Skip to main content

Posts

Showing posts from July, 2014

Post#327: พูดแต่เรื่องเดิมๆ

Post#327: บ่อยครั้งที่ผมเบื่อตัวเองที่ต้องพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จะว่าไปก็ไม่รู้จะบ่นไปทำไม เพราะยังไงก็คงต้องพูด ตราบเท่าที่สิ่งที่พูดไปยังไม่ได้รับการตอบสนอง ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงการทำงานกับทีมงาน โดยเฉพาะกับน้องๆ ตำแหน่งเล็กๆ ระดับปฏิบัติการ และแน่นอนว่า บางทีกับระดับบังคับบัญชาและระดับบริหาร ก็ยังต้องพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่เช่นกัน ที่ผมเล่าว่า พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ นี่ ไม่ใช่ว่า ผมพูดเหมือนกันทุกครั้งหรอกนะครับ เพราะถ้าผมรู้สึกว่า ใช้วิธีพูดแบบเดิมแล้ว ยังไม่เข้าใจ ผมก็จะเปลี่ยนแนวทางการสื่อสารไปพร้อมๆ กับเพิ่มความ “ร้อนแรง” ของการพูดไปด้วย >_<“ จริงๆ ผมว่า ทีมงานก็คงจะเบื่อผมเหมือนกันแหละครับ ที่ดูเหมือนจะพูดเรื่องเดิมๆ อยู่ได้ (แม้วิธีการพูดจะต่าง แต่เนื้อหานี่เรื่องเดิมแน่ๆ) ย้อนกลับไปสมัยผมยังเป็นจูเนียร์ ผมก็รู้สึกเบื่อนายตัวเองไม่ต่างจากที่ทีมงานน่าจะเบื่อผมอยู่ในตอนนี้ จะว่าไปผมว่า มันก็คงเป็นกงเกวียนกำเกวียนนั่นแหละครับ เคยบ่นนายตัวเองยังไง เดี๋ยวนี้ก็คงโดนทีมงานบ่นไม่ต่างกัน แต่กระนั้น คนที่เป็นนายก็ยังคงต้องพูดเรื่องเดิมๆ เนื้อหาเดิ...

Post#326: เค้าไม่ได้บอก หรือเราไม่ได้ถาม

Post#326: ผมเคยถามลูกน้องท่านหนึ่งว่า "ราคาห้องที่ว่านี่ รวมอาหารเช้าด้วยมั๊ย?" เรื่องเริ่มต้นด้วยการที่ผมจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ก็เลยจะให้เธอจองห้องให้ แน่นอนว่า ก็ต้องเช็คราคาให้แน่ๆ ก่อน คำตอบที่ได้ก็คือ "ทางโรงแรมไม่ได้บอกค่ะ" ถามว่าคำตอบนี้ผิดมั๊ย ผมก็ต้องบอกว่า "ไม่ผิด" แต่ถ้าถามต่อว่า ถูกมั๊ย ผมต้องบอกว่า "ไม่ถูก" ทำไมผมถึงตอบเหมือนกวนทีนว่า ทั้ง "ไม่ผิด" และ "ไม่ถูก"? ที่บอกว่า "ไม่ผิด" ก็เพราะผมไม่ได้ให้เธอถามคำถามนี้ เมื่อเธอบอกว่า "เค้าไม่ได้บอก" จึงถือว่า "ไม่ผิด" แต่เพราะนี่เป็นเรื่องพื้นฐานของการจองห้อง ที่ควรต้องถาม แต่เธอไม่ได้ถาม (อาจจะเพราะด้อยประสบการณ์ หรือลืม) ผมจึงบอกว่า "ไม่ถูก" จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของวิธีคิด ว่า "เค้าไม่ได้บอก" หรือ "เราไม่ได้ถาม" คงไม่ต้องอธิบายซ้ำ ว่าอะไรคือการ "ชี้เข้า" และอะไรคือการ "ชี้ออก" ในชีวิตการทำงาน เราตอบคำถามด้วยคำตอบไหนบ่อยกว่ากันครับ? "ผม (หนู...

Post#325: Thailand is back.

Post#325: ผมมีโอกาสได้ไปเข้าร่วม International Conference ที่โรงแรมดุสิตธานี เมื่อเช้าวันนี้ หัวข้อของการพูดคุย ก็คือ "Thailand is back." หรือ "ประเทศไทยกลับมาแล้ว" ซึ่ง Guest Speaker ทุกท่าน ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลชั้นนำระดับประเทศทั้งสิ้น เนื้อหาส่วนใหญ่ก็ว่าด้วยเรื่อง "ความเชื่อมั่น" ไปพร้อมๆ กับ "รากฐานต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่" โดยส่วนตัวผมว่าก็ถูก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราล้วนต้องเริ่มต้นด้วย "ความเชื่อมั่น" และความเชื่อมั่นนั้น จะต้องประกอบไปด้วย "ทัศนคติเชิงบวก" และ "ปัจจัยหนุนส่ง" หากปราศจากตัวใดตัวหนึ่งไป "ความเชื่อมั่น" จะเกิดขึ้นได้ยากมาก ขาด "ปัจจัยหนุนส่ง" คงทำให้ "ความเชื่อมั่น" เป็นได้แค่ "ความมุ่งหวัง" และหากขาด "ทัศนคติเชิงบวก" ก็คงทำให้ "ความเขื่อมั่น" กลายเป็นแค่ "การรอคอยปาฏิหารย์" ลองมาทบทวนกันดูสิครับ ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตเราแย่ เราก็จะมัวมองหาแต่เหตุผลสนับสนุนว่า ชีวิตเรานี่มันแย่ เมื่อมีทัศนคติเป็นลบ ชีวิตที่...

