Skip to main content

Posts

Showing posts from October, 2015

Post#3-54: Finding yourself in a hole...

Post#3-54: เรื่องหนึ่งที่มนุษย์เกือบทุกผู้ทุกนามต้องเคยอยากรู้ก็คือ "ถ้าทำแบบนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต?" บางเรื่องมันก็ยากจริงๆ นั่นล่ะครับ...จะทำดี หรือไม่ทำจะดีกว่า? แต่รู้อะไรมั๊ยครับ...การที่ไม่รู้ว่า ข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนั้น อาจจะเป็นเจตจำนงของพระเจ้าก็เป็นได้ ... แม้ชีวิตจำเป็นต้องวางแผน หากแต่การที่เราเป็นนักวางแผนที่ดี ไม่ได้แปลว่า นั่นเพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จ นอกจากเราต้องใส่ใจกับการวางแผนชีวิตแล้ว เรายังต้องฝึกปรือในการแก้ปัญหาชีวิตด้วย พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ...หากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ เราต้องเป็นนักวางแผนไปพร้อมๆ กับเป็นนักแก้ปัญหา ... แน่นอนที่ว่า อะไรๆ มันก็อาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ได้เสมอ เพราะความผันแปรใดๆ มันเกิดจาก "เหตุ-ปัจจัย" ใดๆ ที่มากมาย ดังนั้น เมื่อเราพบว่า เรากำลังอยู่บนความผิดพลาด...สิ่งแรกที่เราต้องทำ ก็คือ การหยุดทบทวนชั่วครู่ ว่าตกลงแล้ว สาเหตุของความผิดพลาดเกิดจากอะไรแน่? ตราบเท่าที่ไม่รู้ว่า สาเหตุอยู่ตรงไหน ไฉนเลยจะแก้ความผิดพลาดนั้นได้...ยิ่งทำต่อยิ่งยุ่ง ยิ...

Post#3-53: เหมือนกัน...แต่ต่างกัน

Post#3-53: เมื่อเช้าภรรยาผมจำเป็นต้องออกจากบ้านแต่เช้า ผมเลยจำเป็นต้องรับอาสาไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน ลูกสาวผมออกจะตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะน้อยครั้งมากๆ ที่ผมจะได้ทำหน้าที่นี้ ค่าที่งานของผมจะค่อนข้างรัดตัว...ผมอยากมีโอกาสทำหน้าที่นี้ทุกวัน แต่ความรับผิดชอบที่มีอยู่ ไม่ได้เอื้อให้ทำหน้าที่ได้เอาเสียเลย เมื่อไปถึงโรงเรียนแล้ว...ลูกสาวผมชี้ชวนให้ดูบอร์ดกิจกรรมนั่น นู่น นี่ มากมาย ด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งแน่นอนว่า งานแต่ละชิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของเธอเองทั้งสิ้น เมื่อดูผลงานของลูกแล้ว ผมก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าตอนผมอายุเท่านี้ ผมเรียนรู้ได้มากเท่าลูกรึเปล่า? ... น่าอิจฉามากๆ ที่เด็กๆ สมัยนี้ มีโอกาสในการเรียนรู้และเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่าเด็กรุ่นผม (ใช่ครับ...ซึ่งนานมากแล้ว) ที่จริงผมควรจะบอกว่า ไม่ใช่เฉพาะแค่ลูกสาวของผม หรือเด็กน้อยทั่วๆ ไป แต่ต้องรวมถึงใครก็ตามในยุคนี้ ที่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายๆ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในเวลาที่ว่างจากการเรียนหรือการทำงาน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างใช้เวลาไม่น้อยในการเข้าถึงข้อมูลผ่าน Internet เมื่อสามารถเข้าถึงข้อมูลปริมาณมหาศาลได้แค่การขยับปลายนิ้...

Post#3-52: สิ่งที่เห็น vs สิ่งที่เป็น

Post#3-52: ผมเป็นคนที่ติด Pepsi Max และ Coke Zero มาก ถึงขนาดที่ต้องดื่มทุกวัน วันละหลายขวด แล้วก็จะหงุดหงิดเล็กๆ ทุกครั้ง เวลามีใครมาทักว่า อย่าดื่มเลย มันไม่ดี แม้ฉากหน้าจะมองคนถามแบบยิ้มๆ (บางทีก็มองประมาณว่า...ไม่ ไม่ ไม่เผือกได้มั๊ย) แต่ยอมรับว่าในใจก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ... พักเรื่องของผมไว้นิดนึงก่อนนะครับ...ลองมาอ่านเรื่องนี้ดูบ้าง เป็น Forward Message ที่ผมได้รับมานานพอดูแล้ว (น่าเสียดายที่ไม่ทราบว่าใครแต่ง) เด็กน้อยคนหนึ่งถือแอปเปิ้ล 2 ผลไว้ในมือ แม่ของเธอ ผ่านมาเห็น จึงถามหยอกๆ ไปว่า "แอปเปิ้ลน่ากินจัง แบ่งแม่สักผลได้มั๊ยลูก" เด็กน้อยมองหน้าแม่...แล้วทันใดนั้น เธอก็กัดแอปเปิ้ลทั้ง 2 ผลนั้น ผลละคำ แม่นิ่งมองเด็กน้อย และพยายามไม่แสดงความผิดหวังในการกระทำที่ดูเหมือนเห็นแก่ตัวนั้น ออกมา เด็กน้อยยื่นแอปเปิ้ลให้แม่ผลหนึ่ง พร้อมบอกว่า "ลูกนี้หวานกว่าค่ะแม่" ... ท้ายเรื่อง ผู้แต่งสรุปไว้ว่า... ไม่ว่าเป็นสถานการณ์แบบใด อย่าด่วนตัดสินเพียงแว่บแรกเท่านั้น ให้โอกาสคนอื่นได้อธิบายเหตุผล บางสิ่งที่เราเห็น อาจไม่ใช่บางสิ่งที่เค้าเป็นก...

Post#3-51: ใจเราเองหนอ...ที่วุ่นวาย

Post#3-51: จู่ๆ วันนี้ ก็มีความคิดหนึ่งแว่บขึ้นมาในจิตของผมว่า "โลกเรานี้หนอ มันแสนจะยุ่งเหยิง คนเรานี้หนอมันแสนจะวุ่นวาย" สงสัยว่า ช่วงนี้ผมคงจะงานยุ่งมากจนทำให้ความเครียดที่สะสมอยู่ แปลเปลี่ยนเป็นเจตสิกกระตุ้นให้ความคิดที่ว่า แว่บขึ้นมา ผมคิดตามความคิดที่ว่าอยู่พักนึง...แล้วผมก็ยิ้มให้กับตัวเอง :) ... ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน (Post#2-365)...ผมพึ่งจะชวนคุยถึงเรื่องความวุ่นวายสารพัดที่ผมต้องเผชิญในวันนั้น...และสรุปปิดท้ายด้วยคำสอนประจำใจของผม ที่ว่า... "โลกไม่ได้วุ่นวาย...ใจเราต่างหากที่วุ่นวาย" สาเหตุที่ผมยิ้ม...ก็เพราะนึกถึงคำสอนนี้นี่แหละครับ...ว่าแล้วก็ยิ้มอีกที :) ... ใครที่รู้สึกว่า ช่วงนี้วุ่นๆ วายๆ ลองนำคำสอนข้างต้นมาท่องซ้ำๆ ดูเถิดครับ...ถ้าท่องแล้วเจริญสติตามไปเรื่อยๆ ก็น่าจะยิ้มได้เหมือนที่ผมยิ้ม :) แล้วใจเราวุ่นวายอยู่กับเรื่องอะไรกันล่ะ? ลองมาจัดหมวดกันดูมั๊ยครับ? ไม่คิดถึงเรื่องอดีต...ก็กังวลอยู่กับอนาคต ไม่กำลังอยากเป็น, อยากได้ หรืออยากมี...ก็กำลังไม่อยากเป็น, ไม่อยากได้ หรือไม่อยากมี ฯลฯ ... รวมความแล้ว...เราวุ่นวายเพร...

