Skip to main content

Post#3-39: "ความฝัน" vs "เพ้อฝัน"

Post#3-39:
เราเคยคุยกันไว้นานมากแล้วครับ (Post#48) ว่า   ความฝันกับความจริงนั้น มีระยะห่างกันแค่ "การลงมือทำ"

นั่นแปลว่า ตราบเท่าที่เราไม่ลงมือทำ "ความฝัน" ก็ยังคงเป็นแค่ "ความฝัน" อยู่อย่างนั้น ไม่มีวันกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ นอกจากจะมีปาฏิหาริย์

ไม่ผิดหรอกครับ ที่เราจะมีความฝัน แต่คงไม่ถูกแน่ๆ ถ้าจะมัวแต่ฝันโดยไม่ลงมือ แล้วเอาแต่สวดภาวนาให้ความฝันกลายเป็นจริง

...

บ่อยครั้งที่ความหวังที่เรามีมันดูเหมือนเลือนลางคล้ายกับความฝันเสียเหลือเกิน...ค่าที่มันดูเหมือนจะยากเย็นแสนเข็ญ หากจะทำให้ความหวังนั้นสำเร็จให้จงได้

ดังนั้น จะเรียกรวมว่า "ความหวัง" นับเป็นส่วนหนึ่งของ "ความฝัน"...ก็คงจะไม่ผิด

หากปราศจากความหวังหรือความฝันแล้วละก็...รับรองได้ว่า โลกของเราคงมิอาจมีหน้าตาเป็นแบบที่เราอาศัยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ เป็นแน่

และคงมิได้เป็นการกล่าวเกินจริง ที่จะสรุปว่า โลกเราและคนเรา ต่างก็ใช้ความหวังและความฝันเป็นแรงบันดาลใจให้ก้าวต่อไปข้างหน้า

...

เมื่อความหวังหรือความฝันนั้น สำคัญถึงเพียงนี้ คนเราจึงมิควรที่จะหยุดฝัน...หากแต่เราอาจต้องพิจารณาให้ดีครับว่า เราปฏิบัติต่อความฝันได้ถูกต้องมากน้อยเพียงใด

หากเรามัวแต่ฝันและฝัน โดยไม่ลงมือทำ ก็เท่ากับว่า เรามัวแต่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีอยู่จริง...และแปลว่า เราแยกแยะไม่ออกว่า อะไรเรียกว่า "ความฝัน" และอะไรเรียกว่า "เพ้อฝัน"

...ฝรั่งเองก็มีคำกล่าวที่กินใจมากเกี่ยวกับ "การไล่ตามความฝัน"...เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ

"Dream your dreams with your eyes closed, but live your dreams when your eyes open."

แปลว่า "จงฝันถึงฝันใดๆ ของเจ้าในขณะที่ตาหลับ แต่จงใช้ชีวิตตามฝันใดๆ ของเจ้าในขณะที่ตาตื่น"

...

ยามหลับตา...ฝันอะไรก็ได้ที่อยากฝัน

และจงอย่าลืมว่ายามลืมตา...ทำตามฝันใดๆ ก็ตาม ควรจะต้องคำนึงถึงความจริงควบคู่ไปด้วยเสมอ

ไม่งั้น "ความฝัน" ก็จะกลายเป็น "เพ้อฝัน" ไงล่ะครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...