Post#324: ชีวิตมันต้องเรียนรู้ทุกวัน

Post#324: เช้าวันนี้ผมเล่นเกมสนุกๆ นิดๆ หน่อยๆ กับทีมงาน ^^ เกมก็ง่ายๆ ครับ คือผมให้จับกลุ่มกัน กลุ่มละ 5 คน เมื่อครบแล้วผมก็จะให้ท่อง "ค่านิยมองค์กร" เกมง่ายมั๊ยครับ? ผมเชื่อว่า ก่อนที่พวกเค้าจะทำตามค่านิยมองค์กรได้ เค้าต้องท่องให้ได้ก่อน เหมือนก่อนจะวิ่งได้คล่อง ก็ต้องเริ่มจากยืนให้เป็นก่อน ประมาณนั้น บรรยากาศก็เป็นไปด้วยความสนุกสนาน ประเมินคร่าวๆ ผมเชื่อมั่นว่า แต่ละคนจะจดจำค่านิยมองค์กรได้มากขึ้น และไม่ลืมสำทับว่า เดี๋ยววันจันทร์หน้าทดสอบใหม่ >_<" คราวนี้ ระหว่างที่เค้ากำลังง่วนจับกลุ่มกัน ผมก็แอบสังเกตทีมงาน พบว่า แต่ละกลุ่มแต่ละคนมีวิธีการจับกลุ่มที่แตกต่างกัน แต่โดยมากเลือกจับกลุ่มกับคนที่ยืนใกล้ๆ กัน เลือกจับกลุ่มกับคนที่สนิทสนมกันก่อน ก็ไม่แปลกครับ เป็นธรรมชาติของคนปกติทั่วไป กับบางกลุ่ม จับกลุ่มได้ไม่ครบ แทนที่จะขวนขวายหาสมาชิกให้ครบ พวกเค้าเลือกที่จะนิ่ง แล้วรอ บางคนหนักกว่า คือกะตีเนียน จะไม่ยอมมีส่วนร่วม แต่ก็มีบางกลุ่มที่แสดงความกระตือรือร้น ไม่ครบ 5 คน ก็พยายามถามไถ่ หาคนเติม ฯลฯ นี่เป็นการทำให้ผมสังเกตอุปนิสัยใจคอและความขวนขวายของทีมงาน...

Post#323: เสียดายข้าวของ

Post323: ผมเชื่อว่า ผู้คนส่วนใหญ่ ยังคงมีนิสัยเสียดายข้าวของ บางชิ้นรู้ทั้งรู้ ว่าไม่ได้ใช้แล้ว แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ลงจริงๆ บ่อยครั้งเรามักจะติดกับดักของความเสียดาย อาจเป็นเพราะของชิ้นนั้นมีราคาแพง หายาก หรือเพราะเริ่มซื้อชิ้นแรกมาแล้ว ก็ต้องเก็บให้ครบเป็นเซ็ต -"- และโดยมาก ของที่เราตัดใจทิ้งไม่ได้ ก็เป็นเพราะของชิ้นนั้นมีมูลค่าทางใจ มีเรื่องราว มีที่มา มีความทรงจำ มีอดีต แต่ไม่ว่า เราจะเก็บมันไว้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปๆ สิ่งของที่มีราคา ก็จะเริ่มเสื่อมราคา ส่วนสิ่งของที่มีความทรงจำฝังอยู่ ก็จะเริ่มเจือจาง เมื่อวันนั้นมาถึง เราก็มักจะตอบตัวเองหรือคนอื่นๆ ไม่ได้ว่า สิ่งของที่เราหวงแหนและเก็บรักษาไว้ โดยไม่เคยเอาออกมาใช้อีกเลยเป็นสิบๆ ปีเนี่ย "มันสำคัญตรงไหน (ฟ่ะ)" ตัวอย่างเช่น เราเก็บสะสมหนังสือนั่น นู่น นี่ เวลาผ่านไปเป็นปีๆ เราก็ไม่เคยเอาหนังสือนั้นมาอ่าน รื้อบ้านอีกที ปลวกแทะบ้าง เปียกฝนบ้าง สุดท้ายเราก็ต้องทิ้ง เราเก็บการ์ดที่ได้จากแฟนเก่า รูปถ่ายเก่าๆ ของขวัญ ฯลฯ ไว้เป็นอย่างดี เอาออกมาดูครั้งไหนก็อมยิ้มถึงเรื่องเก่าๆ ดูเสร็จแล้วก็...

Post#322: "เพื่อนแท้" และ "รักแท้"

Post#322: เราตีความของคำว่า "เพื่อนแทั" หรือ "รักแท้" กันยังไงครับ? "เพื่อนแท้" แปลว่า ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลารึเปล่า? "รักแท้" แปลว่า ตื่นมาต้องเห็นกัน ต้องเจอกันทุกวันใช่มั๊ย? ผมเชื่อว่า ช่วงหนึ่งของการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในช่วงที่เรายังไม่เดียงสามากนัก คำถามข้างต้นคงแว่บเข้ามาในหัวกันบ้างไม่มากก็น้อย บางคนมีคำตอบแล้ว บางคนไม่รู้จริงๆ ว่าจะนิยามยังไง? แล้วตกลงใครที่เราเรียกว่า "เพื่อนแท้" ใครที่เรามั่นใจได้ว่า "รักแท้"? ผมก็ตอบไม่ได้แบบฟันธงนะครับ เพราะมุมมองของเราอาจจะไม่เหมือนกัน ("วัย" ด้วยแหละ บางคนคิด -"-) แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า ไม่ว่าเพื่อนแท้หรือรักแท้ ไม่น่าจะขึ้นอยู่กับว่า ตัวเราใกล้กันแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่า "ใจเราผูกกันยังไง" มากกว่า ตีความชวน "แหวะ" ขนาดนี้ ผมเองก็อยากทราบเหมือนกันครับ ว่าถ้าไม่ใช่นิยามนี้ แล้วท่านอื่นๆ ตีความยังไงกันบ้าง? "เพื่อนแท้" แปลว่า แกต้องตามใจชั้นทุกเรื่อง? แปลว่า แกต้องเห็นด้วยกับชั้นเสมอ? แปลว่า ช...

