Skip to main content

Post#315: คุยต่อหน้า vs คุยผ่านสื่อ

Post#315:
เมื่อวานผมเล่าถึงลูกน้องที่อาจจะทำตัวไม่เหมาะสมในการขาดประชุมและการขอโทษ

แล้วก็ทำให้ผมนึกต่อไปว่า มีอยู่หลายเรื่องหลากสถานการณ์ที่เราควรต้องไปคุยกันต่อหน้า และมีหลายสถานการณ์เช่นกันที่คุยกันผ่าน Digital Media (ทั้ง eMail, Facebook, Line หรืออื่นๆ) จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

นอกจากนั้น ก็มีอีกหลายสถานการณ์ที่ควรผสมผสานการคุยต่อหน้าและสื่อสารผ่าน Digital Media ไปควบคู่กัน

ออกตัวก่อนว่า ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ได้หมายความว่า นี่จะต้องเป็นบรรทัดฐานให้ใครยึดเป็นแบบปฏิบัติ

เรื่องอะไรบ้างที่ควรคุยกันต่อหน้า?

- เรื่องผิดใจที่ไม่ใหญ่ไม่โต ถ้ารีบไปคุยกันแต่เนิ่นๆ ก็คงไม่บานปลาย ดีกว่าฟังผ่านคนโน้น ฝากข้อความผ่านคนนี้

- เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันหลายๆ ฝ่าย ที่เราคุ้นเคยกันในรูปแบบ "การประชุม" นั่นแหละครับ

- การไปเชื้อเชิญผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าผู้เชิญมากๆ (มีข้อแม้ว่าถ้าอยู่ห่างไกลกันมากๆ ท่านก็คงเข้าใจ)

- การสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ตาม เพราะเราต้องประเมิน "อวัจนภาษา" ประกอบการพิจารณาเลือกคน

ส่วนเรื่องที่ควรคุยผ่าน Digital Media จะดีกว่า ก็เช่น

- เรื่องที่คุยแล้ว ต้องการให้ผู้รับสาร นำไปสื่อสารต่อ หรือส่งต่อ จะได้ลดความผิดพลาด ไม่เกิดเหตุการณ์ "ฤาษีแปลงสาร"

- เรื่องที่ต้องการให้ทั้งเราและผู้รับสาร เก็บไว้ใช้อ้างอิงในอนาคต หรือนำไปเป็นหลักฐาน หรือนำไปใช้งานต่อ

- เรื่องที่ต้องมีการเรียบเรียงคำพูดและลำดับก่อน-หลังของข้อมูล ซึ่งการส่งผ่าน Digital Media จะทำให้การเตรียมถ้อยคำและการลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากกว่า

ส่วนเรื่องที่ต้องใช้ Social Media ร่วมไปกับการพูดคุยต่อหน้า ก็เช่น

- เรื่องที่ต้องสรุปเป็นแผนภูมิแผนผัง, มีตัวเลขประกอบเยอะๆ, มีเอกสารอ้างอิง ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะไปพบกัน

- เรื่องผิดใจใหญ่โต ที่พยายามขอไปเจอแล้ว แต่คู่กรณีไม่ยอมเจอ จึงควรส่งข้อความไปเคลียร์หรืออธิบายก่อน อย่างน้อยสารที่เราต้องการสื่อยังมีโอกาสไปถึงเค้าได้บ้าง


ก็ประมาณนี้ล่ะครับ ใครมีความเห็นด้วยหรือโต้แย้ง หรือต้องการเพิ่มเติมก็อย่าลืมมาแชร์กันนะครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...