Post#3-50: Brand Owner vs Agency

Post#3-50: ช่วงหัวค่ำวันนี้ ผมใช้เวลากว่า 45 นาที ในการเล่าถึง Brand Concept และ Brand Identity ของ product ชิ้นหนึ่ง ให้กับ Agency ได้รับทราบ หลายต่อหลายครั้ง ผมพบว่า เจ้าของ Brand และ Agency ไม่ได้คุยกันถึงเป้าหมายร่วมกัน ทำให้ผลลัพธ์ในการทำ campaign ไม่ค่อยจะตรงความต้องการที่แท้จริง บ่อยครั้งที่เจ้าของ Brand (มักจะไม่ใช่เจ้าของคุยเอง แต่ปล่อยให้ Brand Manager ดูแลเอง) ทำการ brief งาน Agency แล้ว ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอีกเลย การทำงานแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าร้านตัดผม แล้วก็เอารูปให้ช่างดู จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ โดยไม่ใส่ใจอะไรอีก แล้วคุ้มมั๊ยล่ะครับ...กับการเงยหน้ามาอีกที มองในกระจก แล้วได้แต่อุทานว่า "เฮ้ย...นี่มันทรงอะไรฟะ?" ... ว่ากันให้ถูกต้องแล้ว Brand Story น่ะเป็นของเรา แต่เราต้องการให้ Agency มาช่วยหาวิธีเล่าเรื่องในแบบที่สร้างสรรค์ แต่ไม่ใช่ให้ Agency มารับผิดชอบในความเป็นความตายของ Brand ซึ่งนั่นถือเป็นการโยนภาระของเจ้าของ Brand ไปให้กับคนอื่น Agency ไม่ใช่เจ้าของ Brand แต่เป็นผู้ช่วยสร้าง Story Telling ของ Brand ดังนั้น เจ้าของ Brand...

Post#3-49: เป็นเจ้าของกิจการ..."มีอิสระ" จริงหรือ?

Post#3-49: หนึ่งในเหตุผลที่ผมมักจะได้ยินจากน้องๆ ที่ต้องการมีธุรกิจของตัวเอง ย่อมต้องมีเหตุผลที่ว่า "อยากเป็นอิสระ ทำงานเมื่อไหร่ก็ได้" ร่วมอยู่ด้วยเสมอ จะว่ายังไงครับ ถ้าผมจะบอกว่า นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน เข้าใจ "ไม่ถูกต้อง" มาโดยตลอด ขึ้นต้นมาแบบนี้ ไม่ใช่จะต้องการสกัดหรือขัดขวางความฝันของใครนะครับ...ถือเสียว่า ผมเล่าให้ฟังเป็นข้อมูลก็ละกันครับ ... คนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมายาวนานระดับนึง มักจะรู้สึกว่า ชีวิตตัวเองคลับคล้ายกับหุ่นยนต์ เพราะมันมี "ความเป็นประจำ" (หรือ routine) มากจนเกินไป วัฏจักรของชีวิตมันค่อนข้างจำเจ คือเช้าเดินทางฝ่ารถติดไปทำงาน กลางวันรีบเร่งทานข้าว แล้วก็ฝ่ารถติดกลับบ้าน...เป็นอยู่แบบนี้ ชั่วนาตาปี ดังนั้น มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ จึงมักฝันที่จะมีชีวิตที่ออกนอกกรอบเดิมๆ ไม่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ไม่ต้องทำอะไรจำเจ... ภาพของเจ้าของกิจการจึงมักปรากฏขึ้นในห้วงนึก...เข้าใจไปว่า เจ้าของนี่ดีจังเลย อยากมาเมื่อไหร่ก็มา อยากเลิกงานตอนไหนก็ออกไปได้เลย ... ความจริงแล้วภาพที่เข้าใจว่า เมื่อได้เป็นเจ้าของจะมากี่โ...

Post#3-48: ความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่

Post#3-48: ทุกครั้งที่ผมอ่านหรือดูสามก๊ก ผมมักจะได้แง่มุมใหม่ๆ ให้นำมาคิดต่อเสมอ แม้จะอ่านและดูไปหลายครั้งหลายรอบ แต่อรรถรสและอรรถประโยชน์ต่างๆ ก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม อย่างเมื่อคืนนี้ ผมดูสามก๊กแล้ว "อิน" จัด จนอดไม่ได้ที่จะต้องเปิดเกม "Romance of The Three Kingdoms" เล่นเสียให้หายคิดถึง ผม "อิน" แค่ไหนน่ะหรือครับ...ก็นิดหน่อยเอง คือเล่นตั้งแต่ 4 ทุ่ม และรู้สึกตัวอีกทีก็เลย 6 โมงเช้า ไปแล้ว -"- ... "สามก๊ก" ถือเป็นวรรณกรรมสำคัญชิ้นหนึ่งของโลก ซึ่งถ้าใครมีโอกาส ก็ควรจะน่าได้อ่านผ่านตาบ้างสักหน ยิ่งสมัยนี้ มีหลากหลาย version ให้ดูหรืออ่านกันได้ตามอัธยาศัย และเข้าใจได้ง่ายกว่าสมัยก่อนๆ เยอะ ว่ากันตามจริง...องค์ความรู้หลากหลายในสามก๊ก ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของคนบนโลกนี้มาอย่างยาวนานนับหลายร้อยหลายพันปี และไม่มีทีท่าว่าจะล้าสมัยหรือตกยุคแต่อย่างใด ... เช่นเดียวกับคำสอนต่อไปนี้ ที่ผ่านตาผมมานานมากแล้ว (เข้าใจว่าเป็นคำสอนที่เก่าแก่) ที่โจโฉได้หยิบยกมาสอนโจหยิน เมื่อคราวจะไปเชิญเล่าปี่มาร่วมกองทัพ คำสอนว่าไว้แบบนี้ครับ... เถีย...

Post#3-47: Life has different chapters!

Post#3-47: แน่นอนที่สุดครับว่า ชีวิตของคนเราย่อมมีขึ้นมีลง...บางครั้งก็รุ่งเรือง และบางครั้งก็ตกต่ำ บางวันเราสุดแสนจะมีความสุข ในขณะที่บางวันเราจมจ่อมอยู่ในห้วงทุกข์...และหลายต่อหลายครั้ง เช้าเราสุข บ่ายเราเศร้า แต่เข้านอนกลับมายิ้มได้...ก็มี ชีวิตจะมีความสุขหรือไม่ คงไม่ได้อยู่ที่ใคร...แต่มันอยู่ที่ว่าเราคิดได้รึเปล่า และเราปล่อยวางเป็นมั๊ย? ... ผมเคยแชร์ให้ฟังแล้ว...ว่าความสุขไม่ใช่ปลายทางแต่เป็นรายทาง (Post#2-13) ดังนั้นเราจึงไม่ควรตั้งเป้าจะแสวงหาความสุข หากแต่ต้องตั้งเป้าที่จะใช้ชีวิตที่มีความสุข และหนทางที่เราจะใช้ชีวิตที่มีความสุขได้ ล้วนเริ่มต้นจากวิธีคิดของเราทั้งสิ้น...คิดได้เมื่อไหร่ เราก็เป็นสุขเร็วขึ้นเท่านั้น คนเราเกิดมาพร้อมความทุกข์...แปลว่า มันจึงเป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะวิ่งหนีความทุกข์ ที่เราควรทำจึงเป็นการค้นหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับความทุกข์อย่างสันติ...มากกว่า ... คนที่มีความสุขนั้น หาใช่คนที่เกิดมาไม่เคยพบกับความทุกข์ หากแต่ใครคนนั้น ค้นพบวิธีที่จะใช้ชีวิตร่วมกับความทุกข์ได้ดี ต่างหาก เฉกเช่นเดียวกับคนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมิใช่ผู้ไม่เคยพลาดหวั...