Post#321: สำนึกสาธารณะ

Post#321: ระหว่างเดินทางกลับบ้านวันนี้ ผมจำเป็นต้องใช้บริการข้ามถนนผ่านสถานีรถไฟฟ้า เพื่อไปยังที่จอดรถ แล้วก็บุญพาวาสนาส่ง ให้ได้เจอพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่คิดว่า ทั้ง 2 ท่านน่าจะมีญาติเป็นผู้ถือหุ้น BTS เพราะทั้งคู่เดินคุยกันเรื่อยเฉื่อยไม่สนใจว่าคนที่เดินมาตามหลังมีกี่คน เห็นเค้าชำเลืองมามองแต่ก็ทำตัวไม่แคร์ใคร เดินคุยกันเสมือนอยู่ในทุ่งกว้าง เป็นระยะทางกว่า 30 เมตร คนพวกนี้เป็นอีกจำพวกหนึ่งที่น่าจัดอยู่ในหมวดส่วนเกินของสังคม เป็นพวกไม่มี "สำนึกสาธารณะ" ผมเข้าใจว่าน่าจะอยู่ในหมวด "มนุษย์ป้า" ที่กำลังเป็นกระแสให้ผู้คนสรรเสริญพฤติกรรม "สุดทีน" อยู่ในขณะนี้ ซึ่งผมก็ไม่อาจสาธยายได้หมด ว่าพฤติกรรมสุดติ่งของท่านๆ มีเรื่องอะไรบ้าง "ใครเดือดร้อน ชั้นไม่สน แต่ถ้าชั้นเดือดร้อน เธอต้องสนใจชั้น ชั้นคือศูนย์กลางของจักรวาล เข้าใจมั๊ย?" นี่น่าจะเป็นวิธีคิดของคนจำพวกนี้ อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมอยากแชร์ ก็คือ ประสบการณ์แย่ๆ ในที่จอดรถ อารมณ์ประมาณพอเราเห็นว่า ท่านจะออก เราก็จะเปิดไฟกระพริบรอ แล้วท่านก็จะมีองค์หลวงพ่อทากมาป...

Post#320: เดินตามความฝันในวันที่หัวใจยังแข็งแรง

Post#320: บ่ายวันนี้ ผมตกอยู่ในอารมณ์อันยากที่จะบรรยาย เหตุเพราะมีลูกน้องมาขอลาออก ที่ว่าอยู่ในอารมณ์ยากที่จะบรรยาย เพราะมันเป็นอารมณ์ที่ผสมปนเปกันยุ่งเหยิง คือมีทั้งแอบเซ็งที่น้องลาออก เพราะดูแล้วว่าน้องเค้ามี potential ดี น่าจะส่งเสริมให้ไปต่อได้ อารมณ์ที่สองที่ปนอยู่คือ ดีใจที่น้องเลือกที่จะออกไปเดินตามความฝันของตัวเอง และอารมณ์สุดท้ายคือ "ขำ" เพราะน้องบอกว่า หนึ่งในเหตุผลที่ตัดสินใจลาออก เกิดจากแรงบันดาลใจที่อ่าน Post ของผม >_<" ว่ากันตามจริงแล้ว คนที่มี potential ในตัวค่อนข้างมากอย่างน้องเค้า ก็ไม่แปลกที่อยากจะคิดเติบโตก้าวหน้าเป็นนายของตัวเอง โดยส่วนตัวผมชื่นชมคนที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เลยไม่คิดคัดค้านการลาออกของน้อง และได้แต่อวยพรบวกให้กำลังใจให้น้องประสบความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวัง ช่วงหนึ่งของการสนทนา ผมว่าน้องเค้าพูดไว้ดี "...หนูยังอายุน้อย แม้ว่าจะก้าวพลาด หนูก็เชื่อว่า หนูยังมีโอกาสกลับมาได้..." แสดงให้เห็นชัดว่า น้องเค้าไม่ได้ตัดสินใจแบบเดี๋ยวด๋าว แต่ต้องผ่านการลำดับความคิด ชั่งใจ และตัดสินใจมาดีแล้ว อีกประเด็นคือ นี่ก็แสดงชัดว่...

Post#319: พวกกวนน้ำให้ขุ่น

Post#319: ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบคุยกับคนเหลี่ยมจัด... เคยรู้สึกมั๊ยครับ ว่าใครบางคนที่เราคุยด้วยเนี่ย เป็นคนน่าอึดอัดพิกล เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกกังวลว่า สิ่งที่เราคุยกับเค้าเนี่ย จะกลับมาส่งผลอะไรกับเรารึเปล่านะ? จากที่ผมทำงานมานับสิบๆ ปี ผมเจอคนประเภทนี้ค่อนข้างบ่อย ถ้าเลือกได้ผมจะเลือกไม่สุงสิงด้วย แต่ถ้าจำเป็นจะต้องคุย ผมเลือกที่จะประหยัดคำพูด และเลือกเป็นฝ่ายไม่เริ่มบทสนทนาก่อน เรียกง่ายๆ ว่า ถามคำตอบคำนั่นแหละครับ โดยมากพวกนี้จะชอบหลอกให้เราพูด ถ้าเราตอบแบบไม่ระวัง ก็มักจะทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจในภายหลัง เช่น เจอหลอกถามว่า คนนั้นเป็นยังไง คนนี้ล่ะเป็นยังไง แล้วเราก็เผลอคอมเม้นต์ไป เท่านั้นล่ะครับ เค้าก็จะไปเล่าต่อประมาณว่า คนนั้นคนนี้ที่เค้าถามเราน่ะ เป็นยังงั้นยังโง้นยังงี้ แต่งเติมเสริมต่อไปตามเรื่อง โดยที่เค้าจะไม่ลืมลงท้ายว่า เราเป็นคนพูดให้เค้าฟัง -"- หรือบางครั้งก็มาเล่าข้อมูลเป็นเท็จให้ฟัง นินทาคนนั้นคนนี้ให้ฟัง ยุให้เราอารมณ์ขุ่น แหย่ให้เราเคือง แล้วก็คอยเก็บเกี่ยวจากปฏิกิริยาตอบสนองของเราไปสร้างเรื่องต่อๆ...

