Skip to main content

Post#325: Thailand is back.

Post#325:
ผมมีโอกาสได้ไปเข้าร่วม International Conference ที่โรงแรมดุสิตธานี เมื่อเช้าวันนี้

หัวข้อของการพูดคุย ก็คือ "Thailand is back." หรือ "ประเทศไทยกลับมาแล้ว" ซึ่ง Guest Speaker ทุกท่าน ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลชั้นนำระดับประเทศทั้งสิ้น

เนื้อหาส่วนใหญ่ก็ว่าด้วยเรื่อง "ความเชื่อมั่น" ไปพร้อมๆ กับ "รากฐานต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่"

โดยส่วนตัวผมว่าก็ถูก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราล้วนต้องเริ่มต้นด้วย "ความเชื่อมั่น" และความเชื่อมั่นนั้น จะต้องประกอบไปด้วย "ทัศนคติเชิงบวก" และ "ปัจจัยหนุนส่ง" หากปราศจากตัวใดตัวหนึ่งไป "ความเชื่อมั่น" จะเกิดขึ้นได้ยากมาก

ขาด "ปัจจัยหนุนส่ง" คงทำให้ "ความเชื่อมั่น" เป็นได้แค่ "ความมุ่งหวัง" และหากขาด "ทัศนคติเชิงบวก" ก็คงทำให้ "ความเขื่อมั่น" กลายเป็นแค่ "การรอคอยปาฏิหารย์"

ลองมาทบทวนกันดูสิครับ ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตเราแย่ เราก็จะมัวมองหาแต่เหตุผลสนับสนุนว่า ชีวิตเรานี่มันแย่ เมื่อมีทัศนคติเป็นลบ ชีวิตที่เหลือของเราก็ไม่มีทางเป็นบวก แต่ถ้าเรารู้ว่าชีวิตช่วงนี้แย่ หากแต่เราเชื่อว่า ชีวิตของเราต้องมีทางไปต่อ ก็จะทำให้เรากล้าที่จะมองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพื่อผลักให้ชีวิตไปข้างหน้า ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่

ถ้าอยากให้ประเทศไทยดีขึ้น เราต้องเริ่มด้วยความเชื่อมั่นก่อน แล้วลงมือทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีระเบียบและแบบแผน เราบอบช้ำมามากเกินกว่าจะแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืนครับ ดังนั้น เราต้องมีน้ำอดน้ำทนมากๆ กับสิ่งที่เราจะต้องฝ่าไป

แน่นอนว่า ความเชื่อมั่นของเรา ต้องวางอยู่บนรากฐานของความเป็นไปได้และความจริง ไม่ใช่เชื่อว่า เราจะเป็นหมอได้ โดยที่เราไม่เคยเรียนแพทยศาสตร์ หรือไม่ใช่เชื่อว่า เราจะบินได้ ทั้งที่มนุษย์บินไม่ได้

ดังนั้น "เชื่อมั่น" กับ "เพ้อฝัน" ก็จึงต่างกันตรงที่ "คามเป็นจริงของปัจจัยหนุนส่ง" นั่นเอง

ประเทศไทยมีปัจจัยหนุนส่งอยู่มากมาย ทั้งทำเลที่ตั้ง, ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน, ทั้งผู้คน และ ฯลฯ จะขาดก็แต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี่แหละครับ ซึ่งในอดีตเราเสียกรุงก็เพราะ "ขาดสามัคคี" และเราก็ไม่ได้เรียนรู้จากอดีตเลย

กลับมาคุยกันอีกนิดเรื่องความเชื่อมั่น

แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า เรากำลัง "เชื่อมั่น" ผิดๆ อยู่รึเปล่า สิ่งที่เราคิดไว้ว่ามันน่าจะเป็นยังงู้น ยังงี้ จริงๆ แล้ว เราอาจจะประเมินผิดไปแบบคนละทางเลยก็ได้นี่นา?

ใช่ครับ ผมก็ไม่เถียงว่า เราอาจจะเชื่อมั่นผิดๆ แต่ตราบเท่าที่ความผิดพลาดนั้น วางอยู่บนรากฐานของตรรกะที่เป็นเหตุเป็นผล ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่า ผม "รับได้" กับความผิดพลาดแบบนี้ แต่ถ้าความผิดพลาดนั้นเกิดจากตรรกะที่เลื่อนลอย มาจากการคาดคะเนและประเมินแบบไม่สมเหตุสมผล แบบนี้ ผมว่าต้องคุยกันยาว

ถ้าอยากให้ Thailand is back. เราก็คงต้องช่วยกันทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่รอคอยอย่างเดียว เราต้องทำด้วยการลงมือทำจริงๆ ไม่ใช่ทำด้วยปาก และไม่ทำตัวแบบ "มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ"


ช่วยกันเพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคนนะครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...