Post323:
ผมเชื่อว่า ผู้คนส่วนใหญ่ ยังคงมีนิสัยเสียดายข้าวของ บางชิ้นรู้ทั้งรู้ ว่าไม่ได้ใช้แล้ว แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ลงจริงๆ
บ่อยครั้งเรามักจะติดกับดักของความเสียดาย อาจเป็นเพราะของชิ้นนั้นมีราคาแพง หายาก หรือเพราะเริ่มซื้อชิ้นแรกมาแล้ว ก็ต้องเก็บให้ครบเป็นเซ็ต -"-
และโดยมาก ของที่เราตัดใจทิ้งไม่ได้ ก็เป็นเพราะของชิ้นนั้นมีมูลค่าทางใจ มีเรื่องราว มีที่มา มีความทรงจำ มีอดีต
แต่ไม่ว่า เราจะเก็บมันไว้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปๆ สิ่งของที่มีราคา ก็จะเริ่มเสื่อมราคา ส่วนสิ่งของที่มีความทรงจำฝังอยู่ ก็จะเริ่มเจือจาง
เมื่อวันนั้นมาถึง เราก็มักจะตอบตัวเองหรือคนอื่นๆ ไม่ได้ว่า สิ่งของที่เราหวงแหนและเก็บรักษาไว้ โดยไม่เคยเอาออกมาใช้อีกเลยเป็นสิบๆ ปีเนี่ย "มันสำคัญตรงไหน (ฟ่ะ)"
ตัวอย่างเช่น เราเก็บสะสมหนังสือนั่น นู่น นี่ เวลาผ่านไปเป็นปีๆ เราก็ไม่เคยเอาหนังสือนั้นมาอ่าน รื้อบ้านอีกที ปลวกแทะบ้าง เปียกฝนบ้าง สุดท้ายเราก็ต้องทิ้ง
เราเก็บการ์ดที่ได้จากแฟนเก่า รูปถ่ายเก่าๆ ของขวัญ ฯลฯ ไว้เป็นอย่างดี เอาออกมาดูครั้งไหนก็อมยิ้มถึงเรื่องเก่าๆ ดูเสร็จแล้วก็เก็บ วนเวียนอยู่แบบนี้ (อิอิ ผมก็เป็น ^^)
เอาล่ะ ของที่ยังเรียกรอยยิ้มอยู่ ก็น่าเก็บล่ะครับ แต่เพื่อนรุ่นน้องของผมบางคน รื้อของที่แฟนเก่าให้มาดูทีไร ก็เป็นต้องเสียน้ำตาทุกที ดูเสร็จแล้วก็เก็บ วนเวียนอยู่ยังงี้
ผมก็งงทุกทีว่า เก็บไว้แล้วเศร้า เมิงจะเก็บทำไม เฮ้อ! แต่เราก็ไม่ใช่เค้า เราก็คงไม่เข้าใจ ก็เลยได้แต่นึกในใจ ไม่ได้ไปพูดหรือยุ่งอะไรกับน้องเค้า หวังว่า วันหนึ่งเค้าก็คงคิดได้เอง
หรือเอาตัวอย่างแบบฮาๆ นี่ดีกว่าครับ ไม่ต้องอาศัยเวลาเป็นสิบๆ ปี ก็พิสูจน์ความช่างเสียดายของเราๆ ได้เลย นั่นก็คือไปกินข้าวนอกบ้านแล้วกินไม่หมด เราก็ชอบห่อกลับบ้าน สุดท้ายไอ้ที่ห่อกลับไป เราก็ไม่ได้กิน แปลว่าท้ายสุดแล้ว ก็แค่หอบของห่อนั้น มาเปลี่ยนที่ทิ้ง
คิดแล้วผมก็ขำ นี่แหล่ะหนอมนุษย์ และขำกว่าเดิมตรงที่ ผมเองก็โดนภรรยาบ่นอยู่เป็นประจำ ว่าของที่เก็บๆ ไว้น่ะ จะขนไปทิ้งเมื่อหร่ายยยยย >_<"
นี่แหละครับ บางทีคนเราก็คิดได้ แต่ก็ยังทำไม่ได้ เข้าทำนอง "สมองเข้าใจ แต่หัวใจไม่รับ"
อืมมม ใครมีวิธีแก้ความช่างเสียดายบ้างเอ่ย อยากฟังจังเลยครับ ^^
Comments
Post a Comment