Post#3-46: เลือกสื่อให้เหมาะกับสาร

Post#3-46: ค่ำวานนี้ผมประชุมงานกับหุ้นส่วนจนดึกดื่นข้ามวัน เหตุเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่ง กว่าจะได้มาประชุมกันก็เกือบจะสี่ทุ่มไปแล้ว -"- แม้ว่าผมจะเคยชินกับการประชุมแบบหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ แต่สภาพตามตรงว่า ผมก็ไม่ได้ชื่นชอบหรือพิศมัยการประชุมแบบนี้เอาเสียเลย หากแต่ถ้าเป็นการประชุมที่สำคัญ...ต่อให้ต้องประชุมค่ำมืดดึกดื่นแบบนี้ ยังไงก็ย่อมดีกว่าการประชุมทางโทรศัพท์อย่างแน่นอน ... ผมมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยสดสวยและชื่นมื่นกับ Teleconference อยู่หลายครั้งหลายครา ที่ผมไม่ชอบที่สุดก็คือ การที่เราไม่อาจจะสังเกตแววตาและสีหน้าของผู้สนทนาได้ ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าจริงๆ แล้ว เค้าเข้าใจในสิ่งที่เราพูดรึเปล่า ยิ่งถ้าประชุมกันหลายคนนี่ เสียงมันจะตีกันวุ่นวาย ไม่รู้จะฟังใครก่อน ต่างจากเวลาเจอหน้ากัน ที่เราจะพอห้ามทัพได้ ส่วน Video Conference นั้น ไปกันไม่ค่อยได้เท่าไหร่กับระบบ Internet อันสุดแสนจะเสถียรของบ้านเรา ยิ่งถ้าเป็นการ Teleconference หรือ Video Conference กับต่างประเทศนี่ ผมยิ่งปวดหัวหนัก เพราะปวดหัวกับข้อจำกัดที่ว่าข้างต้นยังไม่พอ ยังแถมข้อจำกัดด้านภาษา เพิ่มเข้าไปอีก (อันนี้ ถ...

Post#3-45: เบื่อหน่ายลูกค้า

Post#3-45: ช่วงเช้าวันนี้ ผมไปประชุมกับ Media Agency รายหนึ่ง ร่วมกับลูกค้าของผม เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเจอกับ Agency รายนี้ ผมจึงจำเป็นต้องร้องขอให้เค้าช่วยเล่าเกี่ยวกับ Corporate Profile และเรื่องที่คุยค้างไว้อยู่อีกครั้ง ทันทีที่ได้ยินคำร้องขอของผม ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของความเบื่อหน่ายจากทีม Agency ได้ชัดเจนมาก ทั้งจากน้ำเสียง, แววตา และความกระฉับกระเฉง ... ความจริงผมก็เข้าใจได้ครับ ว่าการต้องเล่าอะไรซ้ำๆ ทำอะไรเดิมๆ แล้วงานมันไม่คืบหน้าเสียที นี่มันเป็นเรื่องน่าเบื่อขนาดไหน แต่แม้ผมจะเห็นใจและเข้าใจพวกเค้า ผมก็อดที่จะตำหนิพวกเค้าไม่ได้, ค่าที่พวกเค้ายังขาดจิตวิญญาณของการดูแลลูกค้า พูดแบบนี้ ผมไม่ใช่จะบอกว่า ลูกค้าจะทำอะไรก็ได้ หรือลูกค้าจะต้องเป็นฝ่ายถูกต้องเสมอ...แต่กระนั้น การที่ลูกค้าจะเป็นฝ่ายถูกหรือไม่ กับการปฏิบัติต่อลูกค้า เป็นเรื่องที่ต้องแยกกันพิจารณา ... คนค้าคนขาย หรือเป็นผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงธุรกิจใดก็ตาม, อย่างไรเสียก็ควรจะต้องโอนอ่อนและให้ความสำคัญกับลูกค้ามากเป็นพิเศษ การที่รู้สึกว่าทำงานกับลูกค้าแล้วไม่ happy, เราในฐานะผู้ขา...

Post#3-44: มาสาย...เพราะรถติด

Post#3-44: เป็นที่รู้กันดีว่า การจราจรในกรุงเทพฯ นั้น เข้าขั้นแย่ติดอันดับโลก...เรียกว่าเบียดกันเป็นที่หนึ่งที่สองกับกรุงจาการ์ตาเลยทีเดียวครับ ก็ในเมื่อรู้ว่าการจราจรในเมืองหลวงของเรานั้น ออกจะแย่เอามากๆ...เราจึงต้องใส่ใจกับเรื่องการวางแผนในการเดินทางเป็นอย่างดี สำหรับผมแล้ว คำแก้ตัวหรือแก้ต่าง ว่า "รถติด" นั้น ถือเป็นเหตุผลที่แสดงถึงวุฒิภาวะของผู้ตอบได้มากพอควร ... ความจริงผมก็ไม่ได้ต้องการจะเอาเป็นเอาตายกับเรื่องเวลานัด จนขนาดรอไม่เป็นหรือยืดหยุ่นไม่ได้ หรอกนะครับ แต่กับเพื่อนที่นัดไม่เคยเป็นนัด เรียกว่านัดที่ไร สายมากกว่าตรงเวลานี่ บ่อยครั้งเข้า ผมเองก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ออกตัวแบบนี้ ใช่ว่าผมจะไม่เคยสายนะครับ แต่จำนวนครั้งการสายของผม ต้องเรียกว่า นับครั้งได้ และไม่ค่อยจะเกิดจากเหตุ "รถติด" แต่มักจะเพราะ "หลงทาง" หรือ "ประชุมติดพัน" เสียมากกว่า ดังนั้น ถ้าใครจะอ้างเหตุว่า "รถติด" ผมก็มักจะย้อนถามว่า ออกมากี่โมง แล้วดูเวลาบ้างมั๊ย? ไอ้ประเภทนัด 4 โมง แต่ออกจากบ้านตอน 3 โมง 50 แล้วดันมาอ้างว่า "รถติด" นี่, ข...

Post#3-43: To live a life of purpose

Post#3-43: ค่ำวันนี้ ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ถึงการวางเป้าหมายให้กับชีวิต ใครที่ตามอ่าน Post ของผมมาตลอด จะทราบดีว่า เรื่องเป้าหมายเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญอยู่เสมอ ผมชอบเวลาที่คุยกับใครก็ตามเรื่องเป้าหมาย เพราะผมชอบที่จะได้ฟัง Passion ของเค้า และได้ฟัง Roadmap ว่าเค้าจะไปถึงเป้าหมายได้ยังไง ... เท่าที่ได้เคยแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิตกับน้องๆ หลายๆ คน...ผมพบว่า ปัญหาที่น้องๆ เจอ แยกกว้างๆ ได้ 2 ประเด็น หนึ่ง...คือหาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ หรือไม่ก็...พอมีเป้าหมาย แต่เป็นเป้าหมายที่เรารู้จักในนามของ "ความฝัน" และสอง...คือมีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือค่อนข้างชัดเจน แต่ยังนึกเส้นทางไม่ออกว่า จะเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ยังไง ... ถ้าเป็นปัญหาแรก...ใครก็ช่วยเราไม่ได้ครับ เพราะเราเท่านั้นที่ต้องบอกตัวเองว่า เราต้องการอะไร... ผมฝากข้อคิดไว้เพียงสั้นๆ ว่า ชีวิตไม่ใช่อาหารมื้อกลางวัน ที่จะตอบว่า "อะไรก็ได้" นะ ส่วนถ้าเป็นปัญหาข้อสอง...อย่ามัวไปถามใครก็ตาม ว่าผม/หนู ทำแบบนั้นดีมั๊ย หรือทำอย่างนี้ถูกมั๊ย อยู่เลยครับ... เพราะไ...

