Skip to main content

Post#2-360: ทำยังไงให้ลูกน้องรู้จักคิดเองได้?

Post#2-360:
สืบเนื่องจากที่คุยกันเมื่อวานนี้ ที่เราคุยกันถึงเรื่องที่พี่ C ทำให้ลูกน้องปรับมุมมองและเปลี่ยนทัศนคติไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

ก็ส่งผลให้วันนี้ มีอดีตลูกน้องคนหนึ่ง ถามผมว่า เราจะมีทางลัดในการทำให้ลูกน้องปรับมุมมองหรือเปลี่ยนทัศนคติได้หรือไม่

ท่านอื่นๆ คิดว่าเราสามารถจะทำได้มั๊ยครับ ลองคิดตามดูครับ ผมให้เวลา 10 นาทีเลย

...

คำตอบของผมก็คือ ผมไม่มีทางลัดที่จะทำให้ใครก็ตามปรับมุมมองและเปลี่ยนทัศนคติได้ในเวลาอันสั้นได้เลย...เราได้แต่ต้องลงมือปฏิบัติให้เค้าดูอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำออกมาจาก inner ของเรา ไม่ใช่ทำแค่สร้างภาพเท่านั้น

หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เราต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้เค้าเห็นก่อน เค้าจึงจะเกิดศรัทธา และจากนั้นจึงจะเกิดความเชื่อมั่น

เมื่อเค้าเกิดศรัทธาและเชื่อมั่นแล้ว เค้าจะเริ่มปรับมุมมองและเริ่มเปลี่ยนทัศนคติได้เอง โดยที่เราไม่ต้องไปบังคับ

เรื่องมุมมองและทัศนคติเป็นเรื่องของความยอมรับด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่เรื่องการทำความเข้าใจด้วยสมอง...ดังนั้น ต่อให้เค้าเข้าใจ แต่ไม่ได้ยอมรับ ก็จะไม่ส่งผลให้เค้าเต็มใจที่จะปรับเปลี่ยนใดๆ ทั้งสิ้น

...

ลูกน้องคนเดิมยังมีคำถามต่อว่า...

"พี่บอย ถ้าอยากให้เค้าคิดเป็นเองเหมือนเราคิด แบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเองกับลูกค้าโดยไม่ต้องมารอการตัดสินใจของเราอย่างเดียว แบบนี้จะฝึกเค้ายังไงคะ ?? 😓"

เรื่องนี้เราต้องหันมาพิจารณาตัวเองครับ...เราจะคาดหวังให้ลูกน้องตัดสินใจได้เอง ก็ต้องถามว่า 

1.เรามอบหมายงานให้เหมาะกับเค้ารึเปล่า?
2.เราให้อำนาจและความไว้วางใจแก่เค้าแค่ไหน?
3.เราพร้อมจะรับผิดชอบแทนเค้า หากว่าเค้าทำผิดพลาดรึเปล่า?

ถ้าครบ 3 ข้อนี้แล้ว ก็ขอให้เราคุยกับลูกน้องเลยครับ มอบหมายงานให้เค้ารับผิดชอบและตัดสินใจได้ตามสบาย (แต่ต้องอยู่ในกรอบอำนาจที่เรามอบให้)

เริ่มต้นก็แค่ให้น้องเป็นผู้กำหนดแผนงานและนำเสนอเรา, หากเห็นว่าแผนดีแล้ว เราก็ปล่อยให้น้องลงมือได้ แต่ถ้าต้องปรับปรุง ก็ต้องคุยให้น้องเข้าใจ และยอมปรับแผนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย

เริ่มจากงานเล็กๆ ให้เค้ามั่นใจ แล้วค่อยๆ เพิ่ม degree ความยากของงานให้มากขึ้นๆ...น้องก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้น กล้าคิด กล้าตัดสินใจมากขึ้นครับ

ขอให้มีความสุขกับการพัฒนาลูกน้องนะครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...