Post#318: ตามรอยความสำเร็จ

Post#318: เมื่อครู่นี้ผมมีโอกาสได้นั่งทานข้าวกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเป็นนักธุรกิจระดับหลายหมื่นล้าน แต่ก็ยังกรุณาให้เกียรติเชิญผมมาทานมื้อค่ำด้วย ความโชคดีหนึ่งของผมก็คือ มีโอกาสอันดีบ่อยๆ ที่ผู้ใหญ่หลายท่านให้ความเอ็นดู เรียกใช้บ้าง เรียกมาทานข้าวบ้าง ทำให้ผมมีโอกาสได้เรียนรู้อะไรดีๆ จากท่านทั้งหลายอยู่เสมอ อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้ (Post#271) ผู้ใหญ่แต่ละท่านที่ผมมีวาสนาได้พบ ล้วนแต่เป็นผู้ถ่อมตนและเป็นกันเอง ผู้ใหญ่ท่านที่ผมเจอวันนี้ก็ไม่ต่างกัน หัวข้อสนทนาที่ได้คุยกับท่านค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่เรื่องเฮๆ ฮาๆ ชีวิตครอบครัว สภาพเศรษฐกิจ ไปจนกระทั่งแนวโน้มธุรกิจ เมื่อก่อนเวลาผมคุยกับผู้ใหญ่ระดับนี้ ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าท่านมีธุรกิจในมือค่อนข้างมาก มีบริษัทนับร้อยให้ดูแล มีลูกน้องนับพันนับหมื่น และบางท่านมีลูกน้องเป็นแสนคน แล้วท่านเอาเวลาที่ไหนไปรู้เรื่องสารพัดสาระเพต่างๆ รอบตัว จะว่าเพราะประสบการณ์ก็ไม่ใช่ เพราะเรื่องที่ท่านชวนคุยเป็นเรื่องที่ update และ intrend อยู่ไม่น้อย อีกประเด็นที่ผมเคยสงสัยไม่น้อยกว่าประเด็นข้างต้นก็คือ ก็ท่านรวยขนาดนี้แล้ว จะขยันทำงานขนาดนี้ไ...

Post#317: Bad sometimes good

 Post#317: เมื่อวานนี้ผมพาลูกสาวไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาเฉลิมพระเกียรติ ที่รังสิต คลอง 5 หรือที่คนทั่วๆ ไปเรียกติดปากว่า พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ จริงๆ แล้ว ครั้งนี้เป็นการไปครั้งที่ 2 ห่างจากที่เรามาครั้งแรกนานพอดู และผมสัญญากับลูกว่า เราจะกลับมาอีกครั้ง แล้วเราก็ได้มา โดยเราไปถึงประมาณ 10 โมงได้ครับ แต่ครั้งนี้ เป็นการเริ่มต้นการทัวร์พิพิธภัณฑ์ฯ ด้วยความทุลักทุเลมาก เหตุเกิดขึ้นเพราะผมชวนลูกสาวปีนขึ้นทางชันเพื่อจะไปถ่ายรูปกับรูปปั้นไดโนเสาร์ ผมเองก็ชะล่าใจ ปล่อยให้ลูกเดินขึ้นทางชันด้วยตัวเอง แล้วปรากฏว่า เธอลื่นล้ม เจ็บน่ะไม่เจ็บเลยครับ แต่กางเกงและรองเท้า เปรอะเปื้อนโคลน ในระดับ "ใส่ต่อไม่ได้" ดีใจอยู่นิดที่ลูกสาวของผมไม่ได้ร้องไห้หรือตีโพยตีพาย และภรรยาของผมก็เต็มไปด้วยความเข้าใจต่อสถานการณ์ ความท้าทายแรกของเราพ่อ-แม่-ลูก ก็คือ ต้องหากางเกงและรองเท้าเปลี่ยนใหม่ หรือไม่ก็กลับบ้าน เราเลือกที่จะเดินหน้าต่อครับ ไปหาชุดใหม่ในร้านค้าในพิพิธภัณฑ์ฯ มีของขายน้อยมาก ส่วนมากเป็นของเล่น เสื้อผ้าพอมี แต่จะเป็นชุดนอน และเสื้อยืด แน่นอนว่าไม่มีขายรองเท้า เ...

Post#316: โง่ vs ไม่รู้

Post#316: เมื่อวานขณะผมอยู่บนรถไฟฟ้า ได้ยินคุณพี่ท่านหนึ่งบ่นลูกทางโทรศัพท์ว่า "โง่จริง แค่นี้ก็ไม่รู้" ฟังแล้วผมก็คิดต่อ ว่า "โง่" กับ "ไม่รู้" มันไม่น่าจะเหมือนกัน ถ้าคำว่า "โง่" เป็นคำเดียวกับคำว่า "ไม่รู้" โลกนี้คงไม่มีใครที่ "ไม่โง่" เพื่อความแน่ใจผมเลยไปเปิดพจนานุกรมดู ลองแปลไทยเป็นไทยซิว่า ผมเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า เปิดพจนานุกรมเสร็จก็พบว่า "โง่" แปลว่า เขลาหรือไม่รู้ แต่ "ไม่รู้" ไม่ได้แปลว่า "โง่" นั่นก็สรุปได้ว่า ถ้าเราจะลงความเห็นว่าใครซักคน "โง่" คนๆ นั้น อาจจะเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องราวที่คนทั่วๆ ไปส่วนใหญรู้ หรืออาจจะหมายถึงคนที่รู้ทั้งรู้ว่าทำไปแล้วจะเกิดผลเสีย แต่ก็ยังดึงดันที่จะทำ ส่วนคนที่เค้า "ไม่รู้" นั้น ต้องไปดูอีกที ว่าแม้เค้าจะไม่รู้ แต่เค้าพร้อมจะ "เรียนรู้" รึเปล่า ถ้าเค้าพร้อมจะเรียนรู้ แปลว่า เค้ามีโอกาสจะหลุดพ้นจากความ "ไม่รู้" และห่างไกลจากความเป็นคน "โง่" แต่ถ้าเค้าไม่รู้ แล้วก็ยังคงปิดกั้นความรู้ ม...