Post#3-42: Be important vs Be nice

Post#3-42: บางครั้งผมก็จำนนด้วยคำตอบเวลาคุยกับเพื่อนชาวตะวันตก เวลาเค้าถามถึงชนชั้นทางสังคมของบ้านเรา ใช่ว่าผมจะเป็นพวก anti สังคมหรอกนะครับ, เพราะยังไงเสีย จะให้ชาวตะวันออกมีวิธีคิดเหมือนกับชาวตะวันตกแบบ 100% ก็คงไม่ได้ แต่แม้ว่า เค้าจะมีสรรพนามแทนตัว แค่ I กับ You ก็ไม่ได้หมายรวมว่า เค้าไม่มีการแบ่งชนชั้นเอาเสียเลยนะครับ เพียงแต่มันคงไม่เด่นชัดเท่าชาวตะวันออกเท่านั้นเอง ... สำหรับชาติอื่น ผมคงไปวิจารณ์อะไรเค้ามากไม่ได้ เพราะผมก็ไม่ได้รู้จักพวกเค้าแบบลึกซึ้ง... แต่สำหรับชาวไทยบางกลุ่ม...บางทีผมก็รู้สึกว่า พวกเค้า "เยอะ" เกินไปหน่อย ไม่ว่าจะทำอะไรนิดอะไรหน่อย คนกลุ่มนี้ รู้สึกว่าจะชอบให้ตนมีความสำคัญมากกว่าคนทั่วไปเสมอ สำหรับผมเองก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ ว่าบางครั้งการที่ได้มี "อภิสิทธิ์" เหนือกว่าคนอื่นบ้าง มันก็ทำให้สะดวกดี หากแต่ ถ้าเสพติดความสะดวกแบบนี้ จนขาดมันไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นพวกเดียวกับพวก "เยอะ" อย่างที่ผมปรามาสไว้ตอนต้น ว่ากันตามทฤษฎีและตรรกะแล้ว...ความติดสบายที่ผมว่านี่ละครับ ที่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของ Corruption ได้เหมือนกัน ......

Post#3-41: คนเราเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

Post#3-41: ผมเชื่อว่า ทุกคนทราบดีว่า คนเราเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ผมเองก็เชื่ออย่างนั้นมาตั้งแต่เล็กจนโต...และแน่นอนว่าผมก็โตมาด้วยน้ำนมแม่ โตมาด้วยความรักและเอาใจใส่ดูแลของแม่ แต่ผมชักไม่ค่อยแน่ใจ...ว่าคนเราในปัจจุบันใช้ชีวิตแบบผิดๆ จนทำให้เราเกิดการ "mutation" หรือกลายพันธุ์จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไปเป็นอื่นรึเปล่า? ... เรื่องของเรื่องเกิดจาก วันนี้ผมพาลูกสาวและภรรยามาหาหมอ เพราะทั้ง 2 สาว เกิดไม่สบายขึ้นมาพร้อมๆ กัน ระหว่างรอหมอ ภรรยาผมก็ปลีกตัวไปพบหมอของเธอ และให้ผมอยู่กับลูก...จึงแน่นอนว่า ตอนหมอเรียกลูกสาวเข้าห้องตรวจ ภรรยาผมไม่ได้อยู่ด้วย เมื่อหมอถามอาการของลูก เช่น ลูกมีไข้ตั้งแต่ตอนไหน, มีอาการยังไง, ทานยาลดไข้ ตอนกี่โมง, ฯลฯ เชื่อมั๊ยครับ ว่านั่นทำให้ผมละอายใจอย่างที่สุด เพราะผมตอบไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว T_T ระหว่างพิมพ์โพสต์นี้ ผมยังคงรู้สึกสำนึกผิด...แม้ผมจะรักลูกมาก แต่กลับไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการเรียน, การใช้ชีวิตประจำวัน และสุขภาพของเธอ ... นี่ผมทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อแบบไหนกันนะ? มานั่งทบทวนดู, ผมอาบน้ำให้ลูกน้อยครั้งมาก, ป้อนข้าวลูกก็ไม่...

Post#3-40: What & Why

Post#3-40: หลายต่อหลายครั้ง ที่ผมต้องหยุดทบทวนตัวเองว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ ส่งผลถึงอะไรบ้างในอนาคต หลายต่อหลายคราว ผมต้องตั้งคำถามกับลูกน้อง ว่ารู้หรือไม่ ว่างานที่ทำอยู่ สำคัญอย่างไรต่อองค์กร หลายต่อหลายหน ที่ผมต้องถามลูกสาว ว่าวันนี้วางแผนจะทำอะไรบ้าง ... ทั้งหลายของคำถามที่ผมปุจฉาไว้ข้างต้น...ล้วนแต่เป็นคำถามสำคัญที่เราควรต้องถามตัวเองและคนรอบข้างอยู่บ่อยๆ เหตุเพราะผู้คนส่วนใหญ่มักจะตอบได้ว่า กำลังทำอะไรอยู่ แต่ส่วนน้อยของผู้คนเหล่านั้น มากครั้งกลับวิสัชชนามิได้ว่า กำลังทำสิ่งนั้นไป "เพื่ออะไร?" เมื่อไม่รู้ว่าทำไป "เพื่ออะไร"...จึงมิอาจบอกได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น ถูกต้องหรือไม่? ... ลองไปถามคนที่วิ่งมาราธอนดูครับ...ถ้าปราศจากเส้นชัยให้ไปถึง การวิ่งครั้งนั้น ฤาจะมีความหมาย ลองถามคนที่ว่ายน้ำดูเถิดครับ...การว่ายน้ำไปเรื่อยๆ กับการว่ายน้ำโดยมีเป้าหมายในใจ (แม้จะเป็นแค่การว่ายน้ำออกกำลังกายก็ตาม) อะไรทำให้การว่ายน้ำครั้งนั้น ชัดเจนกว่ากัน? ฝากทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ครับ... "What you do matters, but why you do it matters so much m...

