Post#2-164:
คืนวานนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง เพราะเธอขอให้ผมเป็น Reference ให้สำหรับการเรียนต่อปริญญาโท
ตอนหนึ่งของการสนทนา เธอเล่าให้ฟังว่า มีหลายคนทำให้เธอจิตตกเพราะคำพูด ประมาณว่า จะเรียนไปเพื่ออะไร ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย
เธอไม่เข้าใจว่า การตัดสินใจจะเรียนต่อในสายงานที่เธอรักและหวังจะใช้มันต่อยอดอนาคตของตัวเองน่ะ มันผิดตรงไหนกันแน่ หรือว่าจริงๆ แล้วเธอควรจะ learning by doing แทนที่จะเรียนต่อเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้?
...
ผมคิดว่าไม่ใช่แค่เธอที่เจอเรื่องราวบั่นทอนความรู้สึกและกำลังใจแบบนี้ แต่เราหลายๆ คน มักจะเจอ "ผู้หวังดี" ในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ
เราไม่อาจบอกว่าคนอื่นมีวิธีการเรียนรู้ที่ไม่ถูกต้อง เพียงเพราะว่าเค้ามีวิธีการที่ไม่เหมือนกับเรา เพราะรูปแบบในการคิดและเรียนรู้ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
เราน่าจะรู้ตัวเราเองดีที่สุด ว่าเราเหมาะกับการเรียนรู้แบบไหน แบบเป็นเรื่องเป็นราว หรือแบบครูพักลักจำ เพราะบางคนมีโครงสร้างทางความคิดแบบเป็นขั้นเป็นตอน และบางคนก็อาจมีโครงสร้างทางความคิดแบบรวบยอด
ยกตัวอย่างย้อนไปไกลหน่อย สมัยที่ผมเป็นนักศึกษา...เพื่อนผมบางคนนี่ ฟังอาจารย์สอนปุ๊บ เข้าใจเลย ไม่ต้องอ่านหนังสือหนักก็ทำข้อสอบได้
บางคนก็ถนัดแบบฟังแล้วคิดตาม แล้วก็อ่านหนังสือหนักๆ อ่านหลายๆ เที่ยว และอีกหลายๆ คนที่รอเพื่อนติวให้ เพราะอ่านหนังสือหนาๆ หนักๆ ไม่ได้ บางครั้งฟัง brief หน้าห้องสอบก็มี -"-
...
ย้อนกลับมาที่อดีตลูกน้องของผม ผมว่าจริงๆ แล้วสถานการณ์ของเธอก็ไม่ต่างกัน และผมก็ให้กำลังใจเธอว่า อย่าได้แคร์คนรอบข้างให้มากนัก ถ้าพ่อกับแม่สนับสนุน และตัวเองก็รู้สึกว่า การเรียนรู้แบบนี้มันใช่ ก็แล้วจะต้องกังวลอะไรอีก
ที่ต้องเตือนตัวเองน่ะ คือเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบไหนก็ไม่ค่อยสำคัญเท่ากับว่าจะเรียนรู้ไปจนสุดทางได้รึเปล่าต่างหาก
ถ้าล้มเลิกกลางคันก็แปลว่า เราไม่ได้ชอบมันจริงๆ มุ่งมั่นยังไม่มาก บากบั่นยังไม่พอ...ดีกรีปริญญาโทน่ะ เป็นผลพลอยได้ แต่เป้าหมายหลักคือวิชาความรู้ และ connection ที่จะเก็บเกี่ยวมาได้ระหว่างเรียนต่างหาก
สู้เค้านะ...อย่ายอมแพ้
Comments
Post a Comment