Post#315: คุยต่อหน้า vs คุยผ่านสื่อ

Post#315: เมื่อวานผมเล่าถึงลูกน้องที่อาจจะทำตัวไม่เหมาะสมในการขาดประชุมและการขอโทษ แล้วก็ทำให้ผมนึกต่อไปว่า มีอยู่หลายเรื่องหลากสถานการณ์ที่เราควรต้องไปคุยกันต่อหน้า และมีหลายสถานการณ์เช่นกันที่คุยกันผ่าน Digital Media (ทั้ง eMail, Facebook, Line หรืออื่นๆ) จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า นอกจากนั้น ก็มีอีกหลายสถานการณ์ที่ควรผสมผสานการคุยต่อหน้าและสื่อสารผ่าน Digital Media ไปควบคู่กัน ออกตัวก่อนว่า ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้หมายความว่า นี่จะต้องเป็นบรรทัดฐานให้ใครยึดเป็นแบบปฏิบัติ เรื่องอะไรบ้างที่ควรคุยกันต่อหน้า? - เรื่องผิดใจที่ไม่ใหญ่ไม่โต ถ้ารีบไปคุยกันแต่เนิ่นๆ ก็คงไม่บานปลาย ดีกว่าฟังผ่านคนโน้น ฝากข้อความผ่านคนนี้ - เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันหลายๆ ฝ่าย ที่เราคุ้นเคยกันในรูปแบบ "การประชุม" นั่นแหละครับ - การไปเชื้อเชิญผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าผู้เชิญมากๆ (มีข้อแม้ว่าถ้าอยู่ห่างไกลกันมากๆ ท่านก็คงเข้าใจ) - การสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ตาม เพราะเราต้องประเมิน "อวัจนภาษา" ประกอบการพิจารณาเลือกคน ส่วนเรื่...

Post#314: มารยาทของการขาดประชุม

Post#314: เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ผมอารมณ์ขุ่นนิดหน่อย เพราะลูกน้องขาดการประชุมโดยไม่ได้ขออนุญาต จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไร แต่ผมคิดว่า น้องคงยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอ จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นเรื่องควรหรือไม่ควร ถ้าเป็นการเรียกประชุมกะทันหันแล้วลูกน้องไม่อยู่หรือไม่พร้อมประชุม ผมรับได้และเข้าใจได้เสมอ แต่ถ้านัดล่วงหน้าก็แล้ว ให้เลขาฯ ส่งเมล์คอนเฟิร์มก็แล้ว ยังกล้าที่จะขาดประชุมอีกนี่ ผมก็แอบงงแอนด์หงุดหงิดนิดๆ เพราะไม่เข้าใจวิธีคิดแบบนี้ ที่สำคัญคือ ไม่ได้โทรมาลาหรือแจ้งให้ใครทราบ จนผมให้ตามตัว จึงได้ทราบว่าไปหาลูกค้าข้างนอก แต่กลับมาไม่ทัน ก็เลยไม่มาแล้ว ผมแอบนึกในใจ "อ้าว! แล้วเมิงไม่คิดจะแจ้งให้ชาวบ้านชาวช่องรับรู้เลยหรือไง (วะ) แล้วประชุมนี่ จัดขึ้นเพื่อเมิงเลย เชิญซัพฯ ซึ่งเป็นคนนอกมาด้วยเนี่ย" เป็นอันว่า ผมต้องประชุมไปโดยไม่มีน้องเค้า และคงต้องไปนั่งเสียเวลาอธิบายงานให้ฟังอีก แทนที่วันนี้จะสรุปงานได้ ที่เด็ดกว่านั้นคือ น้องคนนั้นเค้า "ฝาก" น้องอีกคน มาขอโทษผม ทั้งๆ ที่เค้าควรจะโทรมาขอโทษด้วยตัวเอง ความจริงเรื่องนี้เ...

Post#313: เด็กหงส์ vs เด็กผี

Post#313: จู่ๆ ผมก็คิดถึงทีมฟุตบอลทีมโปรดขึ้นมาซะอย่างนั้น เป็นเรื่องถกเถียงกันมาช้านานระหว่างแฟนหงส์กับแฟนผี ว่าทีมไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน? เด็กหงส์มักจะพูดถึงความสำเร็จในอดีต ส่วนเด็กผีก็มักจะสู้ด้วยประโยคที่ว่า ปัจจุบันชั้นเจ๋งกว่า (ยกเว้นฤดูกาลที่เพิ่งจะผ่านไป ที่สร้างฮีโร่คนใหม่ที่มีตำแหน่งเป็น ผจก.เด็กผี ที่เด็กหงส์รักที่สุด ชิ) ผลงานล่าสุดของทั้ง 2 ทีม ทำให้ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เด็กหงส์กับเด็กผี กลับข้างกัน คือเด็กหงส์อวดว่า หงส์เป็นทีมที่ดีกว่า ในขณะที่เด็กผีก็เถียงขาดใจว่า ก่อนหน้านั้นหลายๆ ฤดูกาล ผีเจ๋งกว่าต่างหาก -"- สรุปแล้วก็ "เกรียน" พอกันทั้งคู่ แล้วเรื่องนี้มาเกี่ยวอะไรกับผม แล้วผมเรียนรู้อะไรจากความ "เกรียน" นี้ ^^ ผมก็ได้ข้อคิดที่ว่า ไม่ว่าเราจะเคยทำอะไรสำเร็จมากี่เรื่อง ก็ไม่ได้หมายความว่า เรื่องที่กำลังทำอยู่จะสำเร็จ และไม่ว่าเราจะแพ้มากี่ครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะแพ้ตลอดไป ตัวอย่างก็เห็นแล้ว ผ่าน 2 ทีมผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตและปัจจุบันนี้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ทั้ง 2 ทีมเรียนรู้อะไรจากผลงานที่เพิ่งผ่านพ้นไปกันแน่...

