Skip to main content

Post#2-155: อำนาจ, หน้าที่ และความรับผิดชอบ

Post#2-155:
วันนี้เราคุยกันยาวหน่อย และอยากให้อ่านจนจบจริงๆ ครับ ^^

โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างทนไม่ค่อยได้กับการที่เราแยกแยะเรื่องอำนาจ, หน้าที่ และความรับผิดชอบ ไม่ค่อยจะเป็น

และที่ค่อนข้างเศร้าก็คือ เรามักพบว่า กรณีแบบนี้ มักจะเกิดจากคนใกล้ตัวของเราซะด้วยสิครับ...

แต่จะว่าไปแล้ว ผมคิดว่า กรณีแบบนี้ ก็คงพบได้ในทุกครอบครัว ทุกสังคม หรือทุกองค์กร นั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าเมื่อเกิดกรณีแบบนี้อยู่ใกล้ๆ ตัว ก็เลยทำให้เราสังเกตเห็นได้ง่ายหน่อย ก็เท่านั้น

...

บ่อยครั้งมากๆ ที่เราอาจจะมึนหรือเข้าใจผิดๆ ในเรื่องอำนาจ, หน้าที่ และความรับผิดชอบ ที่เรามี 

เช่นเรื่องที่เราไม่มีอำนาจ แต่เรากลับเข้าใจไปเองว่าเรามี เราก็เลยคิดเอง เออเอง และตัดสินใจเองหน้าตาเฉย และไม่ได้รู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปทั้งที่ไม่มีอำนาจนั้นน่ะ เป็นความผิดซะด้วยซ้ำไป

บางครั้งเราก็อาจจะนึกไม่ออกว่า หน้าที่ของตัวเองคืออะไร และมักจะหลงไปช่วยงานชาวบ้าน ทั้งที่งานของตัวเอง ยังไม่เสร็จหรือยังไม่ได้เริ่มทำเลยด้วยซ้ำไป

สุดท้ายงานตัวเองก็ไม่มีจะส่ง กลายเป็นพวกบกพร่องในเรื่องความรับผิดชอบไปอย่างไม่น่าจะเป็น -"-

เมื่อไม่รู้จักขอบอำนาจที่ตัวเองมี ไม่รู้จักหน้าที่ที่ตัวเราต้องทำ ก็ส่งผลให้ความรับผิดชอบของเราบกพร่อง...เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่

...

นึกๆ ดู ผมก็มองไม่เห็นถึงความคุ้มค่าใดๆ เลย เพราะงานตัวเองไม่เสร็จ ก็ไม่แคล้วโดนนายตำหนิ แต่งานที่ไปช่วยคนอื่นทำ อย่างมากก็คงได้รับคำขอบคุณ

แล้วจะไปให้เหตุผลกับนายว่าไงดีครับ?

จะบอกนายว่า "งาน ผม/หนู ไม่เสร็จ เพราะไปช่วยงานของคนอื่นอยู่" แล้วคิดว่านายจะตอบเราว่าไงครับ "ดีจัง น่าชื่นชม" หรือ "ใครให้ไปเผือกเรื่องคนอื่น"

สุดท้ายก็คงกลายเป็นเรื่องเศร้า หากเราต้องกลายเป็นสัญลักษณ์ของ "พวกทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องที่ตัวเองต้องทำ"

...

หน้าที่นั้น มาพร้อมกับความรับผิดชอบ และขนาดของความรับผิดชอบเอง ก็จะถูกกำกับไว้ด้วยอำนาจที่ได้รับมอบหมาย โดยมากแม้ไม่ได้เขียนหรือตกลงกันไว้ แต่ก็มักจะเข้าใจได้ด้วย common sense

ที่เป็นตลกร้ายก็คือ บางเรื่องที่เขียนไว้ใน JD ชัดเจน เราไม่ยักจะกล้าทำ แต่บางเรื่องที่ไม่ได้เขียนไว้ เรากลับลงมือทำอย่างมั่นใจ (ผิดๆ) ไปซะงั้น

อย่างที่ผมคุยให้ฟังบ่อยๆ ล่ะครับ เรื่องไหนไม่มั่นใจ ถามไว้ก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะถามแล้วโดนนายตำหนิ (หรือด่า หรือแดกดัน หรืออะไรทำนองนี้) ก็ยังดีกว่า ทำไปแล้วผิด แล้วโดนด่าซ้ำ

แบบแรก อาจเจ็บใจ แต่งานไม่เสีย ส่วนแบบหลังเจ็บใจด้วย เสียงานด้วย...

อันตรายครับ เรื่องที่ทำไปแล้วมีแต่ "ขาดทุน" หรือ "เสมอตัว" หามุมที่จะเป็น "กำไร" ได้ยากแบบนี้

...

ตลอดหลายปีที่ทำงานมา ผมพบว่า งานหลายเรื่องที่มันยุ่งเหยิง ก็เกิดจากการที่เราไม่เคารพหรือเข้าใจผิดๆ ในอำนาจ, หน้าที่ และความรับผิดชอบ ที่เรามี นี่แหละครับ

บางคนทำผิดครั้งแรกก็พอเข้าใจ แต่ผิดบ่อยๆ แล้วไม่รู้จักแก้ไข งานพลาดก็ได้แต่ขอโทษ โดยไม่เคยปรับปรุงวิธีทำงาน ไม่เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตน ครั้นผิดบ่อยเข้าๆ โดนนายลงโทษ ก็ยังมาหาว่านายใจร้าย ไม่รู้จักให้อภัยอีก

...ถ้าเป็นแบบนี้ ผมก็ว่าไม่ค่อยยุติธรรมกับนายและองค์กรซักเท่าไหร่เลยนะครับ

การให้อภัยมีไว้สำหรับความผิดพลาด "โดยไม่รู้" แต่ผิดพลาด "โดยไม่เรียนรู้" นี่ ยากจริงๆ ที่นายหรือองค์กรจะปล่อยให้ผ่านๆ ไปได้ทุกครั้ง

...

เอ...หรือว่าจริงๆ แล้ว เราอาจจะไม่ได้ทำผิดบ่อยอย่างที่นายหรือองค์กรมากล่าวโทษกัน...

เราอาจจะทำผิดแค่ 2 ครั้ง เท่านั้นรึเปล่า?

.
.
.

คือ..."ครั้งแล้ว" กับ "ครั้งเล่า"

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...