Post#3-39: "ความฝัน" vs "เพ้อฝัน"

Post#3-39: เราเคยคุยกันไว้นานมากแล้วครับ (Post#48) ว่า   ความฝันกับความจริงนั้น มีระยะห่างกันแค่ "การลงมือทำ" นั่นแปลว่า ตราบเท่าที่เราไม่ลงมือทำ "ความฝัน" ก็ยังคงเป็นแค่ "ความฝัน" อยู่อย่างนั้น ไม่มีวันกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ นอกจากจะมีปาฏิหาริย์ ไม่ผิดหรอกครับ ที่เราจะมีความฝัน แต่คงไม่ถูกแน่ๆ ถ้าจะมัวแต่ฝันโดยไม่ลงมือ แล้วเอาแต่สวดภาวนาให้ความฝันกลายเป็นจริง ... บ่อยครั้งที่ความหวังที่เรามีมันดูเหมือนเลือนลางคล้ายกับความฝันเสียเหลือเกิน...ค่าที่มันดูเหมือนจะยากเย็นแสนเข็ญ หากจะทำให้ความหวังนั้นสำเร็จให้จงได้ ดังนั้น จะเรียกรวมว่า "ความหวัง" นับเป็นส่วนหนึ่งของ "ความฝัน"...ก็คงจะไม่ผิด หากปราศจากความหวังหรือความฝันแล้วละก็...รับรองได้ว่า โลกของเราคงมิอาจมีหน้าตาเป็นแบบที่เราอาศัยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ เป็นแน่ และคงมิได้เป็นการกล่าวเกินจริง ที่จะสรุปว่า โลกเราและคนเรา ต่างก็ใช้ความหวังและความฝันเป็นแรงบันดาลใจให้ก้าวต่อไปข้างหน้า ... เมื่อความหวังหรือความฝันนั้น สำคัญถึงเพียงนี้ คนเราจึงมิควรที่จะหยุดฝัน...หากแต่เราอา...

Post#3-38: Those who talk behind your back

Post#3-38: เช้าวันนี้ ลูกน้องของผมคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ M ก็แล้วกันนะครับ) ถามผมว่า ถ้ามีเพื่อนชอบโพสต์ด่านายหรือด่าบริษัทฯ ของตัวเอง จะต้องทำยังไงดี? นั่นสิครับ...ถ้าเป็นคุณๆ เจอคำถามแบบนี้บ้าง จะตอบยังไงดีครับ? มาลองคิดคำตอบในมุมมองของตัวเองดูหน่อยก็ดีนะครับ...ผมให้เวลา 3 นาทีครับ ^^ ... สารภาพว่า ตัวผมเองในอดีต ก็มีบ้างเช่นกันที่มีประเด็นไม่เข้าใจนาย หรือไม่พอใจบริษัทฯ...ผมก็ได้แต่บ่นกระปอดกระแปดกับเพื่อนๆ ที่สนิทกันบ้าง สุดท้ายแล้ว...ถ้ามันไปกันไม่ได้จริงๆ ผมก็เลือกลาออกมาทำอย่างอื่น เพราะไม่อาจที่จะด่านายหรือบริษัทฯ แต่ก็ยังหน้าด้านรับเงินเดือนเค้าไปเรื่อยๆ ให้เข้าทำนอง "กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา" มันก็เป็นธรรมดาที่คงจะไม่มีอะไรถูกใจเราไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงาน, เพื่อน, ลูกค้า หรือแม้แต่นาย เรื่องแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็เป็นปัญหาเรื่องมุมมองนั่นล่ะครับ และขืนเอาเรื่องมุมมองมาเถียงกัน ก็น่ากลัวว่า 3 ปี ก็ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ... กลับมาเรื่องคำตอบที่ผมตอบน้อง M ไปเมื่อเช้านี้...ผมตอบไปว่า ในมุมมองของ M คิดว่าเรื่องที่เพื่อนเค้าโพสต์เป็นเรื่องจริงรึเ...

Post#3-37: มองภาพใหญ่ไปพร้อมกับภาพเล็ก

Post#3-37: วันนี้ผมเดินทางไปประชุม Board บริษัท ที่ Singapore แบบไปเช้า (ตรู่) เย็นกลับ เป็นอีกหนึ่งวัน ที่รู้สึกว่า พลังงานในร่างกายถูก drain ไปอย่างมากมายและรวดเร็วมากๆ (ซึ่งจริงๆ อาจจะเพราะอายุที่มากขึ้น ทำให้สมบุกสมบันไม่ค่อยได้แล้วก็ได้) ช่วงสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ สารภาพตามตรงว่า บริษัทของผมก็เผชิญกับวิกฤตการณ์ที่หนักหนา ไม่แพ้บริษัทอื่นๆ ... ตอนหนึ่งของการสนทนา หนึ่งในผู้ถือหุ้น ก็ขอให้ผมประเมินสภาพของ Macroeconomic ให้กับ Board ได้รับทราบ (ในฐานะเป็นคนไทยเพียงคนเดียวใน Board บริษัทฯ) ผมประเมินยังไงก็คงไม่ใช่สาระสำคัญที่จะนำมาเล่าในวันนี้หรอกครับ เพราะผมไม่แม้แต่จะใกล้เคียงกับการเป็น Guru ด้านเศรษฐกิจ แต่สาระสำคัญของคำถามนี้ อยู่ตรงที่การกระตุกเตือนให้เรารู้จักมองภาพใหญ่ไปพร้อมๆ กับภาพเล็ก ไม่ใช่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่แต่ Microeconomic เพียงเท่านั้น การประเมินภาพใหญ่จะช่วยให้เราประเมินภาพย่อยได้อย่างมีมิติมากขึ้น เช่น ช่วยให้เทียบเคียงได้ว่า ในยามที่ภาพรวมของเศรษฐกิจนั้นไม่ค่อยดี แล้วบริษัทฯ ของเราล่ะ ดีหรือแย่กว่าภาพรวมของตลาด? เมื่อได้คู่เทียบแล้ว ก็จะทำให้เรากำหนดก...

Post#3-36: เจ้าจงปีนป่ายตะกายฟ้า

Post#3-36: เมื่อค่ำวานนี้เองครับ ที่บังเอิญไปเห็นน้องคนหนึ่ง (ที่ผมพอจะรู้จักมักคุ้นอยู่บ้าง) post ข้อความบน Timeline ในเชิงตัดพ้อและทดท้อต่อความรัก เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงไปปลอบใจให้เค้าหายเศร้าได้ยาก...ได้แต่ต้องให้เวลาและใช้เวลาเป็นเครื่องมือในการลดทอนความเศร้านั้นลงไป อย่างว่าครับ...เรื่องความรักกับเรื่องอกหักนี่ ความจริงมันก็อยู่ใกล้กันจนไม่น่าเชื่อ ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่า ใครไม่เคยอกหักเลยนี่ ช่างออกจะโชคดีจนน่าเสียดาย (ที่ไม่เคยลิ้มรสบาดแผลของการอกหักรักคุด) ^^ ... สำหรับน้องคนที่ว่า...ต้องมีอันไม่สมหวังในความรัก ด้วยเหตุของฐานะทางสังคมที่แตกต่างกันมาก...ประมาณดอกฟ้ากับหมาวัด หรือประมาณหมามองเครื่องบิน (เป็นคำเปรียบเปรยนะครับ, ผมไม่ได้จะว่าหรือดูถูกน้องเค้า) อารมณ์นั้นเลยทีเดียว น้องเค้าก็บ่นประมาณว่า...จะมีมั๊ยหนอ รักแท้ที่มองข้ามเรื่องฐานะ, ควรจะดูคุณค่าของหัวใจ เหมือนในสมัยเก่าก่อน... สำหรับน้องๆ ที่อายุยังอยู่ห่างไกลจากหลักสี่มากๆ คงต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่า ในอดีตย้อนไปถึงสมัยคุณปู่คุณย่ายังเป็นหนุ่มๆ สาวๆนั้น...ทัศนคติต่อความรักจะแตกต่างไปจากหนุ่มสาวยุคปัจจุ...

Post#3-35: You just get stronger!

