Skip to main content

Post#316: โง่ vs ไม่รู้

Post#316:
เมื่อวานขณะผมอยู่บนรถไฟฟ้า ได้ยินคุณพี่ท่านหนึ่งบ่นลูกทางโทรศัพท์ว่า "โง่จริง แค่นี้ก็ไม่รู้"

ฟังแล้วผมก็คิดต่อ ว่า "โง่" กับ "ไม่รู้" มันไม่น่าจะเหมือนกัน

ถ้าคำว่า "โง่" เป็นคำเดียวกับคำว่า "ไม่รู้" โลกนี้คงไม่มีใครที่ "ไม่โง่" เพื่อความแน่ใจผมเลยไปเปิดพจนานุกรมดู ลองแปลไทยเป็นไทยซิว่า ผมเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า

เปิดพจนานุกรมเสร็จก็พบว่า "โง่" แปลว่า เขลาหรือไม่รู้ แต่ "ไม่รู้" ไม่ได้แปลว่า "โง่" นั่นก็สรุปได้ว่า ถ้าเราจะลงความเห็นว่าใครซักคน "โง่" คนๆ นั้น อาจจะเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องราวที่คนทั่วๆ ไปส่วนใหญรู้ หรืออาจจะหมายถึงคนที่รู้ทั้งรู้ว่าทำไปแล้วจะเกิดผลเสีย แต่ก็ยังดึงดันที่จะทำ

ส่วนคนที่เค้า "ไม่รู้" นั้น ต้องไปดูอีกที ว่าแม้เค้าจะไม่รู้ แต่เค้าพร้อมจะ "เรียนรู้" รึเปล่า ถ้าเค้าพร้อมจะเรียนรู้ แปลว่า เค้ามีโอกาสจะหลุดพ้นจากความ "ไม่รู้" และห่างไกลจากความเป็นคน "โง่"

แต่ถ้าเค้าไม่รู้ แล้วก็ยังคงปิดกั้นความรู้ มีความสุขกับความเป็นคน "ไม่รู้" ต่อไป ก็อาจสรุปได้ว่า เค้าคนนั้น "โง่" ในการใช้ชีวิต แม้ว่าอาจจะฉลาดในการเลี่ยงงานหรือเลี่ยงความรับผิดชอบ เพราะเค้าจะอ้างได้ว่า "ไม่รู้" ก็เลย "ไม่ต้องทำ" และ "ไม่ต้องรับผิดชอบ" ไงครับ

คนไม่รู้ หากขวนขวายและพยายามที่จะรู้ จึงควรค่าแก่การยกย่องและสนับสนุน สำหรับคนที่ไม่รู้และไม่พยายามที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็อาจจะก้าวหน้าได้ยากหน่อย ส่วนคนที่ไม่รู้ แต่ชอบอวดรู้ อันนี้ผมขอไม่คอมเม้นต์ กลัวว่าจะไปก้าวล่วงคนอื่น และอาจจะเข้าตัวได้ อิอิ

เมื่อเราทำงานมากขึ้น นานขึ้น บ่อยขึ้น เราจะพบว่า แท้จริงแล้ว ยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมาก บางเรื่องที่เราคิดว่าเรา "รู้แล้ว" เรายังอาจรู้เพิ่มได้ เพราะอาจมีบางอย่างในงานนั้น ที่เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเรายัง "ไม่รู้"

องค์ความรู้ในโลกนี้ มีมากเกินกว่าที่ปัจเจกบุคคลคนใดจะเจนจบเรียนรู้ได้หมด หากเพราะเราเป็นปุถุชนคนธรรมดา หาใช่องค์พระสัพพัญญูผู้รู้แจ้ง

ดังนั้น ในเมื่อความไม่รู้เป็นของธรรมดาโลก เราจึงไม่ควรกังวลกับความไม่รู้ แต่สิ่งที่ควรใส่ใจคือ เมื่อรู้แล้วว่าไม่รู้ ทำยังไงถึงจะรู้ แบบนี้ต่างหาก ที่จะทำให้ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน ก้าวไปข้างหน้า ลองถามตัวเองดูก็ได้ครับ ว่าวันนี้ เรารู้มากกว่าเมื่อวานนี้รึเปล่า?

ถ้าเราเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้ เราจะไม่หยุดค้นหาและพัฒนา นั่นจึงเป็น "วิถีแห่งปราชญ์" ที่เราควรเลือกเดิน


มีคำปราชญ์คำหนึ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองอยู่เสมอ ท่านว่าไว้ว่า "ผู้ที่รู้ตนว่า "ไม่รู้" จึ่งเป็น "ผู้รู้""

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...