Post#312: แผนไปทาง ทำอีกทาง

Post#312: ตลอดครึ่งเช้าของวันนี้ ผมใช้เวลาไปกับการประชุมกับทีมขาย หลายต่อหลายครั้งผมพบว่า น้องๆ หลายคนยังไม่เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างการวางแผนกับการลงมือปฏิบัติงาน ที่ผมแอบเศร้าปนเซ็งเล็กๆ ก็คือ น้องๆ หลายคนที่ว่านั้น เข้าใจว่าการวางแผนกับการลงมือปฏิบัติงานนั้น เป็นคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง O_o เคยมั๊ยครับ ตอนนำเสนอแผนดูดีมีชาติตระกูล แต่ทำไมตอนทำมันถึงไปคนละเรื่อง ไม่ได้เป็นไปตามแผนเลย ไม่ว่าจะกิจกรรมที่ทำ งบประมาณ เงื่อนเวลา และเป้าหมาย เป็นเพราะตอนเสนอแผน ก็สักแต่ทำให้ดูดี เสนอแล้วก็แล้วกัน ส่วนตอนทำจริงก็อีกเรื่อง ทำเพื่ออะไรไม่รู้, วัดผลยังไงไม่สน, ลงทุนไม่อั้น, ยอดขายไม่กลับมา, ฯลฯ ดังนั้นเวลาน้องๆ นำเสนอแผน ผู้ที่เป็นผู้บริหารชั้นกลางต้องตรวจสอบให้ดี ว่าแผนที่น้องๆ นำเสนอนั้น นำไปปฏิบัติได้จริง และต้องหมั่นตรวจสอบเป็นระยะๆ หากผลงานไม่เป็นไปตามแผนงาน ผู้บริหารชั้นกลางนี่ล่ะครับ จะเป็นผู้ที่ต้องรับแรงกดดันมากที่สุด เพราะทั้งโดนนายตำหนิ และโดนลูกน้องใช้เป็นโล่ ทำงานกับเผางาน ไม่เหมือนกันนะครับ -"-

Post#311: ทำใจให้เป็นตาข่ายรับลม

Post#311: ช่วงเย็นวันนี้ ผมไปลงพื้นที่ดูจุดตั้งร้านค้ากับทีมงาน ระหว่างเดินทางก็เจอสภาพรถติดค่อนข้างสาหัส เราก็คุยงานไป คุยเรื่องสัพเพเหระฆ่าเวลาไป หมดเรื่องคุยก็แน่นอนว่าไม่พลาดการเข้าไปส่อง social media ทั้งหลายแหล่ (ซึ่งดูเหมือนเป็นกิจวัตรของทุกๆ คนไปแล้ว) ว่ากันที่จริง ผมก็ได้ความรู้และข้อมูลดีๆ จาก social media ต่างๆ ไม่น้อย หลายต่อหลายครั้งก็ได้ต่อยอดทางความคิดจาก post ต่างๆ และอดไม่ได้ที่จะหยิบมาแบ่งปันทุกท่าน ^^ วันนี้ก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมไปเจอ post หนึ่ง ที่ต้องบอกว่า ทำให้เกิดโมเม้นต์ในสมอง อารมณ์ประมาณ "ยูเรก้า" หรือเรียกว่า บรรลุโดยฉับพลัน วาทะที่อยากนำมาแชร์นั้น ว่าไว้ว่า "การทำชีวิตให้มีความสุขก็คือ ใครชื่นชมก็ไม่ลอยขึ้นฟ้า ใครนินทาก็ไม่จมลงดิน ทำใจให้เหมือนตาข่ายรับลม สัมผัสรู้ตัวตนของลม แต่ไม่เคยเก็บลมไว้ภายใน" ผมก็ไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้กล่าวไว้ แต่อยากจะเชื่อว่า ผู้กล่าวน่าจะเป็นผู้ทรงศีล เพราะข้อความข้างต้น แฝงนัยแห่งความเข้าใจธรรมะอย่างเต็มเปี่ยม การสัมผัสรู้ตัวตนของลม ก็เสมือนการที่เรารู้ว่าเราเกิดผัสสะต่อสิ่งที่มากระทบ และไม่ว่าผัสสะน...

Post#310: ไร้ "ท่าร่าง"

Post#310: ใครเคยดูหนังประเภทจอมยุทธ์หรือกำลังภายในบ้างครับ? ถ้าใครเกิดยุคเดียวกับผม ย่อมต้องคุ้นเคยดีกับพล็อตเรื่องประมาณ จอมมารฆ่าพ่อพระเอกตาย พระเอกต้องดั้นด้นฝึกวรยุทธ์ เพื่อท้ายที่สุดจะกลับมาแก้แค้นให้ท่านพ่อ ^^ และกระบวนท่าสุดยอดของอาจารย์หลายๆ สำนัก มักจะเป็น กระบวนท่า "ไร้กระบวนยุทธ์ (หรือไร้ท่าร่าง)" อ้าว! ก็ถ้าไร้กระบวนยุทธ์แล้วจะฝึกวรยุทธ์ทำไมให้ลำบาก ไร้กระบวนยุทธ์ก็แปลว่า ใช้ท่าอะไรก็ได้ไม่ใช่หรือ? หลายคนก็เข้าใจผิดแบบนี้ครับ การไร้กระบวนยุทธ์ มิใช่ การไม่หยั่งรู้วรยุทธ์ หากแต่รู้ทุกกระบวนยุทธ์ จนไม่จำเป็นต้องมีท่าร่าง หากเพราะรู้กระบวนยุทธ์ จึงพลิกแพลงรับมือได้โดยไม่จำกัดรูปแบบ รู้ว่าคู่สัประยุทธ์รุกมาแบบนี้ จะรับมืออย่างไร หรือหากคู่สัประยุทธ์ตั้งรับดังนี้ จะปรับกระบวนรุกอย่างไร ซึ่งที่เล่ามา มันเป็นคนละเรื่องกับการไม่รู้กระบวนยุทธ์ ก็เลยสู้ด้วย "มวยวัด" ซึ่งก็คือสู้มั่วๆ แบบไม่มีท่าร่าง ดูภาพเผินๆ การหยั่งรู้กระบวนท่า "ไร้กระบวนยุทธ์" จะเหมือนกับการไม่รู้วรยุทธ์ เพราะไม่มีท่าร่างเหมือนกัน แต่เนื้อแท้ต่างกันราวฟ้ากับเหว จอมยุทธ...