Post#3-35: เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ท่านศึกษาและปฏิบัติธรรมมานาน ได้กรุณาสอนผมว่า "เวลาทำบุญหรือทำทานเสร็จแล้ว อย่าทำตัวเป็นคนขี้ขอ" ท่านหมายความว่า เวลาทำบุญหรือทำทานแล้ว เราก็ควรพอใจกับปิติจากการได้ทำดี...เท่านั้นก็พอ เพราะการทำบุญหรือทำทานนั้น ไม่ใช่การลงทุน ที่จะต้องมาวัดผลหรือกะเกณฑ์ว่า ทำบุญแล้วได้อะไรกลับมา หรือทำทานแล้วคุ้มค่ารึเปล่า? ... หลังจากพิจารณาตามคำสอนของผู้ใหญ่ท่านนั้น  ส่วนตัวผมเองก็เชื่อตามที่ท่านว่า...ดังนั้นไม่ว่าจะหลังทำบุญ, ทำทาน หรือสวดมนต์ ก็ตามแต่ ผมจะไม่ค่อยขออะไรมากไปกว่า "ขอให้ตัวเองมีสติพิจารณาเรื่องต่างๆ ได้จงดี" ผมว่า มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเอาเสียเลย กับการพร่ำขอให้ชีวิตเจอแต่เรื่องง่ายๆ... ผมคิดว่า ถ้าเราจะขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ เราควรขอให้ท่านช่วยดลบันดาลให้บุญหรือทานที่เราได้เคยทำ ช่วยเกื้อหนุนให้เราแข็งแกร่งทั้งกายและใจ จนเพียงพอที่จะทำให้เราผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้มากกว่า ... ฝรั่งเองก็มีคำแนะแนวทำนองนี้เหมือนกันครับ...เค้าว่าไว้ว่า "It never gets easier, you just get stronger." แปลว่า "มั...

Post#3-34: รื้อสิ่งที่รกใจ...จัดพื้นที่ใหม่ให้สมอง

Post#3-34: วันนี้ทั้งวันผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดบ้าน เหตุเพราะอยากให้ลูกสาวแยกห้องไปนอนคนเดียวเสียที มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงเสมอ...ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราจัดบ้าน เราจะพบของส่วนเกินที่เราต้องกำจัดหรือจัดการ และหลังจัดการนั่น นู่น นี่ เราก็จะได้บ้านว่างๆ หรือห้องโล่งๆ รอคอยให้เราซื้อนั่น เติมนู่น...อีกครา ... คนเรามักจะมีโอกาสรื้อหรือจัดห้องหรือบ้านกันอยู่บ่อยครั้ง...อย่างน้อยปีละครั้งในช่วงตรุษจีนหรือช่วงปีใหม่ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจ...ว่าเรารื้อห้องหัวใจหรือลิ้นชักแห่งความทรงจำกันบ้างรึเปล่า? ยังจำได้มั๊ยครับ? ครั้งสุดท้ายที่รื้อเรื่องแย่ๆ ที่ติดอยู่ในใจ หรือเคลียร์ความทรงจำที่เราไม่อยากนึกถึงน่ะ เมื่อไหร่กันเอ่ย? ... รื้อบ้านหรือจัดห้อง...ก็เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เกิดความเป็นสัดเป็นส่วน, ได้ทิ้งของส่วนเกิน ของเก่า หรือของเสีย รื้อหัวใจหรือเคลียร์สมอง...ก็เพื่อให้ใจได้ถ่ายเทความเศร้าหมักหมม ได้ปลดปล่อยความอึดอัดในใจออกไปบ้าง, ได้ทบทวนเรื่องราว และได้จัดระเบียบวางแผน ได้ตั้งเข็มชีวิตได้ชัดเจน อะไรมันรกๆ ในใจ เกะๆ กะๆ ในสมอง ก็ทิ้งๆ มันไปให้หมดเลยนะครับ...เมื่อใจว่...

Post#3-33: ความสับสนระหว่างทางสู่จุดหมาย

Post#3-33: ผมชอบดูรายการทำอาหาร และส่วนตัวผมก็ชอบทำอาหาร...แต่ผมทำอาหารไม่อร่อย ผมชอบดูรายการแข่งขันร้องเพลง และส่วนตัวผมก็ชอบร้องเพลงอยู่ไม่น้อย...แต่ผมร้องเพลงไม่เก่งเอาเสียเลย ผมชอบชมรายการแข่งขันกอล์ฟ และส่วนตัวผมรักกีฬากอล์ฟเป็นที่สุด...แต่ผมเล่นกอล์ฟได้แย่สุดๆ ... แล้วทำไมผมยังคงทำอาหารต่อไป, ยังคงร้องเพลงไปเรื่อย และยังคงไม่หยุดที่จะเล่นกอล์ฟ? เหตุผลนั้นแสนจะสามัญธรรมดา...เพราะทั้งการทำอาหาร, ร้องเพลง และเล่นกอล์ฟนั้น เป็นสิ่งที่ผมทำเพื่อคลายเครียด...ไม่ใช่เพื่อเคร่งเครียด หากเมื่อใดที่ผมเอาจริงเอาจังจนเกินไปกับงานอดิเรกหรือกีฬาที่ใช้เพื่อผ่อนคลาย...ย่อมหมายความว่า ผมหลุดจากวัตถุประสงค์ของการผ่อนคลายไปเรียบร้อยแล้ว ลองถามตัวเองดูครับ...เราลืมบ่อยครั้งแค่ไหน ว่าจุดหมายที่กำลังจะไปให้ถึง คือจุดไหนกันแน่? ... ความสูญเปล่าที่สุดของชีวิต ก็คือการทำอะไรแบบไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร และการทำอะไรแบบไม่ตอบโจทย์เป้าหมาย แบบที่ว่านี่เองครับ... ทำงานอดิเรกหรือเล่นกีฬาเพื่อคลายเครียด...แต่กลับเครียดที่จะทำงานอดิเรกและเล่นกีฬานั้นให้ได้ดีดังใจ ตั้งใจจะไปพักผ่อนกับครอบครัวให...

Post#3-32: เรื่องร้าย...กลายเป็นขำ

Post#3-32: เกือบเที่ยงคืนของหลายสัปดาห์ก่อน ขณะผมนั่งทำงานไปพร้อมกับเปิด TV เป็นเพื่อน ฉับพลันก็มีอันต้องสะดุ้งจากเสียงโทรศัพท์... ปรากฏว่า เป็นสายทางไกลจากเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันพอควร แต่ก็ไม่ได้คุยกันมานานหลายปี...และเค้ารู้ว่า ปกติผมนอนดึกถึงดึกมาก จึงลองโทรมา ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยชอบรับโทรศัพท์ยามวิกาลเอาเสียเลย เพราะมักจะเป็นเรื่องไม่ค่อยดี...แน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน ... ผมออกจะเห็นใจใครก็ตามที่กลัดกลุ้มจนต้องหาคนคุยและปลอบใจไม่น้อย...โดยเฉพาะคนที่ต้องไปอยู่ไกลถึงต่างแดน ใครไม่เคยก็คงไม่รู้ ว่าเวลามองขวาก็ไม่รู้จักใคร...มองซ้ายก็ไม่มีใครรู้ใจเรา มันเป็นความรู้สึกเปลี่ยวดายและอ้างว้างถึงเพียงไหน แม้ผมจะไม่เคยไปเรียนเมืองนอก...แต่ด้วยความที่มีเพื่อนไปเรียนเมืองนอกหลายคน...ผมจึงพอจะเข้าใจความเหงาของคนไกลบ้านได้ดีพอควร ผมใช้คำว่า "เข้าใจ" ไม่ใช่ "เข้าถึง" นะครับ...แปลว่า เข้าใจว่าอารมณ์ประมาณไหน แต่ไม่ได้รู้ซึ้งถึงความทรมานแบบคนที่เคยมีประสบการณ์ตรงๆ ... บางท่านอาจจะไม่เชื่อ ว่า "ความเหงา" นั้น ฆ่าคนได้...ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เหลียวมองรอ...

