ได้หยั่งรู้นิสัยของลูกน้อง, ได้เข้าใจวิธีคิดของพวกเค้า และที่สำคัญ ได้เห็นช่องว่างหลายๆ ประการที่องค์กรจะต้องแก้ไขให้ลุล่วงไปให้ได้
นอกจากการหาเลี้ยงครอบครัวแล้ว...ถ้าจะมีครั้งไหนที่ทำให้ผมรู้สึกเต็มใจที่จะต้องใช้จ่ายเงิน ก็คือ การไปทานข้าวกับลูกน้อง หรือการใช้เงินในการพาน้องๆ มาเติมพลังแบบนี้ล่ะครับ
ผมได้แต่หวัง ว่าด้วยสมองและสองมือของผม จะสามารถสร้างงานได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้มีเงินไปเลี้ยงดูครอบครัว รวมถึงมีมากพอที่จะพาทีมงาน (หลายบริษัทฯ มากกกก) ไป Outing แบบนี้ได้บ่อยๆ
ก่อนจากกัน จึงขอฝากประโยคนี้ถึง “ลูกน้องที่รัก” ทุกคน ว่า “อยากไปเที่ยวด้วยกันอีก...ก็ช่วยๆ กันทำมาหากินนะจ๊ะ” (อิอิ)
ต่อจากเมื่อวานนะครับ...
เราคุยกันถึงว่า สิ่งที่พวกเค้าได้ทำร่วมกันนั้นน่ะ มันเชื่อมโยงกับ Corporate Value ได้ยังไงบ้าง และค้างไว้อีกประเด็น ก็คือ เรื่องจิตสำนึกของการมา Outing
อย่าพึ่งนึกตำหนิว่าผมมากเรื่องเลยนะครับ ว่ากะแค่ไป Outing มันจะอะไรกันหนักกันหนา...ซึ่งผมก็ไม่ได้เถียงหรอกครับ ว่า การไป Outing ต้องสนุกนำ แต่ก็ขอแฝงข้อคิดนิดนึงก็ละกันนะครับ ^^
…
อย่างที่รู้ๆ กัน ว่าเมื่อจะมีการไป Outing ก็ดี หรือมีการจัดงานรื่นเริง Party ก็ดี ส่วนมากแล้ว น้องๆ มักจะลั้ลลามากเป็นพิเศษ และต้องบอกว่าเกือบ 100% ที่ความลั้ลลานั้นจะกระทบต่องานอย่างช่วยไม่ได้
ดังนั้น ในช่วงที่ผมขึ้นเดี่ยวไมโครโฟนนั้น ผมก็เลยพูดถึงเรื่อง "จิตสำนึกในการมา Outing” ที่ว่า โดยผมแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ก็คือ ช่วงก่อนจะมา Outing, ช่วงที่อยู่กับการ Outing และช่วงหลังการมา Outing
ผมถามน้องๆ ว่า ก่อนจะมา Outing ได้คิดถึง 2 เรื่องดังต่อไปนี้ หรือไม่ คือ หนึ่ง สะสางงานให้เสร็จประมาณนึง ที่ไม่ทำให้คนอื่นๆ ได้รับผลกระทบ และสอง ก่อนจะมา Outing มีใครแจ้งคู่ค้าและลูกค้า รึเปล่า ว่าจะไม่มีใครอยู่ที่ Office
ข้อหนึ่ง แสดงถึงความรับผิดชอบต่อคนในองค์กร และข้อสองแสดงถึงความรับผิดชอบต่อคนนอกองค์กร...และแน่นอนว่า มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่ทำครบทั้ง 2 ข้อ
…
ช่วงต่อมา คือช่วงที่อยู่ใน Outing ซึ่งหลักๆ ก็เป็นประเด็นที่ผมเล่าไปแล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งก็คือ น้องๆ เข้าใจจุดมุ่งหมายของแต่ละกิจกรรมและมองหาความเชื่อมโยงไปสู่ Corporate Value ได้ยังไงบ้าง (ลองกลับไปอ่านทวนดูนะครับ)
และที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ หลังจาก Outing แล้ว...น้องๆ ทั้งหลาย จะ...
A. จะยังรักกันและกันเหมือนขณะที่มา Outing มั๊ยนะ?
B. ถ้าจะโกรธกัน, เกลียดกัน หรือทะเลาะกัน ก็ขอให้นึกถึงข้อหนึ่งได้มั๊ย?
C. จะนำข้อคิดต่างๆ ที่ได้เรียนรู้จากการมา Outing ไปใช้ในชีวิตการทำงานบ้างได้มั๊ย?
ทั้ง 3 ช่วงนี้ ถือเป็น “จิตสำนึกในการมา Outing” ตามนิยามของผม ส่วนข้อ A - C น่ะ ผมถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จของการ Outing ครับ โดยที่ ข้อ A จะมีน้ำหนักมากที่สุด และข้อ C น้อยที่สุด (ประมาณว่า A 55 : B 35 : C 10)
…
ความจริงแล้ว การไป Outing ครั้งนี้ ผมได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย, ได้หยั่งรู้นิสัยของลูกน้อง, ได้เข้าใจวิธีคิดของพวกเค้า และที่สำคัญ ได้เห็นช่องว่างหลายๆ ประการที่องค์กรจะต้องแก้ไขให้ลุล่วงไปให้ได้
นอกจากการหาเลี้ยงครอบครัวแล้ว...ถ้าจะมีครั้งไหนที่ทำให้ผมรู้สึกเต็มใจที่จะต้องใช้จ่ายเงิน ก็คือ การไปทานข้าวกับลูกน้อง หรือการใช้เงินในการพาน้องๆ มาเติมพลังแบบนี้ล่ะครับ
ผมได้แต่หวัง ว่าด้วยสมองและสองมือของผม จะสามารถสร้างงานได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้มีเงินไปเลี้ยงดูครอบครัว รวมถึงมีมากพอที่จะพาทีมงาน (หลายบริษัทฯ มากกกก) ไป Outing แบบนี้ได้บ่อยๆ
ก่อนจากกัน จึงขอฝากประโยคนี้ถึง “ลูกน้องที่รัก” ทุกคน ว่า “อยากไปเที่ยวด้วยกันอีก...ก็ช่วยๆ กันทำมาหากินนะจ๊ะ” (อิอิ)
Comments
Post a Comment