Post#309: ไปทางอ้อมเพื่อให้ถึงเป้าหมาย

Post#309: การได้อยู่กับลูก 3 วัน 2 คืน แบบนี้ เป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งของผม ^^ ด้วยความที่ปกติผมทำงานหนัก และมีบ่อยครั้งที่ผมต้องทำงานวันเสาร์ด้วย ดังนั้น การจะได้อยู่กับลูกเป็นเรื่องเป็นราวจึงไม่ค่อยมี ช่วงหยุดยาวๆ แบบนี้ จึงมีค่ามากสำหรับผม ที่อยู่กับลูกแทบจะ 24 ชั่วโมง... อยู่ทะเลคงไม่ได้ทำอย่างอื่น นอกจากก่อปราสาททรายและว่ายน้ำในสระ ลูกสาวและผมก็ทำกิจกรรมนี้ คราวที่แล้วผมเรียนรู้จากลูก ระหว่างก่อปราสาททรายด้วยกัน (Post#183) มาครั้งนี้ ผมก็ได้เรียนรู้บางอย่างระหว่างที่ว่ายน้ำอยู่กับลูก เราเล่นบอลลมกันในสระน้ำ แล้วลูกผมก็ออกความคิดว่า เราน่าเล่นเกมว่ายน้ำจับลูกบอลกัน พอเริ่มเล่น ปรากฏว่า ยิ่งลูกสาวผมออกแรงว่ายตรงไปที่ลูกบอลเร็วเท่าไหร่ ลูกบอลยิ่งหนีห่างออกไปเร็วเท่านั้น ไม่ว่าเธอจะพยายามยังไงก็แล้วแต่ เธอก็ไม่อาจว่ายเข้าไปใกล้ลูกบอลได้ ที่สุดแล้วผมต้องบอกให้เธอว่ายอ้อมๆ เข้าไปหาลูกบอลช้าๆ และเนิบๆ เธอจึงเก็บลูกบอลได้ แล้วเรื่องนี้สอนอะไรผม? ก็สอนว่า บางครั้งเราไม่อาจบรรลุเป้าหมายด้วยวิธีที่ตรงๆ ทื่อๆ เพราะอาจจะเป็นการผลักเป้าหมายให้ห่างออกไปอีก แต่เราอาจจะต้องใช้เส้...

Post#308: จิตมิอาจละทุกข์ได้หากไม่นิ่ง

Post#308: ผมแอบหนีมาอยู่ชะอำตั้งแต่เมื่อวาน นอนฟังเสียงคลื่นอยู่ริมหาด จู่ๆ ก็เกิดอารมณ์ศิลปินครับ ^^ ขออนุญาตเป็นกวีอีกซักหนนะครับ... ฟังเสียงคลื่นระรื่นชัดซัดริมหาด ประกายแดดประกาศแสงแผลงรังสี ต้องผิวกายให้อบอุ่นทั่วอินทรีย์ อาบฤดีให้คลายหนาวเมื่อคราวคืน สายลมพัดหวิวไหวให้เรื่อยเฉื่อย วอนเวลาให้เอื่อยไหลไม่อาจฝืน เอนกายพักไม่ไหวติงอิงกลมกลืน หลับผลัดตื่นใต้แผ่นผืนคัคนางค์ ทอดอารมณ์ส่งจิตสู่ห้วงนึก ปิดผนึกนิวรณ์จิตที่กั้นขวาง ทุกข์เพราะถือยึดไม่ปล่อยไม่ละวาง สุขเพราะว่างวางจึงสุขทุกข์จากไกล ตะกอนตกนอนก้นในน้ำนิ่ง จิตที่นิ่งทุกข์จึงตกตะกอนได้ จิตแส่ส่ายทุกข์จะดับได้ฉันใด คลื่นทะเลฤาหยุดได้หากต้องลม เมื่อปล่อยวางจิตจึงว่างไม่ยึดติด เมื่อรู้คิดจึงรู้ธรรมทำเหมาะสม มีศีล สมาธิ ปัญญา น่าชื่นชม จึงมิจมในวัฏฏะไตรลักษณ์เอย ขอให้มีความสุขกับวันหยุดยาวนี้นะครับ ^^

Post#307: ตบมือข้างเดียวมันคงไม่ดัง

Post#307: "ตบมือข้างเดียวมันคงไม่ดัง" ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนคงเคยได้ยินวลีนี้ แล้วจริงๆ วลีนี้เป็นจริงรึเปล่า? โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยครับ แต่ก็มีประสบการณ์ตรงหลายๆ ครั้งเหมือนกัน ที่ทำให้ต้องหักห้ามใจไม่ให้เกิดเสียงตบมือ เมื่อมีแรงปะทะ ย่อมเกิดแรงต้าน เป็นปรากฏการณ์สามัญที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เมื่อมีใครมาทำไม่ดีกับเรา เราก็ย่อมอยากตอบโต้ในลักษณะที่คล้ายกันหรือรุนแรงกว่า เรียกว่า แรงมาแรงไป ว่างั้น มีคนน้อยกว่าน้อย ที่วางจิตอยู่ในความนิ่ง ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดก็ตามที่มากระทบ เมื่อเราคิด หรือมีคำพูดหรือการกระทำใดๆ จากใครก็ตาม มากระทบกายหรือใจของเรา จิตย่อมเกิดการสั่นไหว ถ้าตามวาระจิตทัน เราย่อมระงับกาย วาจา ใจ ให้ละเว้นการตอบโต้ในทางอกุศลได้ แต่หากไม่รู้เท่าทันวาระจิต ย่อมก่อให้เกิดการโต้ตอบที่รุนแรง เกิดเป็นกรรมใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นวัฏจักรที่เราเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การจะตามวาระจิตให้ทันนั้นก็ยากอยู่แล้ว แต่การจะคุมให้จิตไม่ไปสั่งการร่างกายให้ตอบโต้ตามแรงมิจฉาอารมณ์นั้น กลับยากยิ่งกว่า เหตุเพราะต้องใช้สติ, ปัญญา และอุเบกขา ในระดับที่สูงกว่าปุถ...