Post#3-31: Prepare for "Impact"

Post#3-31: บ่ายวันนี้ ขณะที่ผมนั่งคุยงานอยู่บนรถกับลูกน้อง ฉับพลันก็มีรถที่ปราศจากคนขับคันหนึ่งไหลออกจากที่จอดรถมาด้วยความเร็วสูง เดาออกใช่มั๊ยครับ ว่ารถคันนั้นไหลมาชนรถใคร? ใช่อย่างที่เดาล่ะครับ...รถคนนั้นไหลมาชนรถผม โดยที่เลขาฯ ของผมที่ช่วยขับรถให้ ได้แค่ร้องว่า "เฮ้ย รถไหลมา" ขณะที่โดนชน เราติดอยู่ในซอย เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ และรถคันนั้นก็ไหลมาเร็วมาก จนเราทำได้เพียงแค่มอง...แค่นั้นจริงๆ ... ความจริงผมต้องชมเลขาฯ ของผมว่ามีสติดีมาก เพราะถ้าเค้าตกใจเข้าเกียร์ถอยหลังหรือเดินหน้า ความเสียหายคงมากกว่านี้อีกเยอะ และจากที่เราเป็นฝ่ายถูก ก็คงกลายเป็นฝ่ายผิดทันที ทันทีที่เกิดเรื่อง รปภ. ก็วิ่งไปตามเจ้าของรถคันดังกล่าวมายังจุดเกิดเหตุ และเนื่องจากผมกำลังรีบไปประชุม ประกอบกับไม่ต้องการเป็นภาระกีดขวางเส้นทางสัญจร จึงให้ต่างฝ่ายต่างถ่ายรูป แล้วก็นัดมาเคลียร์กันใหม่อีกที ว่ากันโดยสัตย์จริง ผมไม่ได้โกรธเจ้าของรถคันนั้นเลย ออกจะเห็นใจด้วยซ้ำ ว่าเค้าก็คงงงๆ อยู่เหมือนกัน ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง? หลังทิ้งที่เกิดเหตุไว้เบื้องหลัง ระหว่างทางไปประชุม ผมก็น...

Post#3-30: "แม่งาน" ผู้ปิดทองหลังพระ

Post#3-30: วันนี้หนึ่งในบริษัทของผมมีงานเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นใหม่ ชื่อ Angel Kiss by Praya Lundberg (ของคุณปู ไปรยา) ที่ Central World เราใช้เวลาเตรียมงานล่วงหน้ากันมาเป็นเดือน เพื่อให้งานเพียงไม่กี่ชั่วโมงออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งหมดเพื่อให้ทั้งสื่อมวลชนและแขกที่มาร่วมงานทุกท่านรู้สึกได้ถึงความพิเศษของน้ำหอมที่เราร่วมทำงานหนักกับคุณไปรยา เพื่องานในวันนี้ ... ในการทำงานในสายงาน Cosmetic เราจึงมีงานเปิดตัวหรืองาน event แบบนี้ ค่อนข้างบ่อย และแน่นอนว่าทุกๆ ครั้งที่มีงานลักษณะนี้ คงขาดไม่ได้ที่เราจะต้องมี "แม่งาน" ที่เก่ง, เข้าใจ, ขยัน และทุ่มเท ไม่ใช่แต่เฉพาะกับบริษัทฯ ของผม แต่หมายรวมถึงทุกบริษัทฯ ที่จะต้องขอบคุณ "แม่งาน" มากเป็นพิเศษ หากขาด "แม่งาน" ไป งานลักษณะแบบนี้จะเต็มไปด้วยความทุลักทุเลและขาดความเป็นเอกภาพ ... นอกเหนือไปจาก "แม่งาน" แล้ว ผมก็อยากจะขอบคุณทีมงานทุกคนมากๆ เช่นกัน...มันเป็นอีกวันที่ทุกคนร่วมกันแสดงพลังทีมให้ได้เห็น แม้เราอาจจะจ้าง Organizer ให้ทำงานทั้งหมดโดยลำพังได้ แต่หากปราศจากการมีส่วนร่วมของทีมงาน บรรยาก...

Post#3-29: สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ

Post#3-29: หนึ่งในความจริงที่ส่วนใหญ่ของคนที่ขับรถเป็นมักจะประสบด้วยตัวเองก็คือ การจดจำเส้นทาง ถ้าต้องไปในเส้นทางที่ไม่เคยไปมาก่อน แล้วต้องโทรถามทาง ก็จะต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ จึงจะคลำทางไปต่อได้ ถึงกระนั้นก็ต้องโทรถามทางเลี้ยวซ้ายวนขวาให้วุ่นวาย ดีขึ้นมานิด ถ้าเพื่อน share location มาให้ ซึ่งก็ทำให้เราสามารถดูเส้นทางการเดินทางได้ชัดเจน และดีที่สุด หากว่าเราจะมีใครสักคนที่รู้เส้นทางอยู่บนรถด้วย คำถามมีอยู่ว่า วิธีไหนใน 3 วิธีข้างต้น จะทำให้เราจดจำเส้นทางได้ดีที่สุด หากจะต้องไปยังที่หมายเดิมอีกครั้ง โดยปราศจากตัวช่วย? ... ไม่แน่ใจว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้ จะเคยได้ยินที่คำโบราณว่าไว้ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ" กันรึเปล่านะครับ? แต่กรณีของการจดจำเส้นทางข้างต้นนั้น เป็นตัวอย่างของคำพังเพยที่ว่าได้เป็นอย่างดี ฟังเค้าเล่าต่อๆ กันมา หรือจะดีเท่าการไปเห็นด้วยตาตัวเอง และแน่นอนว่า...ดีกว่าการไปเห็น ย่อมหมายถึงการมีประสบการณ์ร่วมในสิ่งนั้น ... ให้บังเอิญว่า คำพังเพยของเราก็ไปพ้องกับวาทะแห่งจอมปราชญ์ที่ชื่อ "ขงจื้อ" เข้าให้พอดี...วาทะนั...

Post#3-28: ภาพสะท้อนจากกระจก

Post#3-28: เค้าว่ากันว่า ชีวิตของคนตลก มักจะไม่ตลก...ผมเองก็ไม่ทราบว่า ข้อความนี้ ถูกต้องเป็นจริงเพียงใดนะครับ? แต่เท่าที่ผมเคยได้เห็นและได้ยินมาบ้าง...ก็ต้องยอมรับว่า มีส่วนจริง แต่คงไม่ใช่กับคนตลกทุกคนแน่ๆ ความจริงผมต้องบอกว่า คนที่ตลกกับชีวิตได้ แม้ในยามที่เค้าเจอวิกฤตที่หนักหนานั้น น่ายกย่องและน่านับถือมากนะครับ แน่นอนว่า ผมกำลังหมายถึง กรณีที่ ไม่ใช่ว่าเค้าปล่อยปละละเลยชีวิต แต่เพราะด้วยเหตุใดก็ตามแต่ ที่บังเอิญทำให้ชีวิตของคนๆ นั้น ต้องมาเจอวิกฤต ... ที่ผมเกริ่นมาเสียยืดยาวข้างต้น ก็เพราะบังเอิญว่า ผมไปเจอวาทะหนึ่งจากตลกระดับโลกที่ชื่อ Charlie Chaplin เข้าให้ (ชาลี แชปลิน - ที่เราคุ้นเคยกับหนวดจิ๋ม, ชุดสูท, หมวก และไม้เท้า นั่นล่ะครับ) วาทะนั้น ช่างเศร้าสร้อยและแสดงถึงความทอดอาลัยในชีวิต จนผมก็เศร้าไปด้วย, Charlie พูดไว้แบบนี้ครับ "Mirror is my best friend because when I cry, it never laughs." แปลว่า "กระจก คือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม เพราะเมื่อผมร้องไห้ มันก็ไม่เคยหัวเราะ" ผมไม่ทราบว่า Charlie กล่าววาทะนี้ เพราะเค้าเศร้ามาจากข้างใน หรือแค่อยากจ...

