Skip to main content

Post#3-21: จอม Project

Post#3-21:
บ่ายวันนี้ผมมีโอกาสดีได้ปรึกษางานกับเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากท่านหนึ่ง (สมมติว่า ชื่อ พี่ K ก็แล้วกันนะครับ)

ความจริงผมเคยเล่าถึงพี่ K ไว้นานแล้ว (Post#2-74) ถึงความเมตตาและกรุณาที่พี่ K มีให้ผมอยู่เสมอ และจนวันนี้ พี่ K ก็ยังให้ความรักผมเหมือนเดิม

ตอนหนึ่งของการปรึกษางานกัน พี่ K แสดงความเป็นห่วงผมค่อนข้างมาก ว่าทำหลายงานมากไปรึเปล่า?

...

ว่าอันที่จริง พี่ K ก็ไม่ใช่คนแรกที่เป็นห่วงผม เหตุเพราะผู้ที่ทำธุรกิจมานาน ย่อมรู้ดีว่า การทำอะไรที่ไม่ค่อย focus ไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักจะส่งผลให้ productivity ไม่ดีเท่าที่ควร

ผมเองก็ใช่ว่าจะไม่เชื่อ แต่บางครั้งโอกาสที่เข้ามาแล้วมันตรงกับ passion ของเราเอง ก็ใช่ว่าจะมีบ่อยๆ...ลงท้ายเลยกลายเป็นต้องทำมากกว่าหนึ่งงานไปอย่างช่วยไม่ได้

หลายๆ คนก็คงเจอสถานการณ์คล้ายๆ ผมอยู่เหมือนกัน...และต่างคนต่างก็มีวิธีรับมือกับงานหลายๆ อย่างพร้อมกันที่ว่า ที่ต่างกันออกไป

...

สำหรับผมแล้ว ส่วนผสมของการที่จะกำหนดได้ว่า เราทำงานหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ได้มากแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับ passion + span of control

ถ้าไม่มี passion ในงานทึ่จะทำ ก็ถือว่า "จบ" คืออย่าทำงานชิ้นนั้นจะดีกว่า...

หากว่ามี passion ก็ต้องไปพิจารณาต่อว่า span of control ของเรา มีแค่ไหน?

Span of Control ก็คือ ขอบข่ายที่เราจะสามารถควบคุมดูแลได้ หรือเรียกตามภาษาบ้านๆ ก็คือ "มีปัญหาทำไหวรึเปล่า" นั่นแหละครับ

แน่นอนว่า Span of Control ก็จำต้องอาศัย Resource ในมือที่มากเพียงพอด้วย

และ Resource ในมือที่ว่า ก็คือ "คน", "เงิน" และ "เวลา" นั่นเองครับ

...

แน่นอนว่า ถ้าเลือกได้...ดีที่สุด เราก็ควรจะ focus ในงานอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างที่พี่ K แนะนำ

แต่ถ้าจำเป็น เพราะงานที่ชอบมายิ้มเชิญชวนอยู่ตรงหน้า ก็ต้องพิจารณาถึง Span of Control ของเราเป็นหลัก

ขอให้จอม Project ทั้งหลาย โชคดีทุกท่านนะครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...