Post#306: พรุ่งนี้ vs ชาติหน้า

Post#306: หลายครั้งที่ผมอดสงสัยไม่ได้ ว่าอะไรเป็นเส้นแบ่งระหว่างความจริงและความฝัน อะไรเป็นเขตแดนของการที่เราจะตัดสินว่า ความฝันของเราจะกลายเป็นความจริงได้มั๊ย? เราเคยคุยกันเรื่องนี้ ไว้นานพอดูเหมือนกัน (Post#48) ครั้งนั้นผมแชร์ไว้ว่า ระยะห่างของความฝันกับความจริงก็คือการลงมือทำ เราไม่มีทางรู้หรอกครับ ว่าลงมือทำแล้วจะทำให้ความฝันเป็นจริงได้รึเปล่า แต่โดยหลักการแล้ว ระยะทางมันน่าจะใกล้กว่านั่งฝันโดยไม่ลงมือทำแน่ๆ ในเมื่อชายแดนของความฝันกับความจริง ก็คือวันที่เราเริ่มลงมือทำ แปลว่าถ้าเราได้แต่ฝัน ได้แต่คิดว่า คาดว่า ไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ระยะเวลาในการทำความฝันให้เป็นจริงนั้น ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน มีวาทะหนึ่ง ที่ไม่ทราบว่าใครกล่าวไว้ (เข้าใจว่ามาจากภาษิตของชาวทิเบต) แต่ทำให้ผมเห็นถึงความสำคัญของการลงมือทำโดยไม่ลังเลหรือผัดวันประกันพรุ่งอยู่ ได้อย่างชัดเจน วาทะนั้นว่าไว้ว่า... "ไม่มีใครรู้หรอก ว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อน" และในเมื่อไม่มีใครรู้ เราก็ควรจะลงมือทำซะเดี๋ยวนี้ดีมั๊ยครับ เผื่อว่าพรุ่งนี้กลายเป็นชาติหน้า (หรือหมายความว่า ถ้...

Post#305: อิทธิบาท 4 ในการทำงาน

Post#305: หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใครซักคนประสบความสำเร็จ ก้าวหน้าในชีวิตการทำงานนั้น ย่อมต้องมี อิทธิบาท 4 เป็นรากฐาน อย่าพึ่งเบือนหน้าหนี เพราะจั่วหัวมาในแนวธรรมะนะครับ เพราะนี่เป็นความจริงหนึ่งที่เรามักมองข้ามไป ทั้งๆ ที่ธรรมะคือความจริงแท้ที่ควรนำมาพิจารณาและปฏิบัติ ใครๆ ที่เป็นชาวพุทธคงท่องได้หมดล่ะครับ ว่าอิทธิบาท 4 ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ใช่ครับ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แปลง่ายๆ ว่า รักในงาน หมั่นเพียรในงาน เอาใจใส่ในงาน และหมั่นพิจารณาเนื้องาน หากไม่รักในงานที่ทำ ย่อมทำให้งานสำเร็จได้ยาก เพราะเราขาดแรงจูงใจ ขาดแรงผลักดัน เมื่อขาดความรักในงานเป็นพื้นฐาน จึงกลายเป็นพวกทำงานเช้าชามเย็นชาม สักแต่ทำให้จบๆ ไป เน้นปริมาณแต่ไม่เคยใส่ใจในคุณภาพ เมื่อขาดความรักในงาน จึงไม่มีความหมั่นเพียรในงาน ขาด ลา มาสาย จัดเต็มทุกอย่าง, ทำงานตามเวลา คือให้เวลาไปก่อน เดี๋ยวตามไป, เส้นตายแปลว่าอะไร ก็ไม่สนใจ เสร็จงานเมื่ออยากเสร็จ เมื่อขาดความรักในงาน จึงขาดความเอาใจใส่ในงาน คุณภาพของงานจะดีหรือไม่ ก็ไม่แยแส, งานจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็น, งานไม่เสร็จก็ทิ้ง...

Post#304: การสะท้อนตัวตนจากข้างใน

Post#304: ขณะที่เขียน Post นี้ ผมกำลังนั่งรอนักร้องอันดับหนึ่งของประเทศเพื่อนบ้านเรา ถ่ายแฟชั่นเพื่อเตรียมการเปิดตัวสินค้าใหม่ ต้องยอมรับว่า ความเป็นปัจเจก บวกกับความถึงพร้อมไปด้วยประสบการณ์ในการทำงานของเธอนั้น มีส่วนช่วยได้มากจริงๆ ครับ เพราะเธอเห็นภาพตัวเองชัดเจน จนเรียกได้ว่า เธอเป็น Art Director ในตัวเองเสร็จสรรพ เธอสรุปได้เองหมดทุกมุม ว่าต้องแต่งตัวยังไง แต่งหน้าแบบไหน ทำผมทรงไหน ต้องโพสต์ท่ายังไง แบบไหนใช่ แบบไหนไม่ใช่ แม้เธอจะฟังความเห็นของทีมอยู่บ้าง แต่ทุกคนทราบดีว่า สุดท้ายการตัดสินใจทั้งหมดจะต้องมาจากเธอ ความจริงมันก็ถูกต้องแล้วล่ะครับ ก็ในเมื่อเธอเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนขนาดนี้ เราก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรไปไปแย้งเธอ? เพราะเราสัมผัสได้เลยครับ ว่าความชัดเจนของเธอนั้น เป็นผลจากความเชื่อมั่นที่ออกมาจากข้างในของเธอ ที่เราเรียกว่า "inner" นั่นแหละครับ และมันมากพอที่จะทำให้ทุกคนรอบข้างเชื่อมั่นได้อย่างสนิทใจ ว่าเธอคือ "ของจริง" อารมณ์ประมาณ เราเชื่อว่าเราขับรถดี แต่ถ้าให้ไปนั่งรถคันเดียวกับชูมักเกอร์ เราจะกล้าอาสาเป็นคนขับแทนเค้ามั๊ยครับ? หันกลับมาดูชีว...