Post#3-27: สมการแห่งความสำเร็จ

Post#3-27: ผมเชื่อว่า ใครๆ ก็ต้องการเป็นผู้ประสบความสำเร็จ...หากแต่ทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นที่จะต้องออกจาก Comfort Zone ให้ได้เสียก่อน Comfort Zone ที่ว่า อาจไม่จำเป็นต้องเป็นงานใหม่เสมอไป หากแต่มันหมายรวมไปถึง วิธีทำงานแบบเดิมๆ หรือวิธีคิดแบบเดิมๆ จะว่าไปแล้ว สำหรับผมคิดว่า Comfort Zone กับ Change (หรือ การเปลี่ยนแปลง) นั้น นับเป็นเรื่องเดียวกัน ... หากไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ก็แปลว่าเรายังไม่อาจหลุดออกจาก Comfort Zone ของเราเองได้...และแน่นอนว่า เมื่อไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ก็ย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลง และทุกคนต่างก็รู้ว่า เราไม่อาจทำอะไรเดิมๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จได้ (ลองอ่าน Post#2-286 ขยายความดูนะครับ) สิ่งหนึ่งที่เป็นกำแพงสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ก็คือ "ความกลัว" นั่นเอง ... มีวาทะหนึ่งที่ฝรั่งว่าไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ...ซึ่งผมอ่านแล้วชอบ ก็เลยขอถือวิสาสะตั้งชื่อมันว่า "สมการแห่งความสำเร็จ" เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ... "In order to succeed, your desire for success should be greater than your fear of failure." แปลว่า ...

Post#3-26: Temporary Comfort

Post#3-26: ค่ำวานนี้ ผมได้มีโอกาสสังสรรค์ร่ำสุรากับเพื่อนผู้รู้ใจอีก 2 คน จนถึงกว่าเที่ยงคืน จึงได้แยกย้ายสลายวงกันไป ตอนหนึ่งของการสนทนา เราคุยกันถึงเรื่องแผนการขายสินค้าของบางองค์กร ที่ดูแล้วน่าจะทำลายโครงสร้างราคาของสินค้านั้นอย่างถาวร นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการชนะสั้น ขาดวิสัยทัศน์ของความยั่งยืนระยะยาว และการชนะสั้นที่ว่า กลายเป็นการตัดโอกาสชนะยาวไปอย่างน่าเสียดาย ... บ่อยครั้งที่การลดราคาแบบตัดราคาสินค้าแบบแรงๆ นำมาซึ่งความเคยชินของลูกค้า และกลายสภาพเป็น "วังวนอุบาทว์" คือ "ไม่ลด...ก็ไม่ซื้อ" ที่แย่ก็คือ บางครั้งทำให้เพื่อนร่วมธุรกิจที่ขายสินค้าแบบเดียวกัน ต้องมาพลอยตกอยู่ในวังวนที่ว่าไปด้วย ดังนั้น หนึ่งในเรื่องที่ทุกคนในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ควรต้องใส่ใจให้มากๆ ก็คือเรื่องการต้องการแค่ชัยชนะระยะสั้นๆ แบบเรื่องข้างต้น ... ฝรั่งเองก็พูดถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกันครับ...เค้าว่าไว้ว่า "Don't burn your opportunities for a temporary comfort." แปลว่า "จงอย่าทำลายโอกาสของท่าน ด้วย...

Post#3-25: Your last mistake

Post#3-25: เราทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่า ความผิดพลาดในการทำงานนั้นเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่จากเหตุใดก็เหตุหนึ่ง ผมเองก็เข้าใจในสัจธรรมนี้ และยอมรับโดยดุษฎีว่า มีแต่คนที่ไม่ทำงานเท่านั้น ที่ไม่ผิดพลาด แต่ที่ผมรับไม่ค่อยได้น่ะ เป็นพวกไม่คิดจะเรียนรู้จากความผิดพลาด มากกว่า ... ผมให้อภัยลูกน้องได้เสมอ เมื่อพวกเค้าทำงานผิดพลาด แต่ผมก็จะโกรธมาก ถ้าพวกเค้าพลาดเรื่องเดิมเป็นคำรบสอง ตราบใดที่เราไม่รู้ตัวเองว่า ความผิดพลาดที่แล้วมานั้น เกิดจากเหตุใด ตราบนั้น เราจะไม่มีทางเดินไปข้างหน้าได้เลย ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็มีแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปแบบขอไปที ทำไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เรากำลังทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร และต้องทำอย่างไร ... ถ้าไม่อยากอยู่ในวังวนของความผิดพลาดซ้ำซาก ลองวิเคราะห์วาทะนี้ดูนะครับ... "Your best teacher is your last mistake." แปลว่า "อาจารย์ที่ดีที่สุดของเรา ก็คือความผิดพลาดครั้งล่าสุดนั่นเอง" เป็นวาทะสั้นๆ ที่ความหมายชัดเจนในตัว โดยที่ไม่ต้องอรรถาธิบายใดๆ ต่อ ... ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า การทำงานแบบขอไปทีนั้น เป็นวิถีทางแห่งผู้แพ้ เป็นวิธีชนะสั้นๆ แล...

Post#3-24: ผู้บริหารกะโหลกกะลา

Post#3-24: ผมคิดว่า ลูกน้องหลายๆ คน ก็คงเคยบ่นเรื่องที่บริษัทฯ ค่อนข้างเข้มงวดกับเวลาเข้างานและเวลาเลิกงาน กันบ้าง ไม่มากก็น้อย สารภาพว่า ผมเองสมัยที่เริ่มทำงานใหม่ๆ ก็เซ็งเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน หากแต่ก็เข้าใจได้ดีว่า ด้วยเหตุผลใด ที่บริษัทฯ จำต้องเข้มงวดเรื่องเวลา และผมเชื่อว่า ลึกๆ แล้ว ทุกคนก็ทราบดี ว่าการเข้า-ออกงานให้ตรงเวลา สำคัญเพียงใด โดยไม่ต้องอธิบายซ้ำ ใน Post#261 (นานมากแล้วครับ) ผมเองก็เคยแชร์เรื่องนี้ไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ว่าเรื่องแบบนี้ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังไว้ในค่านิยมองค์กรกันเลยทีเดียว ... ลูกน้องหรือเด็กๆ น่ะ โดนคุมเวลาด้วยการบันทึกเวลาเข้าและออกงาน เพราะวิธีคิดและวุฒิภาวะของพวกเค้ายังไม่มากพอ แต่ผู้บริหารทั้งหลายที่ไม่ต้องบันทึกเวลามาทำงานนี่สิ ที่ต้องหันมาคิดและพิจารณาตัวเองให้มากๆ ว่า ทำไมบริษัทฯ ยกเว้นให้ไม่ต้องบันทึกเวลา... แน่นอนว่า เป็นเพราะบริษัทฯ เชื่อว่าผู้บริหารคงจะมี (และควรจะมี) วิธีคิดและสำนึกในความรับผิดชอบในหน้าที่และการปฏิบัติตนในระดับที่สูงกว่าน้องๆ หรือเด็กๆ ดังนั้น ผู้บริหารที่เข้าใจผิดๆ ว่า ในเมื่อไม่ต้องบันทึกเวลา...