Skip to main content

Post#300: ช่วยลูกน้องเท่ากับช่วยตัวเรา

Post#300:
เมื่อเช้านี้ผมพอมีเวลาว่าง เหตุเพราะประชุมถูกยกเลิกกะทันหันโดยลูกค้า

ให้พอดีว่า มีลูกน้องท่านหนึ่งมาปรึกษาด่วน เรื่องเลือกพื้นที่ขายสินค้า โดยสรุปว่าสัปดาห์หน้าจะไปดูพื้นที่จริง ผมมองหน้าเธอแล้วถามว่า ทำไมต้องเป็นสัปดาห์หน้า ในเมื่อมันเป็นเรื่องด่วน?

เธอเงียบไป 2 วินาที ก่อนที่ผมจะนึกอะไรบางอย่างออก แล้วผมก็ให้เธอเชิญผู้ช่วยฯ ของผมมา สอบถามถึงเวลาที่เราต้องใช้หากต้องไปดูพื้นที่ เพราะวันนี้บ่ายผมมีนัดประชุมสำคัญ

หลังจากทำความเข้าใจกันไม่เกิน 5 นาที เธอก็เป็นฝ่ายชวนผม "ไปดูเดี๋ยวนี้เลยมั๊ยพี่" ผมแอบอมยิ้มในใจ แล้วพยักหน้ารับด้วยความยินดีพร้อมตอบว่า "ไปสิครับ"

เราใช้เวลาคุยกันอีกหน่อยระหว่างเดินทาง เมื่อไปถึงพื้นที่ ผมใช้เวลาเดินดูพื้นที่กับเธอไม่ถึง 10 นาที ก็สรุปร่วมกันได้ ว่าพื้นที่นี้มีโอกาสทางการขายอยู่บ้าง ไม่ได้แย่เหมือนตอนที่เห็นในกระดาษ

เสร็จแล้วก็เดินทางกลับ รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มประโยค "ทำไม" ของผม จนกลับถึง Office ก็ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ขาดเกินนิดหน่อย

ทำไมงานที่ควรจะต้องเริ่มต้นทำในสัปดาห์หน้า ถึงเสร็จสิ้นลงภายใน 1 ชั่วโมงครึ่ง?

ย่อมต้องเป็นเพราะผมอ่านลูกน้องออก ว่าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง...

เธอแค่ตัดสินไปก่อนหน้าแล้ว ว่าพื้นที่นี้ไม่ดี ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นพื้นที่จริง แต่ผมเลือกที่จะใช้วิธีคุยและกระตุ้นให้เธอรู้สึกว่า การไปดูพื้นที่จริงเป็นเรื่องสำคัญ น่าจะลองไปดูก่อน ใช่ไม่ใช่ ก็ว่ากันอีกที และก็อ่านออกที่รู้ว่า เธอรู้สึกว่ามันลำบาก เพราะกับคนที่ไม่มีรถ มันก็เดินทางลำบากอยู่ เมื่อเธอลองชวนผม ผมก็เลยตกลงไปด้วยทันที เพราะคำนวณเวลาแล้ว ว่าทันเวลาประชุมช่วงบ่ายแน่ๆ

งานที่ควรจะไม่คืบหน้า จึงร่นระยะเวลาไปได้อีกอย่างน้อย 50 ชั่วโมง และผมได้แสดงให้เธอเห็นว่า อย่าด่วนตัดสินใจกับข้อมูลที่ยังไม่ปรากฏต่อหน้า พร้อมๆ กับแสดงให้เธอเห็นว่า งานบางอย่างมันไม่ได้ยากอย่างที่เธอคิด


สุขสันต์วันศุกร์ครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...